ปกติแล้วการใช้อินเทอร์เน็ต มีการทิ้งร่อยรอย ฝากรอยเท้าของเราเอาไว้บนโลกไซเบอร์ อย่าคิดว่าเราจะทำอะไรก็ได้ ไม่มีใครรู้หรอกว่าเราเป็นใคร จับไม่ได้หรอก แต่ถ้าแกะรอยจริงๆ ไม่ใช่เรื่องยากเลย ไม่เชื่อลอง เอาชื่อ นามสกุลจริง หรือเอาชื่อ Username / Nickname, ฉายาส่วนตัวของเรา ไปค้นใน Google สิครับ เผลอๆ บางคน เจอใน Wikipedia อีกต่างหาก เพราะใครก็เขียนบน Wikipedia ได้ รวมไปถึง Copy บทความ หรือเรื่องราวเราไปลงตามเวบบอร์ดต่างๆ หรืออาจไปเจออะไรที่เราไม่อยากเปิดเผยก็เป็นได้
การสร้างตัวตนบนโลกออนไลน์ บนอินเทอร์เน็ตนั้น เคยมีคำพูดว่า เราอยากจะเป็นอะไรก็ได้ บนโลกออนไลน์เป็นแบบนึง บนโลกออนไลน์เป็นอีกแบบ เคยเห็นข่าวไหมครับ มือเกรียนคีย์บอร์ด แรงมาก แต่พอโดนจับ หน้าจอซื่อๆ นิ่มๆ มีเทคโนโลยี ก็ต้องมีการกำกับ ทำให้มีการเก็บข้อมูลในทุกพฤติกรรมการใช้งาน โดยจะมีการผูกด้วยเลข IP (IP Address) สามารถสืบหาตัวคนโพสต์ได้ จนมาถึงยุคนี้คือ Social Network ลองคิดตามว่า ข่าวดาราที่โดนขุด ขุดมาจากอินเทอร์เน็ต มันมีการเชื่อมโยงกันทั้งนั้นแหล่ะครับ แม้เจ้าตัวจะไม่บอกว่า IG นี้เป็นของใคร หรือเป็น Facebook ของใคร แต่ถ้าสืบจากการกด Like, Comment ก็เสาะไปหาเบาะแสของตัวบุคคลได้ว่าเกี่ยวพันกับกลุ่มไหน
คนสมัยนี้ กล้าเปิดเผยตัวเองบนโลกออนไลน์มากขึ้น
สมัย 10 ปีก่อน มีน้อยคนที่จะกล้าเอารูปตัวเองลงโลกอินเตอร์เน็ต แต่เมื่อยุค Social Network บูม ทุกคนกล้าโชว์หน้าตัวเอง ทำให้มีข้อมูลส่วนตัว เผยแพร่สู่สาธารณะ และนำไปสู่การสืบและส่องเฟส ไม่ว่าจะเป็นชื่อบน Facebook, Instagram, Twitter, Website, Blog หรือตามWebboard ต่างๆ ที่อาจมีการเก็บข้อมูลส่วนตัวของเราเอาไว้ ซึ่งใครๆ ก็สามารถค้นหาเราจากชื่อบน Facebook, Blog, Twitter, Google ได้ เพราะ Search engine มีการเก็บข้อมูลของเราเอาไว้ ยกเว้นเราตั้ง Privacy เอาไว้หนาแน่นและไม่พลาดเลย
บทความนี้แบ่งการนำเสนอ ออกเป็น 2 ส่วน คือการอำพรางตัว ซ่อนตัว หรือล่องหน และท้ายที่สุดคือการ "ลบ" ไม่ให้มีหลักฐานร่องรอย ของตัวเองหลงเหลืออยู่ (ไม่ใช่สิ หลงเหลือน้อยที่สุด เพราะหากมีร่องรอย ก็ลบได้ไม่ 100%)
การซ่อนตัว พรางตัว ล่องหน บนอินเทอร์เน็ตเพื่อความปลอดภัยของข้อมูลส่วนตัว
