เชื่อว่าหนึ่งในฟีเจอร์ที่หลาย ๆ คนชื่นชอบและใช้งานกันอยู่บ่อย ๆ นั้นก็น่าจะต้องเป็นฟีเจอร์ช่วยอำนวยความสะดวกอย่างการคัดลอก หรือ "Copy" (ปุ่ม Ctrl + C) หรือการคัดลอกรูป, ข้อความ และไฟล์ต่าง ๆ ไปวาง หรือ "Paste" (ปุ่ม Ctrl + V) ในที่ที่ต้องการได้อย่างสะดวกและช่วยให้การทำงานง่ายดายมากยิ่งขึ้น เช่น การ Copy ข้อความจาก โปรแกรม Word ไป Paste ใน โปรแกรม Outlook เพื่อส่งอีเมลไปหาลูกค้า หรือการ Copy รูปภาพจาก เว็บเบราว์เซอร์ อย่าง โปรแกรม Google Chrome ไปวางบนสไลด์ ของ โปรแกรม PowerPoint เป็นต้น
โดยฟีเจอร์ยอดฮิตนี้ก็เป็นผลมาจากความคิดของโปรแกรมเมอร์ชาวอเมริกันอย่าง Larry Tesler และ Tim Mott ในช่วงต้นยุค ‘70 โดย Larry ได้พัฒนาโค้ดคำสั่งที่ช่วยในการ "ย้ายข้อมูล" ระหว่างโปรแกรมที่ผู้ใช้สามารถเรียกใช้งานคำสั่ง Cut (ปุ่ม Ctrl + X) หรือ Copy (ปุ่ม Ctrl + C) เพื่อคัดลอกหรือตัดสิ่งที่ต้องการไปเก็บเอาไว้บน Clipboard ที่เป็นพื้นที่พิเศษสำหรับเก็บข้อมูลชั่วคราว ก่อนที่จะดึงข้อมูลที่เก็บเอาไว้บน Clipboard มาวางยังจุดที่ผู้ใช้ต้องการเมื่อเรียกใช้คำสั่ง Paste (ปุ่ม Ctrl + V)
ภาพจาก : https://shackmedia.co/cut-copy-paste-9af86010f4e9
แต่ฟีเจอร์แสนสะดวกนี้ก็มีข้อจำกัดอยู่ที่ "จำนวนครั้ง" ในการใช้งานคำสั่ง เพราะสำหรับบน PC แล้วเราจะสามารถดึงเฉพาะข้อมูล "ล่าสุด" ที่เราเลือก Cut หรือ Copy เอาไว้เท่านั้น หากเผลอกด "ปุ่ม Ctrl + C" ทับไปเมื่อไรก็จะล้างข้อมูลที่เราเคยได้ Copy เอาไว้ก่อนหน้านี้ไปและบันทึกข้อมูลล่าสุดที่เลือกไว้ทันที ในขณะที่บนสมาร์ทโฟน (ทั้ง iOS และ Android) นั้นจะสามารถเก็บข้อมูลเอาไว้ใน Clipboard เพื่อสำรองใช้งานได้สูงสุดถึง 30 ครั้งเลยทีเดียว
เราเลยอยากจะแนะนำให้ทุกคนรู้จักกับ "Clipboard History" หรือ "Clipboard" ในระบบ Windows ที่มีการทำงานคล้ายคลึงกันกับ Clipboard ในสมาร์ทโฟนที่ผู้ใช้จะสามารถ Copy ข้อความ, รูปภาพ หรือไฟล์ที่ต้องการไปเก็บไว้ใน Clipboard ได้สูงสุดถึง "25 ครั้ง" และดึงข้อมูลที่อยู่บน Clipboard มาใช้งานได้อย่างสะดวกตามต้องการ
Clipboard History หรือ "ประวัติคลิปบอร์ด" จัดว่าเป็นฟีเจอร์ หรือความสามารถ ที่ทาง Microsoft พัฒนาขึ้นมา เพื่อช่วยอำนวยความสะดวกให้ผู้ที่ใช้งาน ระบบปฏิบัติการ Windows สามารถเลือก "Cut" (ปุ่ม Ctrl + X) หรือ "Copy" (ปุ่ม Ctrl + C) ข้อความ, รูปภาพ และไฟล์ต่าง ๆ ไปเก็บไว้บน Clipboard ของตัวเครื่องได้มากกว่าแค่ 1 ครั้ง ทำให้ผู้ใช้สามารถเลือกดึงข้อมูลที่อยู่บน Clipboard มาใช้งานได้ตามต้องการ ช่วยประหยัดเวลาในการสลับใช้งานโปรแกรมต่าง ๆ ไปได้ไม่น้อยเลยทีเดียว
ภาพจาก : https://i.ytimg.com/vi/ZrILV0xMk4I/maxresdefault.jpg
สำหรับจำนวนสูงสุดในการใช้งาน Clipboard History จะอยู่ที่ 25 ครั้ง ที่ขนาดสูงสุด 4 MB. ต่อการ Copy 1 ครั้ง ซึ่งหาก Copy ข้อมูลเกินกว่า 25 ครั้ง มันจะลบข้อมูลก่อนหน้านี้ออกไป และบันทึกข้อมูลล่าสุดแทน รวมทั้งหากข้อมูลที่กด Copy มีขนาดเกินกว่า 4 MB. ก็จะไม่ถูกเก็บไว้ใน Clipboard ดังนั้นหากต้องการใช้งานรูปที่มีขนาดใหญ่ก็แนะนำให้กด "Save as" แล้วค่อย "Insert" รูปเข้าไปทีหลังน่าจะดีกว่า
