LibreOffice กับ OpenOffice แตกต่างกันอย่างไร?

LibreOffice กับ OpenOffice แตกต่างกันอย่างไร?

หากเราต้องการแก้ไขไฟล์งานอย่างพวก ไฟล์ Documents, ไฟล์ Spreadsheets หรือไฟล์ Presentations โดยที่ไม่ใช้โปรแกรม Microsoft Office ทางเลือกที่คนนิยมใช้กันจะมีอยู่ 2 โปรแกรม หากไม่ LibreOffice ก็จะเป็น OpenOffice

แล้ว 2 โปรแกรมนี้แตกต่างกันอย่างไร ตัวไหนใช้งานดีกว่ากัน เราลองมาหาคำตอบกันได้ในบทความนี้เลย

ความเป็นมาของ OpenOffice และ LibreOffice

อันที่จริง OpenOffice และ LibreOffice มีความเกี่ยวพันกันมาตั้งแต่ในสมัยอดีตเมื่อปี 1985 ในขณะนั้นได้มีโปรแกรมที่ชื่อว่า StarWriter ถือกำเนิดขึ้น ก่อนจะเปลี่ยนเป็น StarOffice ในภายหลัง จากนั้นได้ถูกบริษัท Sun Microsystems ซื้อไปในปี 1999

ในปี 2000 ทาง Sun ได้เปิดตัว StarOffice เวอร์ชัน Open-source ออกมา ในชื่อ OpenOffice.org ซึ่งก็ได้กลายเป็นโปรแกรม Office suite ของระบบปฏิบัติการ Linux อย่างรวดเร็ว จนกระทั่งในปี 2010 บริษัท Oracle ได้เข้าซื้อกิจการของ Sun และได้กลายมาเป็นผู้พัฒนาหลักของ OpenOffice.org แทน

อย่างไรก็ตาม เหล่านักพัฒนาในเว็บบอร์ดของ OpenOffice.org ไม่ค่อยชื่นชอบพฤติกรรมในอดีตที่ทาง Oracle เคยสร้างเอาไว้ในสังคม Open-source ทำให้เกิดแนวคิดที่จะแยกตัวออกมา กระทั่งปลายปี 2010 LibreOffice ได้ถือกำเนิดขึ้นโดยพัฒนามาจากพื้นฐานของ OpenOffice.org โดยร่วมพัฒนากับกลุ่ม Document Foundation (องค์กรไม่แสวงผลกำไรที่ก่อตั้งขึ้นมาเพื่อพัฒนาซอฟต์แวร์ด้านเอกสาร เหตุผลในการก่อตั้งมาจากความระแวงในพฤติกรรมของ Oracle ที่เคยซื้อ OpenSolaris แล้วดองไว้ไม่ยอมพัฒนาต่อ) ทั้งนี้ ทาง Document Foundation เคยเชิญ Oracle ให้เข้าร่วมองค์กรด้วยแต่ได้รับการปฏิเสธ

จากนั้น Oracle ได้ทำการเปลี่ยนชื่อ StarOffice เป็น Oracle Open Office ซึ่งทำให้เกิดความสับสนขึ้นไปอีก นักพัฒนาของ OpenOffice.org ได้ตัดสินใจพากันตบเท้าเดินออกจากโครงการนี้ ส่งผลให้การพัฒนาถูกหยุดลงในปี 2011 ต่อมา Oracle ได้ยกกรรมสิทธิ์เครื่องหมายการค้า และโค้ดให้กับ Apache Foundation แต่ก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงจนกระทั่งในปี 2014 ถึงได้มี Apache OpenOffice ถูกปล่อยออกมา จนก่อให้เกิดคำถามว่า จะเลือกใช้ LibreOffice หรือ OpenOffice ดี

ลิขสิทธิ์ที่แตกต่างกัน

OpenOffice ใช้ลิขสิทธิ์แบบ Apache License ส่วน LibreOffice จะใช้ลิขสิทธิ์ 2 ฉบับควบคู่กัน คือ LGPLv3 กับ MPL ควบคู่กัน

ขอบคุณข้อมูลจาก https://www.bangkokgis.com/bangkokgis_2008/system_file/-t1425358695.pdf