"เล่นซ่อนหา ยังไงก็หาเจอ" ยังไงเราก็แต่หลบหลังเสาแค่นั้น บอกไว้ก่อนเลยว่า คุณไม่สามารถลบหรือล่องหน ซ่อนตัวจากอินเทอร์เน็ตได้สมบูรณ์แบบ 100% แน่นอน ยังไงก็ยังมีการฝากรอยเท้าได้อยู่ดี แต่บางครั้งการซ่อนตัวเอง ก็จำเป็น อย่างเช่น การไปเล่นเน็ตที่ร้านอินเทอร์เน็ตคาเฟ่ (Internet Cafe) การเข้า Browser แล้ว Login ด้วย user / password ของเรา ดูจะเสี่ยงเกินไป อาจลืมล็อกเอ้าท์ออก มีตัวอย่างเมื่อ 10 ปีก่อน มีเพื่อนลืม เผลอ Log in MSN ค้างไว้ที่ร้านเน็ต พอเราคุยก็รู้สึกแปลกๆ ดูสำนวนเขียนเหมือนไม่ใช่เพื่อนเรา อันนี้ต้องระวัง เพราะอาจปลอมเป็นเพื่อนเรา หลอกให้โอนเงินได้ ส่วนตอนนี้ใครลืม Logout Facebook อาจถูกสวมรอยได้ เพราะ Social มันไปไกล
ล่องหนเถอะ ถ้าใช้เครื่องสาธารณะ
บน Browser ใช้ Incognito Mode ผู้เขียนทดสอบบน Google Chrome บน Mac เข้าที่ไป File > New Incognito Window จะเจอหน้าต่างใหม่แบบนี้ หรือหากใช้บน PC ก็แค่กด Ctrl+Shif+N
ถ้าเข้าร้านเน็ต หรือใช้บริการบนอุปกรณ์สาธารณะ แนะนำให้เข้าโหมดล่องหนบน Browser [อาจเรียกว่า Private Mode หรือ Incognito Mode ก็เข้าใจตรงกันว่า เป็นโหมดล่องหน] ทำให้ Browser ไม่เก็บข้อมูลส่วนตัวของเรา (แต่ถ้าร้านเน็ตมีพวก Key Logger หรือโปรแกรมที่ส่องการกดแป้นพิมพ์ อันนี้อันตราย เพราะโดนดักรหัสผ่านได้)
ตอนที่เราอยู่ในโหมดไม่ระบุตัวตน (Private Mode หรือ Incognito Mode) สังเกตมุมขวาจะมีหน้าตาคนใส่หมวกแบบนี้ ถ้าเป็นบนมือถือ ใช้ Google Chrome ก็จะเห็น โลโก้ ใส่หมวกกับแว่นตาดำ เมื่อเปิดหน้าต่างใหม่ Incognito Mode จะมีหน้าตาแบบนี้
ข้อสังเกตอีกอย่างคือ ถ้าปกติเราล็อกอิน E-Mail, Social Network ไว้บน Browser แต่สำหรับ Private Mode หรือ Incognito Mode จะต้องล็อกอินใหม่ เพราะมันไม่จำค่าอะไรของเราไว้เลย
ใช้ Social ต้องรู้จัก Privacy
ถ้าคุณใช้ Social Network น่าจะทราบว่า มีการกำหนดค่าการแชร์เป็นแบบ สาธารณะ หรือ เพื่อนเท่านั้น สิ่งแรกที่ควรทำก็คือ แชร์ทุกอย่างเป็น Friends Only แต่ถึงแม้ว่าเราจะไม่ได้แชร์แบบสาธารณะ แชร์เฉพาะเพื่อน แต่เพื่อนสนิทคิดไม่ซื่อมันก็มี อาจจะ Capture หน้าจอเราเอาไว้ เหมือนที่แช็ตหลุดกันบ่อยๆตามข่าว
อย่าไว้ใจ Wi-Fi ฟรี
เอ๊ะ เกี่ยวอะไรกับการล่องหน? ปกติเราเจอ Wi-Fi ฟรี เป็น Wi-Fi สาธารณะที่คนอื่นไม่ได้ล็อกรหัสผ่านไว้ หรือแม้แต่ร้านกาแฟเล็กๆ มีรหัสให้เราใช้ฟรี ไม่ต้องป้อน User / Password อันนี้ไม่รวมถึง Wi-Fi จากผู้ให้บริการ AIS dtac TrueMoveH 3BB TOT CAT นะครับ อันนั้นเขามี User / Password ระบบเป็นเรื่องเป็นราว