สำหรับผู้ที่ต้องการใช้งานฟีเจอร์ Clipboard History ก็จะต้องเข้าไปเปิดการทำงานของฟีเจอร์นี้ใน Windows Settings กันก่อน โดยฟีเจอร์นี้จะสามารถเรียกใช้งานได้เฉพาะบนระบบปฏิบัติการ Windows 10 ขึ้นไปเท่านั้น
ภาพจาก : https://www.howtogeek.com/671222/how-to-enable-and-use-clipboard-history-on-windows-10/
ภาพจาก : https://www.businessinsider.com/clipboard-history
นอกจากนี้แล้ว เราก็ยังสามารถที่จะซิงค์ (Sync) ข้อมูลบน Clipboard เข้ากับบัญชีของไมโครซอฟท์ (Microsoft Account) เพื่อบันทึก Clipboard ไว้เรียกใช้งานบนอุปกรณ์อื่น ๆ (Sync across devices) ได้ด้วยการกดไปที่ "Get Started" แล้วล็อกอินเข้าใช้งาน Microsoft Account
และหลังจากนั้นเลือก Sync ข้อมูลตามที่ต้องการได้ทั้งแบบอัตโนมัติ (Automatically) และแบบกำหนดเอง (Never Automatically) โดยจะต้องติดตั้งแอปพลิเคชัน Microsoft Launcher บนอุปกรณ์ที่ต้องการเพื่อเชื่อมต่อการใช้งาน Microsoft Account ร่วมด้วย
เมื่อเปิดใช้งาน Clipboard History แล้วผู้ใช้ก็ยังสามารถกด Paste (ปุ่ม Ctrl + V) เพื่อวางสิ่งที่ Copy เอาไว้ล่าสุดได้ตามปกติ แต่หากต้องการเลือกข้อมูลอื่น ๆ ที่ถูกเก็บเอาไว้บน Clipboard นั้นจะต้องกดไปที่ "โลโก้ Windows + V" ก็จะสามารถเลือกดึงข้อมูลที่ต้องการใช้งานจาก Clipboard ได้แล้ว
ปกติแล้วข้อมูลต่าง ๆ บน Clipboard นั้นจะถูกเก็บเอาไว้เพียงชั่วคราวเท่านั้น หากกดปิดเครื่องหรือ Restart ก็จะทำการลบข้อมูลบน Clipboard ทั้งหมดทิ้งในทันที แต่สำหรับใครที่อยากเก็บข้อมูลใน Clipboard เอาไว้เผื่อเรียกใช้งานในอนาคตก็สามารถปักหมุดเก็บเอาไว้ได้โดยการกดไปที่เมนูเพิ่มเติมแล้วเลือก "Pin" และสามารถถอนหมุดได้ด้วยการกด "Unpin"
ภาพจาก : https://www.businessinsider.com/clipboard-history
สำหรับการลบข้อมูลบน Clipboard ก็ให้กดไปที่เมนูเพิ่มเติม และเลือก "ปุ่ม Delete" เพื่อลบข้อมูลบน Clipboard ที่ต้องการ ส่วนการล้าง (Clear) หรือลบข้อมูลทั้งหมดบน Clipboard ให้กดที่ "ปุ่ม Clear all"
ภาพจาก : https://www.howtogeek.com/671222/how-to-enable-and-use-clipboard-history-on-windows-10/
ในระบบ macOS เองก็มี Clipboard ของตัวเองด้วยเช่นกัน โดยผู้ใช้จะสามารถ Copy ข้อมูลได้สูงสุด 2 ครั้งด้วยคำสั่งที่ต่างกัน ทั้งการ Copy ข้อมูลโดยการกด "ปุ่ม ⌘ + C" เพื่อคัดลอก (Copy) และวาง (Paste) ข้อมูลด้วย "ปุ่ม ⌘ + V" ที่สามารถเรียกดูข้อมูลล่าสุดที่เราได้ทำการ Copy เอาไว้ได้โดยการไปที่ "Edit" และกด "Show Clipboard" และหากต้องการ Copy ข้อมูลเก็บไว้บน Clipboard ครั้งที่ 2 ก็ให้กดที่ "ปุ่ม Control + K" เพื่อทำการ Copy ข้อมูล ส่วน Paste ให้กด "ปุ่ม Control + Y แทน
ภาพจาก : https://setapp.com/how-to/how-to-view-clipboard-history-on-mac
นอกจากนี้ ผู้ใช้ macOS ยังสามารถใช้งานฟีเจอร์ "Text Clippings" หรือฟีเจอร์การคัดลอกข้อความที่เมื่อผู้ใช้ทำการคลุมข้อความที่ต้องการและลากไปวางไว้บนหน้าจอ Desktop ก็จะบันทึกข้อความเป็น .textClipping จากนั้นจะสามารถลาก .textClipping จากหน้า Desktop ไปวาง (Paste) บนโปรแกรมต่าง ๆ ได้ตามต้องการ
ภาพจาก : https://setapp.com/how-to/how-to-view-clipboard-history-on-mac
|
ตัวเม่นผู้รักในการนอน หลงใหลในการกิน และมีความใฝ่ฝันจะเป็นนักดูคอนเสิร์ตแต่เหมือนศิลปินที่ชื่นชอบจะไม่รับรู้ว่าโลกนี้มียังประเทศไทยอยู่.. |