ถ้าพูดให้เข้าใจง่ายๆ คือ LibreOffice สามารถนำโค้ด และคุณสมบัติจาก OpenOffice มาใช้ได้ แต่ OpenOffice ไม่สามารถใช้คุณสมบัติใดๆ ของ LibreOffice ได้เลย

นั่นทำให้ LibreOffice สามารถเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ๆ ได้ในอัตราที่รวดเร็วกว่า OpenOffice มาก เพราะหาก OpenOffice มีลูกเล่นอะไรใหม่ๆ ออกมา LibreOffice ก็สามารถหยิบมาใช้งานได้ทันที

User Interface (UI) คนละสไตล์

ทั้งคู่มีหน้าตาโปรแกรมที่แตกต่างกันเล็กน้อย LibreOffice หรือ OpenOffice มีการออกแบบโปรแกรมที่คล้ายกับ Microsoft Word เวอร์ชันเก่า แต่ในการใช้งานมันก็แตกต่างกันอยู่นะ

LibreOffice จะออกแบบมาให้ UI ดูเรียบง่าย และโล่งกว่า เครื่องมือหลากหลายในขณะที่ OpenOffice จะแสดงเมนูเริ่มต้นเยอะกว่าตั้งแต่เปิดโปรแกรมขึ้นมาเลย อย่างเช่น Sidebar ที่ใน LibreOffice นั้นจะไม่มี

บันทึกไฟล์คนละรูปแบบ

ทั้ง LibreOffice และ OpenOffice รองรับการเปิดไฟล์อยู่หลากหลายนามสกุล แต่ว่าความแตกต่างจะมาเกิดขึ้นอยู่ในตอนบันทึกไฟล์

• OpenOffice สามารถบันทึกไฟล์ Word ได้ในรูปแบบเก่า .doc เท่านั้น
• LibreOffice สามารถบันทึกไฟล์ Word ได้ทั้งรูปแบบเก่า .doc และรูปแบบใหม่ .docx ได้

ขนาดของโปรแกรม

LibreOffice มีขนาดที่ใหญ่กว่า OpenOffice พอสมควร OpenOffice ต้องการพื้นที่ประมาณ 400 MB - 650 MB ในขณะที่ LibreOffice ต้องการ 800 MB - 1.55 GB สูงกว่าเกือบเท่าตัวเลยทีเดียว

รองรับการใช้งานบนสมาร์ทโฟน

ทั้ง LibreOffice และ OpenOffice ต่างก็มีแอปฯ รองรับบนสมาร์ทโฟน หากใช้ OpenOffice คุณจะมี AndrOpen Office ที่มีอยู่บนระบบปฏิบัติการ Android โดยตัวแอปฯ ช่วยให้เราเปิด และแก้ไขไฟล์จาก OpenOffice Writer, Calc, Impress, Draw, และ Math รวมถึงเปิดไฟล์เอกสารแบบเก่าได้ด้วย

ส่วน LibreOffice จะมี LibreOffice Viewer ให้ใช้บน Android เช่นกัน ข้อดีคือ รองรับไฟล์ออฟฟิศแบบใหม่ด้วย ในขณะที่ AndrOpen Office รองรับแค่ไฟล์แบบเก่าเท่านั้น

สรุปแล้วเลือกอะไรดี?

หากคุณเป็นต้องการสัมผัสกับฟีเจอร์ใหม่ๆ และใช้งานร่วมกับ Word เวอร์ชันใหม่ๆ ด้วย LibreOffice น่าจะเป็นตัวเลือกที่ตอบโจทย์ได้ดีกว่า OpenOffice นะ

ส่วน OpenOffice แม้ว่าจะมีการอัปเดตที่ช้ากว่า อย่างไรก็ตาม มันก็มีข้อดีตรงที่เราจะไม่ค่อยเจอบัค อีกทั้ง OpenOffice ไม่ค่อยมีการเปลี่ยนแปลงหน้าตาของโปรแกรมเกิดขึ้น ทำให้เราไม่ต้องเรียนรู้วิธีการใช้งานใหม่ หากมีการอัปเดตที่มีความเปลี่ยนแปลงเยอะๆ เกิดขึ้น