การอัปเกรดคอมพิวเตอร์ ควรเริ่มต้นจากอุปกรณ์ชิ้นไหนก่อนดี ? (Which device should you start first when upgrading computer ?)

การอัปเกรดคอมพิวเตอร์ ควรเริ่มต้นจากอุปกรณ์ชิ้นไหนก่อนดี ?
(Which device should you start first when upgrading computer ?)

คำถามสุดคลาสสิกสำหรับคนที่รู้สึกว่า ได้เวลาที่จะต้อง อัปเกรดเครื่องคอมพิวเตอร์ ของเราแล้วแหละ แต่ก็ยังไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นจากอะไรก่อนดี ครั้นจะเปลี่ยนทั้งเครื่องเลยทุนทรัพย์ก็ยังไม่พอ แล้วเราจะเริ่มต้นที่อัปเกรดอะไรก่อนดี เพื่อให้คุ้มค่าเงินที่จ่ายไปมากที่สุด เราจะเรียงลำดับด้านล่างไว้ให้ เริ่มจากการอัปเกรดที่มีความสำคัญมากที่สุดกันก่อนเลยค่ะ :)

1. ดู หน่วยความจำ (RAM) ก่อนเป็นอย่างแรก

การเพิ่ม แรม (RAM) หรือการเพิ่มหน่วยความจำ (Memory) ที่ถือว่าเป็นวิธีที่ง่ายที่สุด และเป็นวิธีที่คุณสามารถทำเอาได้ง่าย ๆ และมีราคาที่ไม่สูงมาก อีกทั้งยังสามารถทำการอัปเกรดเพิ่มได้แทบจะทุกประเภทของเครื่องคอมพิวเตอร์ที่คุณมีในครอบครอง และไม่ต้องใช้ความรู้ทางด้านคอมพิวเตอร์มากนักในการอัปเกรดแรม ถือเป็นหนึ่งในการอัปเกรดที่ดีที่สุดสำหรับแล็ปท็อปด้วย (ถ้าหากแล็ปท็อปของคุณสามารถอัปเกรดได้อะนะ)

ข้อมูลเพิ่มเติม : RAM คืออะไร ? และ ความเร็วแรม RAM สำคัญขนาดไหน ?

การอัปเกรดแรม ถือเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพให้กับเครื่องคอมพิวเตอร์ของคุณได้โดยตรงใน PC แทบทุกเครื่องที่ ทำงานช้า เพราะถ้าหากคุณชอบเปิดหลาย ๆ โปรแกรมพร้อม ๆ กัน หรือเปิดหน้าของ เว็บเบราว์เซอร์ (Web Browser) คาไว้หลาย ๆ แท็บล่ะก็ การเพิ่มแรมเข้าไป รับรองว่ามันจะเห็นผลด้านความเร็วอย่างแน่นอน รวมไปถึงการใช้งานอย่างจริงจัง เช่น การเล่นเกมที่ต้องการสเปคสูง และการตัดต่อวิดีโอ ที่หลังจากเพิ่มแรมเข้าไป จะเห็นได้ชัดเลยว่า ตัวเกมสามารถรันได้ไวขึ้น การตัดต่อวิดีโอสามารถตอบสนองได้ไวขึ้น และเรนเดอร์ได้เร็วขึ้นด้วย

เครดิตภาพ : https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%81%E0%B8%A3%E0%B8%A1

ทีนี้ เราจะรู้ได้อย่างไรว่า เราควรเพิ่มแรมเข้าไปอีกเท่าไหร่ดี ?

4 GB. คือขั้นต่ำ

การมีแรมรวมทั้งหมด 4 GB ถือเป็นขั้นต่ำสำหรับการใช้งานทั่ว ๆ ไปในยุคปัจจุบันแล้ว เช่น การเปิดแท็บเบราว์เซอร์พร้อมกัน 10 แท็บ ตัดต่อรูปภาพนิดหน่อย (เช่น ปรับขนาดรูปภาพ, ตัดแปะรูปอื่นทับอีกรูป)

8 GB. คือขั้นการอัปเกรดที่เห็นความเปลี่ยนแปลง

โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับการทำงานพร้อมกันแบบมัลติทาส์ก หรือเปิดพร้อม ๆ กันหลายโปรแกรม, เปิดแท็บเบราว์เซอร์เกิน 30 แท็บขึ้นไป, แก้ไขไฟล์รูปสกุล RAW, และเล่นเกมสเปกปานกลาง