แต่เราก็ไม่ควรใช้ Wi-Fi ฟรีทุกบริการที่เป็นสาธารณะในการทำธุรกรรมทางการเงินออนไลน์ แอปธุรกรรมการเงินออนไลน์มักจะแนะนำให้ใช้บน 3G / 4G เพราะปลอดภัยกว่า จะเห็นว่าบางธนาคารจึงมีการจำกัดคุณสมบัติแอปฯ เมื่อเป็นการใช้ผ่าน Wi-Fi เอาไว้ ไม่อนุญาตให้เข้าถึงข้อมูลส่วนตัวเฉพาะบุคคลแบบลึกๆ ได้พ
การปลอม Wi-Fi จาก Personal HotSpot แค่ตั้งชื่อให้เหมือน บางคนอาจจะคิดว่าของฟรี ก็ใช้งานไป ซึ่งอาจถูกดักข้อมูลสำคัญได้ แต่จะบอกว่า พวก Starbucks / True Coffee จะมีระบบล็อกอินครับ ไม่ใช่ให้ใช้ฟรี ถ้าใช้ฟรีแบบไม่ต้องล็อกอิน อันนี้น่าสงสัยแล้ว
Wi-Fi ฟรี ที่ใช้ฟรีแบบไม่ต้องใส่รหัสเลย อันนี้น่ากลัวเพราะแม้ว่า Wireless Router จะมี Firewall แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะปลอดภัยจากผู้อื่นที่เชื่อมต่อในเครือข่ายเดียวกับเรา ว่าจะดูดข้อมูลอะไรเราไปหรือเปล่า แนะนำให้ตั้งค่าปิด File Sharing และ Network Sharing ไว้ และตั้ง Firewall บนอุปกรณ์ของเรา
เวลาทำธุรกรรมออนไลน์ผ่านบราวเซอร์ก็สังเกต https และ SSL ให้ดี (สีเขียว) อีกวิธีที่เราอยากจะแนะนำคือ การซ่อนตัว แต่การซ่อนตัวที่เราแนะนำ ไม่ได้ซ่อนตัวเพราะทำความผิดอะไร แต่เป็นการซ่อนตัว เพื่อป้องกันตนเอง โดยใช้ Virtual Private Network หรือ VPN นั่นเอง
แต่ถึงกระนั้น การใช้งาน Virtual Private Network หรือ VPN จะต้องระมัดระวัง เพราะมันก็คือการปลอมตัว ผู้เขียนเคยใช้ VPN แล้วเผลอ Log in Facebook ส่วนตัว โดนบล็อกไปทั้งวันเลย เพราะ Facebook ตรวจสอบพบว่า เราล็อกอินต่างสถานที่ในเวลาและพฤติกรรมที่ผิดปกติ
โดย VPN หรือ Virtual Private Network จะนำเราเข้าสู่เส้นทางที่ปลอดภัยได้ นั่นก็คือการปลอมหรือหลอกเส้นทางไม่ให้คนอื่นจับได้ว่าเราเดินมาเส้นทางไหน
บริการ VPN ยอดฮิตก็มี CyberGhost มีทางเลือกให้ใช้ฟรี คำว่า VPN บางคนอาจจะมองภาพไม่ดี ปลอมตัว แต่จริงๆแล้ว นิยามภาษาอังกฤษเขาบอกว่า a great tool to protect your privacy and security while you use the internet แน่นอนว่าทุกอย่างมีขาวและดำ ขึ้นอยู่กับว่าเราใช้ในทางไหน ในที่นี้เราใช้ปลอมตัวเพื่อความปลอดภัยของเราเอง
นอกจากนี้ มีบริการ Private Internet Access หรือย่อว่า PIA เว็บไซต์ https://www.privateinternetaccess.com เป็นบริการ VPN ที่เข้ารหัสให้เราปลอดภัย และส่งข้อมูลออกไปเป็น anonymous IP เพื่อไม่ให้คนอื่นดักข้อมูลของเราได้บนเครือข่ายสาธารณะ
