6 ฟีเจอร์ของ Windows ที่หายไป ถูกแทนที่ด้วยของใหม่

6 ฟีเจอร์ของ Windows ที่หายไป ถูกแทนที่ด้วยของใหม่

ทุกครั้งที่ทาง Microsoft มีการอัปเดท ระบบปฏิบัติการ (OS) Windows มันก็จะตามมาด้วยความเปลี่ยนแปลง ไม่ว่าจะเป็นระดับเล็ก หรือระดับใหญ่ ซึ่งบางครั้งมันก็เป็นการเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ที่ตอบโจทย์ผู้ใช้ยุคปัจจุบัน แต่ทว่าบางครั้งกลับเป็นการถอดฟีเจอร์เดิมที่เราคุ้นชิน เคยใช้มาอย่างยาวนานออกไปอย่างเงียบ ๆ โดยไม่มีการบอกกล่าว

ฟีเจอร์บางอย่างที่เราใช้จนชินมือแล้ว แต่เมื่อเวลาผ่านไป มันก็ถูกแทนที่ด้วยฟีเจอร์ใหม่ที่ได้รับการปรับปรุงให้ทันสมัยมากขึ้น หรือไม่ก็ถูกปรับให้เหมาะสมกับเทรนด์การใช้งานของผู้ใช้ที่เปลี่ยนไป

ในบทความนี้ เราจะพาคุณผู้อ่านไปย้อนรอย 6 ฟีเจอร์ของ Windows ที่เคยมีให้ใช้งานกันมาอย่างยาวนาน แต่ปัจจุบันได้ถูกแทนที่ฟีเจอร์ใหม่เป็นที่เรียบร้อยแล้ว มาดูกันว่ามีอะไรที่หายไปบ้าง ? และมันถูกแทนที่อะไร ?

1. Internet Explorer → Microsoft Edge

ภาพจาก : https://www.wikihow.tech/Check-What-Version-of-Internet-Explorer-You-Have

โปรแกรม Internet Explorer เป็นเว็บเบราว์เซอร์ตัวเริ่มต้นสำหรับการใช้งานอินเทอร์เน็ตบนเครื่อง คอมพิวเตอร์ (PC) ที่ใช้งานระบบ Windows และในช่วงเวลาหนึ่งมันเคยเป็นเว็บเบราว์เซอร์ที่มีจำนวนผู้ใช้งานมากที่สุดในโลก (ถึงจะด้วยผลจากการที่มันมาพร้อมกับระบบปฏิบัติการ Windows ก็เถอะ)

อย่างไรก็ตาม เมื่อเว็บไซต์มีการพัฒนาไปมากขึ้น เทคโนโลยีที่มีอยู่ใน Internet Explorer ก็เริ่มล้าสมัย ไม่ตอบโจทย์การแสดงผลของเว็บไซต์ยุคใหม่, ช่องโหว่ด้านความปลอดภัยเยอะ และที่สำคัญคือ มันทำงานช้ามาก ไม่ว่าทาง Microsoft จะพยายามปรับปรุงมันแค่ไหนก็ตาม แต่มันก็ไม่อาจตามคู่แข่งได้ทันแล้ว ซึ่งเห็นได้อย่างชัดเจนในช่วงที่ระบบปฏิบัติการ Windows 10 เปิดตัว

ทำให้ในที่สุด Microsoft เลยตัดสินใจทำเว็บเบราว์เซอร์ใหม่มาใช้งานแทนเลยดีกว่า ออกมาเป็น Microsoft Edge ที่ใช้เอนจินใหม่อย่าง EdgeHTML ที่ทาง Microsoft พัฒนาขึ้นมาเอง อย่างไรก็ตาม Edge เวอร์ชันนี้ก็ไปไม่รอดเช่นกัน จนในที่สุด Microsoft ก็เลยพัฒนา Edge ขึ้นมาใหม่อีกครั้ง โดยใช้ Chromium ซึ่งเป็นโครงการ โอเพ่นซอร์ส (Open-Source) ตัวเดียวกับที่ใช้อยู่ใน Google Chrome จนกลายเป็นเว็บเบราว์เซอร์ที่เร็วขึ้น, ปลอดภัยขึ้น และรองรับการแสดงผลเว็บไซต์สมัยใหม่ได้ดียิ่งขึ้น

ปัจจุบันนี้ Internet Explorer ถูกยุติการใช้งานอย่างเป็นทางการเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2022 (พ.ศ. 2555) โดยมี Microsoft Edge (Chromium) มาให้ใช้งานแทน

ภาพจาก : https://pureinfotech.com/microsoft-edge-biggest-new-features-coming-2023/

2. WordPad → Notepad

ภาพจาก : https://www.top-password.com/blog/how-to-open-wordpad-in-windows-10/

โปรแกรม WordPad ได้มาพร้อมกับระบบปฏิบัติการ Windows มาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1995 (พ.ศ. 2538) โดยโปรแกรมนี้ถูกวางตำแหน่งเอาไว้ให้อยู่ระหว่าง "โปรแกรม Notepad ที่มีฟีเจอร์เรียบง่าย" กับ "Microsoft Word ที่มีฟีเจอร์ครบถ้วน" WordPad จึงเป็นโปรแกรมที่ผู้ใช้มักเลือกใช้ในการทำเอกสารง่าย ๆ เช่น พิมพ์เรียงความสั้น ๆ, เปิดเอกสารที่มีคนส่งมา หรือจดบันทึกพร้อมแทรกรูปภาพแบบง่าย ๆ