16 GB. หรือสูงกว่า เหมาะสำหรับงานหนักขั้นสุด

ได้แก่ เกมที่กินสเปกสูง, การตัดต่อไฟล์มีเดีย, และการใช้งานโปรแกรมที่ต้องการหน่วยความจำในการประมวลผลจำนวนมาก

2. การ์ดจอ (Graphics Card) ก็สำคัญ

การ์ดจอ (Graphic Card) สำหรับผู้ใช้งานทั่วไป ถือเป็นเรื่องสำคัญที่รองลงมาจาก RAM แต่ถ้าคุณเป็นเกมเมอร์สายจริงจังแล้วล่ะก็ การ์ดจอ จะกลายเป็นอุปกรณ์สำคัญลำดับแรกที่ควรจะต้องอัปเกรดแทน รวมไปถึงผู้ที่ใช้ทำงานด้านกราฟิก อย่างเช่น ใช้ โปรแกรมตัดต่อวิดีโอ (Video Editing Software), โปรแกมแต่งรูป (Photo Editing Software) รวมไปถึงการใช้ โปรแกรมออกแบบ 3 มิติ (3D Design Software) ในการ ออกแบบโมเดล 3 มิติ (3D Model) หรือ การทำอนิเมชัน 3 มิติ (3D Animator) อีกด้วยเช่นกัน

เครดิตภาพ : https://sea.pcmag.com/graphics-cards/43384/new-graphics-card-too-expensive-10-ways-to-squeeze-more-performance-from-your-gpu

สำหรับผู้ผลิต PC รุุ่นใหม่ ๆ มักจะเลือกผลิต PC ที่มีสเปกเป็นการ์ดจอออนบอร์ด (Integrated Graphic Cards) เพราะมันมีประสิทธิภาพที่เพียงพอสำหรับการใช้งานทั่ว ๆ ไปแล้วในปัจจุบัน อีกทั้งยังสามารถลดต้นทุนการผลิตได้จำนวนมาก แตกต่างจากการใช้ การ์ดจอแยก อยู่พอสมควร ซึ่งจากข้อมูลล่าสุด มีผู้ใช้ราว 10% บนแพลตฟอร์ม Steam ใช้การ์ดจอออนบอร์ดในการเล่นเกมด้วยซ้ำไป

ข้อมูลเพิ่มเติม : เลือกซื้อการ์ดจอ GPU อย่างไร ให้ตรงกับความต้องการมากที่สุด ?

แต่ถ้าหากคุณต้องการความสวยงาม กราฟิกอลังการในการเล่นเกม หรือการใช้งาน VR การอัปเกรดการ์ดจอก็จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพได้อย่างตรงจุดแน่นอน

3. เปลี่ยนอุปกรณ์เก็บข้อมูล (Storage Device) ให้เร็วกว่าเดิม

มีอยู่ 2 เหตุผลที่คุณควรอัปเกรด พื้นที่เก็บข้อมูล (Storage Drive) นั่นก็คือ PC ของคุณพื้นที่ใกล้จะเต็ม หรือต้องการประสิทธิภาพการใช้งานที่รวดเร็วกว่าเดิม

ถ้าคุณลองทำทุกอย่างในการทำให้พื้นที่เก็บข้อมูลว่างขึ้นแล้ว เช่น ลบไฟล์หรือโปรแกรมที่ไม่ได้ใช้งานทิ้งไป แต่ก็ยังรู้สึกว่ามีที่เหลือไม่พอของใหม่ที่จะต้องถูกบันทึกเข้ามาอยู่ดี ถ้าเป็นเช่นนี้แล้วล่ะก็ แสดงว่าถึงเวลาอัปเกรดความจุกันใหม่แล้ว โดยการอัปเกรดนั้น ไม่เพียงแต่จะทำให้เรามีพื้นที่สำหรับรับสิ่งใหม่ ๆ เข้ามาเท่านั้น แต่ยังช่วยทำให้ PC ของเรามีประสิทธิภาพที่ดีขึ้นด้วย

เครดิตภาพ : https://www.kingston.com/th/ssd/kc2500-nvme-pcie-ssd

สำหรับคนที่มองหาฮาร์ดไดรฟ์ลูกใหม่ ให้คำนึงถึงการเพิ่มความเร็วในการอ่านข้อมูลเป็นหลัก เช่น หากของเดิมมีรอบการอ่านอยู่ที่ 5,400 รอบต่อนาที (Revolutions per Minute - RPM) แล้วล่ะก็ การอัปเกรดให้มีรอบการอ่านอยู่ที่ 7,200 RPM ก็จะช่วยบูสต์ความเร็วในการทำงานของ PC ของเราได้เป็นอย่างดี

ข้อมูลเพิ่มเติม : ความเร็วในการอ่านเขียน หรือ Transfer Rate ของ HDD กับ SSD ต่างกันมากน้อยแค่ไหน ?