ภาพนี้น่าจะอธิบายให้เห็นภาพชัดเจนว่า การใช้ VPN นั้น เปลี่ยนเลข IP ของเรา และเปลี่ยน Location ที่เราใช้งาน ทำให้เราปลอดภัย เพราะไม่มีใครรู้ตัวตนจริงๆ (IP จริง) ของเรา แต่สำหรับบริการธุรกรรมทางการเงิน และบริการ ดูหนัง ฟังเพลง ถูกลิขสิทธิ์ บางบริการอาจะใช้บริการได้เฉพาะในประเทศไทยเท่านั้น การ VPN ออกไปนอกประเทศ อาจทำให้ใช้บริการบางบริการไม่ได้
อีกเจ้าคือ Tor เป็น Tor Project สโลแกนคือ Anonymity Online หมายถึงล่องหนไม่มีตัวตน เพื่อปกป้องความเป็นส่วนตัวของคุณ และป้องกันการดักโจมตีหรือเก็บข้อมูล
บนมือถือจะเป็น Tor for Android ใช้งานได้บนมือถือ Android จริงๆใช้ได้บนคอม Windows, Mac บนมือถือจะเป็น Proxy with Tor ของ Orbot เป็นบริการ Free proxy ที่ทำให้เราใช้เน็ตได้อย่างปลอดภัย โดย Tor จะเข้ารหัสการใช้เน็ตของเรา หรือจะโหลด apk ก็ลองดูในเว็บ คนที่ใช้มือถือบางยี่ห้อ อ่านรายละเอียดที่ https://play.google.com/store/apps/details?id=org.torproject.android ส่วนใครที่อยากใช้บน Browser จะมี Tor Browser for Android เป็นช่วงทดลองใช้ ดาวน์โหลดฟรี https://play.google.com/store/apps/details?id=info.guardianproject.orfox
ล้างรอยเท้าการล็อกอินบน Social Network
ล่องหน ซ่อนตัว ไม่พอ ต้องลบรอยเท้าด้วย ร่องรอยยังมีอยู่ รู้ไหมว่า เราล็อกอิน Social Network และบริการต่างๆมีการเก็บ Log ของเราไว้ ถ้าเราลืม Logout จากร้านเน็ต หรืออุปกรณ์สาธารณะ ก็เข้ามาดูตรงนี้ได้ ถ้าเจออะไรแปลกๆก็สั่ง Logout ได้เลย
ยกตัวอย่าง Facebook เข้าไปที่ Security Settings
สังเกต Activity ไหมครับ ถ้าอันไหน แปลกๆ ก็สามารถกด End Activity ได้ เพื่อ Log Out ออกจากบริการ
Gmail ก็มีเหมือนกันครับ บนคอม เลื่อนลงไปมุมขวาล่าง
บัญชี Google / Gmail ของเราจะผูกกับมือถือ Android ด้วย ดังนั้นลองกดดู Activity จะเห็นว่าเราไม่สามารถกระดิกตัวได้เลย ทุกกิจกรรมการล็อกอิน หากมีการใช้งานขึ้น Log ตลอด
ที่แนะนำไปข้างต้นจะเป็นวิธีการง่ายๆที่เราทำได้เอง แต่หากจำเป็นจะต้องซ่อนตัวจริงๆ บางบริการอาจมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม เช่น DeleteMe ของ Abine.com โดยบริการแบบนี้ จะมีทั้ง Marked Credit Card, Secure Password คือทำเลขบัตรเครดิตไว้ชุดนึงเวลากรอกบนออนไลน์ แต่อาจจะมีการ token หรือผูกกับบัตรจริงเรา อันนี้ไม่รู้ว่าทางเทคนิคทำยังไง แต่มีค่าบริการ น่าจะปลอดภัยยิ่งขึ้น
ล้างให้ออก ลบให้สิ้น ระเบิดประวัติตัวเองบนโลกออนไลน์