แต่เนื่องจากส่วนใหญ่ เครื่องคอมพิวเตอร์ที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน มักจะเปลี่ยนไปใช้ อุปกรณ์เก็บข้อมูลแบบ SSD (Solid-State Drive) แทนการใช้ ฮาร์ดดิสก์ไดร์ฟ (Hard Disk Drive - HDD) กันหมดแล้ว การตัดสินใจที่จะหันไปลงทุนกับ SSD แทนการเปลี่ยนหรือเพิ่มฮาร์ดไดรฟ์ลูกใหม่เข้ามา ก็ช่วย เพิ่มความเร็ว ขึ้นได้อีกเยอะ

4. อัปเกรดหน่วยประมวลผลกลาง (Processor หรือ CPU)

การอัปเกรด หน่วยประมวลผล (CPU) ของเครื่อง PC เป็นสิ่งที่ค่อนข้างจะต้องใช้ทักษะขั้นสูงกันพอสมควร (ใช้ทักษะมากที่สุดในบรรดาการอัปเกรดทั้งหมดที่กล่าวมาข้างต้น) เพราะเป็นที่รู้กันในสายการประกอบคอมว่า จะเปลี่ยน CPU ก็ต้องดู Socket หรือช่องที่ใส่ CPU ด้วยว่า มันรองรับกับ CPU ที่เราต้องการจะเปลี่ยนใส่หรือเปล่า

ข้อมูลเพิ่มเติม : Intel Core i3, i5, i7, i9 และ X คืออะไร ? CPU เหล่านี้มีเทคโนโลยี ที่แตกต่างกันอย่างไร ?

นอกจากนี้ การอัปเกรดหน่วยประมวลผลจะคุ้มค่ากับเงินที่จ่ายไป ก็ต่อเมื่อการอัปเกรดนั้นค่อนข้างก้าวกระโดดจากรุ่นเดิมที่มี เช่น เปลี่ยนจาก Intel Core i3 ไปเป็น Core i5 หรือจะเป็นการเปลี่ยนจาก CPU รุ่นเก่า ๆ ให้มาเป็นรุ่นใหม่ เพราะถ้าหากจะเปลี่ยนเพียงแค่ต้องการจะเพิ่ม ความเร็วนาฬิกา (Clock Speed) ล่ะก็ เป็นอะไรที่ไม่คุ้มค่าอย่างยิ่ง

ข้อมูลเพิ่มเติม : Core, Thread และ Clock Speed คืออะไร ?​ ส่งผลกับความเร็ว CPU ในการประมวลผล หรือไม่ ?

เครดิตภาพ : https://www.freepik.com/free-photo/technician-repairing-computer-computer-hardware-repairing-upgrade-technology_4334582.htm

นอกจาก CPU จะมีราคาค่าตัวสูงแล้ว บางครั้ง อาจจะต้องอัปเกรด เมนบอร์ด (Motherboard) ของเราตามไปด้วย (และอาจทำให้ลุกลามไปถึงการเปลี่ยนแรมให้ลงสล็อตได้อีกที) และถึงแม้เมนบอร์ดของเราจะรองรับ CPU ที่จะนำมาเปลี่ยนใหม่ ก็อาจจำเป็นที่จะต้องอัปเดต ไบออส (BIOS) ตามเพื่อให้สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพด้วย เรียกได้ว่าต้องทำงานซับซ้อนกันอีกหลายต่อ

อย่างไรก็ตาม ถ้าหากรู้สึกว่าอยากจะอัปเดต CPU จริง ๆ แล้วล่ะก็ ลองไปเปรียบเทียบสเปกของ CPU ที่คุณต้องการ กับ CPU ที่คุณมีอยู่เดิมอีกทีที่เว็บทดสอบและประเมินผล CPU ด้านล่าง ก็จะช่วยให้คุณเห็นภาพได้ง่ายยิ่งขึ้นว่าจำเป็นจริง ๆ หรือไม่ ประสิทธิภาพที่เพิ่มขึ้นมานั้นคุ้มค่ากับเม็ดเงินที่ลงไปหรือเปล่า

เว็บไซต์สำหรับทดสอบและประเมินผล CPU โดยเปรียบเทียบกับรุ่นอื่น ๆ :

• https://www.cpubenchmark.net/