นอกจากการล่องหน พรางตัวแล้ว บางคนก็อยากจะลบตัวเองออกจากโลกออนไลน์ ก็จะมีการปลดหรือลบ Account บน Social Network ลบ Username ตาม webboard ต่างๆ ซึ่งอาจจะต้องเข้าไปลบเองหรือขอให้ Webmaster ช่วยลบให้
สำหรับ Social Network เมื่อเผยแพร่อะไรออกไปแล้ว ตอนทำก็สนุกดี แต่ตอนอยากลบเนี่ยสิ ถ้าไม่อยากมีตัวตนบน Social แนะนำให้ลบทุกอย่างที่เป็น Social Network โดยการ Deactivate Account ของ Social Network ต่างๆ ปิดให้หมดทั้ง Facebook Twitter Instagram Google+ และบัญชีอื่นๆ รวมทั้ง E-Mail ด้วย แต่อย่าลืมว่า ชื่อ นามสกุล username ของคุณ ยังค้นเจอบน Google ต้องบอกว่าการปกปิด ซ่อนตัวบน Internet ทำได้ยาก และถึงจะมีการล่องหน แต่ด้วยกระบวนการกฎหมาย ก็สามารถสืบจาก IP Address ไปถึงที่อยู่ที่เราใช้งานได้ ดังนั้นการลบก็แค่การหลบหลังเสาอย่างที่ผมบอกไปตอนต้น ยิ่งตัวโตยิ่งซ่อนไม่มิด
วิธี Deactivate บัญชีบน Social Network
บัญชี Social network ต่างๆ มักจะมีตัวเลือก Deactivate ให้เราเลือกปิดหรือ Shut Down สถานะบัญชีลง หรือถ้าใช้มือถือ ยกตัวอย่างแอป facebook กดเข้าไปที่ 3 ขีด มุมขวาบน เลือก Account Setting > Security > Account Deactivate เพื่อปิดบัญชี Facebook ของเรา แต่ก่อนหน้านั้น แนะนำให้ดาวน์โหลดรูปภาพและวิดีโอของเราเก็บไว้ในเครื่องก่อน ส่วน Social Network อื่นๆ บางบริการอาจจะใช้คำว่า remove หรือ close บัญชี หรือมองหาในส่วนของการตั้งค่า Security หรือ Privacy ดูครับ
อีกกรณีหากเป็น Pantip แม้ว่าจะไม่ได้ใช้ชื่อล็อกอินเป็น username ก็อาจจะล็อกอินด้วยเบอร์โทรศัพท์มือถือ ก็มีการผูกกับการลงทะเบียนหมายเลขโทรศัพท์มือถือด้วยบัตรประชาชน หรือผูกกับ Facebook สังเกตได้จากกรณีดราม่าต่างๆ ที่มีคนเข้าไปส่องเฟสบุ๊กของเจ้าตัวที่เป็นประเด็นร้อน
เครื่องมือช่วยย่นเวลาบริหาร Deactivate บัญชี
แต่ถ้าเรามีหลายบริการ แนะนำบริการ justdelete.me เป็น directory ของ direct links กดเข้าไปยกเลิกบัญชัได้ ช่วยย่นเวลาหาเมนูเพื่อเข้าไปลบบัญชี เข้าผ่าน Browser ที่ https://justdelete.me แต่เท่าที่ลอง บางบริการก็เข้าไปไม่เจอหน้ายกเลิก เพราะ Link เปลี่ยน ต้องค้นเองอีกที เว็บไซต์นี้เป็นเพียงหน้า Directory ที่เป็นตัวกลาง พอกดก็จะเข้าไปถึงหน้า Delete Account ของแต่ละบริการได้เลย สะดวกดีครับ ลองกดเข้าไปสักอัน ยกตัวอย่าง บริการ Ask.fm เรื่องระงับการใช้งาน ยกเลิกการใช้งาน
ดังนั้น ทุกบริการ Social Network ที่เราสมัคร สามารถเข้าไปตั้งค่าบัญชีในการขอลบบัญชีได้
ทำไมข้อมูลส่วนตัวถึงไม่เป็นส่วนตัวล่ะ?
เคยมีอีกกรณีนึง พวก SMS ขยะ พวก Spam / Junk Mail บางคนบอกว่า ไม่เคยเปิดเผยข้อมูลส่วนตัวที่ไหนเลย แต่รู้ไหมว่า เวลาที่ลงทะเบียนชิงโชค เบอร์โทรส่วนตัว อีเมล อาจถูกเก็บข้อมูล แม้ข้อมูลจะเป็นความลับ แต่เราก็ไม่สามารถไว้วางใจได้ว่าจะถูกนำข้อมูลออกมาใช้ทางการตลาดหรือเปล่า ดังนั้น จึงทำให้เราซ่อนตัวยากมากขึ้นไปอีกบนโลกออนไลน์ และอย่าลืมว่า แม้เราจะไม่เล่นเน็ตเลย แต่การกรอกชิงโชคต่างๆ อาจจะถูกคนอื่นสวมรอยเอาชื่อ นามสกุล เบอร์โทร E-Mail เราไปใช้ไดั เลขบัตรประชาชนและสำเนานี่สำคัญ ลับมาก ห้ามเผยแพร่
ล้างบางให้หมดจด บน Search Engine
แม้เราจะซ่อนตัว ลบบัญชี ล้างรอยเท้าเราแล้ว แต่ Searh Engine ยังคงมีอยู่ เพราะแม้เราจะซ่อนตัว แต่ชื่อ นามสกุล ของเรา อาจจะยังอยู่ใน Search Engine อย่าง Google หรือ Bing เพราะมีเว็บประกาศผลรางวัลต่างๆ ประกาศรายชื่อตอนสอบเข้ามหาวิทยาลัย ยังไงก็มีชื่อเรา
ถ้าเราอยากจะลบข้อมูลอะไรที่เป็นข้อมูลส่วนตัวของเราออกจาก Google ทาง Google มีเครื่องมือแนะนำคือ Remove URLs Tool https://www.google.com/webmasters/tools/url-removal แต่จะต้องล็อกอินด้วยบัญชี Google ของเราก่อน อันนี้แนะนำให้ Webmaster ใช้ครับ สามารถร้องขอให้ Google ลบข้อมูลส่วนตัวของบุคคลได้
ส่วนการลบข้อมูลส่วนตัว สามารถระบุได้ ในการนำข้อมูลที่ล้าสมัยออกครับ เข้าไปที่ https://www.google.com/webmasters/tools/removals?pli=1
สุดท้าย ลบ และล้างอีเมล
ท้ายที่สุด ย้อนกลับไปเมื่อ 10 กว่าปีก่อน เราสร้าง E-Mail แล้วใช้ E-Mail สมัครทุกบริการบนโลกออนไลน์ ล็อกอินด้วย user name ซึ่งผูกกับ E-Mail Address ดังนั้นการลบบัญชี E-Mail ออก เป็นหนทางสุดท้ายที่ปิดประตูการเข้าใช้งานทุกบริการของเรา ที่เกี่ยวข้องกับตัวเรา
แต่อย่างไรก็ตาม การล่องหนบนโลกออนไลน์ นั้นยาก เพราะทำอะไรก็ฝากรอยเท้าเอาไว้ แม้จะใช้เน็ตที่ร้านเน็ต ต่อให้ล้างประวัติการใช้งานคลีนแค่ไหน ก็มีกล้องวงจรปิดที่จับภาพไว้ได้ เราอาจะต้องลบข้อมูลของเราไปเรื่อยๆ ทำวันเดียวไม่เสร็จง่ายๆ เราควรตระหนักและพึงระวังการล็อกอินต่างๆ
และทั้งหมดนี้ก็คือการล่องหน และซ่อนตัวเองเพื่อความปลอดภัยในการใช้อินเทอร์เน็ต ความปลอดภัยของข้อมูลส่วนตัว ควรตระหนักและพึ่งระวัง หมั่นเอะใจพฤติกรรมแปลกๆบนโลกออนไลน์ เปลี่ยนรหัสผ่านบ่อยๆ (แต่ต้องจำได้ด้วยนะ) อย่าเลือกให้เครื่องจำรหัสผ่าน ป้อนใหม่ทุกครั้ง ใช้แล้ว Log Out ออก ให้เป็นนิสัย
ทิ้งท้ายกับคำว่า "เปลี่ยนรหัสผ่านบ่อยๆ" คำนี้ยังเป็นฮีโร่ ในทุกสถานการณ์ทั้ง Online และ Offline และอย่าวางใจใคร เพราะแม้เราจะล่องหน ทำทุกอย่างตามที่ว่ามา แต่ถ้ามีใคร Capture ภาพ ข้อความที่เราโพสต์ไปแล้ว แม้จะลบบัญชี ล้างทุกอย่าง ก็ยังมีร่องรอย ทุกเป็นหลักฐานในมือคนอื่น ยังไงมันก็ยังมีร่องรอยให้เห็น โลก (ออนไลน์) ไม่ได้อยู่ยาก แต่เราต้องเรียนรู้ที่จะอยู่ ดังนั้น บางคนจึงเลือกไม่เผยแพร่อะไรบนโลกออนไลน์เลยจะดีที่สุด
|
ความคิดเห็นที่ 1
31 กรกฎาคม 2559 09:46:48
|
||
GUEST |
mmsk56
บทความโครตจะมีประโยชน์เลย
|
|