แต่ในปี ค.ศ. 2023 (พ.ศ. 2566) Microsoft ได้ออกมาประกาศว่า จะยุติการใช้งาน WordPad อย่างเป็นทางการ โดยให้เหตุผลว่า โปรแกรม WordPad ไม่สอดคล้องกับระบบการทำงานของซอฟต์แวร์สมัยใหม่ของ Windows อีกต่อไป และกลุ่มผู้ใช้งานก็มีจำนวนลดลงเรื่อย ๆ เป็นผลให้ Microsoft ออกมาแนะนำให้ใช้ Notepad แทน สำหรับการแก้ไขข้อความแบบง่าย ๆ หรือใช้ Microsoft Word เมื่อต้องการใช้งานฟีเจอร์ขั้นสูง

เรื่องน่าสนใจอีกอย่างคือ แม้ WordPad จะจากไป แต่ Microsoft ก็ได้ปรับปรุงให้ Notepad มีฟีเจอร์เพิ่มมากขึ้น เช่น เพิ่มโหมดมืด, รองรับการจัดรูปแบบข้อความ, บันทึกอัตโนมัติ และรองรับการใช้งานร่วมกับ ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ทำให้มันกลายเป็นซอฟต์แวร์ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น

ภาพจาก : https://support.microsoft.com/en-us/windows/enhance-your-writing-with-ai-in-notepad-4088b954-c97b-46dc-813f-959be01746d5

3. Cortana → Copilot

ภาพจาก : https://www.techspot.com/news/65766-microsoft-make-cortana-mandatory-anniversary-update.html

ทาง Microsoft เคยพยายามผลักดันให้ Cortana เป็นผู้ช่วยอัจฉริยะ ที่ตั้งใจให้มาแข่งขันกับ Siri และ Alexa ของคู่แข่ง โดย Cortana ถูกฝังไว้ให้สามารถเรียกใช้งานได้โดยตรงในแถบค้นหาของ Windows ซึ่งผู้ใช้สามารถถามสภาพอากาศ, ตั้งการแจ้งเตือน หรือควบคุมการด้วยเสียงได้

แม้จะอ่านแล้วดูดี อย่างไรก็ตาม ในความเป็นจริง Cortana ไม่ประสบความสำเร็จอย่างที่ Microsoft คาดหวังไว้ มันไม่เคยได้รับความนิยมจากผู้ใช้ ผู้ใช้ไม่ได้ต้องการสนทนากับคอมพิวเตอร์เหมือนกับที่ Microsoft จินตนาการไว้ อีกทั้ง ตัว Cortana ก็ไม่มีระบบ ระบบนิเวศ (Ecosystem) ที่แข็งแกร่งเหมือนอย่างที่ Siri หรือ Alexa มี ในที่สุดเมื่อเวลาผ่านไป Microsoft ก็ถอดตัว Cortana ออกจาก Windows 

สิ่งที่ Microsoft ส่งมาเป็นผู้ช่วยแทนคือ Copilot ซึ่งเป็น AI ของ Microsoft ที่ใช้เทคโนโลยีเดียวกับ ChatGPT ในการทำงาน โดย Copilot จะอยู่ทั้งใน Windows 11 และ Microsoft 365 เพื่อช่วยงานผู้ใช้ในด้านต่าง ๆ เช่น ร่างอีเมล, สรุปเอกสาร หรือตั้งค่าระบบ จุดที่แตกต่างจาก Cortana คือตรงที่ Copilot จะไม่เน้นการสั่งงานด้วยเสียง แต่ถูกออกแบบมาให้เหมาะกับการสั่งงานผ่านการพิมพ์ ซึ่งตอบโจทย์รูปแบบการใช้งานจริงของผู้ใช้ส่วนใหญ่ได้ดีกว่า

ภาพจาก : https://news.microsoft.com/th-th/2023/09/29/announcing-microsoft-copilot-th/

4. Windows Media Player → Media Player

เป็นเวลานานกว่าหลายปีที่ Windows Media Player ได้เป็นซอฟต์แวร์หลักสำหรับใช้ในการดูภาพ, ฟังเพลง และรับชมวิดีโอ ในระบบปฏิบัติการ Windows ผู้ใช้สามารถใช้มันสร้างเพลย์ลิสต์, แปลง แผ่นซีดี (CD) และดูหนังภาพยนตร์ได้ แต่เมื่อรูปแบบไฟล์เปลี่ยนไป และบริการสตรีมมิ่งเริ่มได้รับความนิยม โปรแกรมเล่นมีเดียแบบเดิมอย่าง Windows Media Player ก็เริ่มล้าสมัย

Microsoft เคยพยายามแก้ปัญหาด้วยการนำเสนอทางเลือกใหม่ เช่น แอป Groove Music และแอป Movies & TV แต่น่าเสียดายที่ไม่มีแอปพลิเคชันตัวไหนเลยที่ได้รับความนิยมจากผู้ใช้งาน ปัจจุบันมันก็เลยถูกเปลี่ยนชื่อใหม่มีความเรียบง่ายมากขึ้น โดยใช้ชื่อว่า Media Player ซึ่งเปิดตัวพร้อมกับระบบปฏิบัติการ Windows 11 รองรับไฟล์หลากหลายประเภทมากขึ้น, มีดีไซน์ที่มินิมอลกว่าเดิม และทำงานร่วมกับคลังเพลง และวิดีโอได้ในแอปพลิเคชันเดียว

สำหรับใครที่คิดถึง Windows Media Player ก็ยังคงมีอยู่ใน Windows 11 ให้เรียกใช้งานได้นะ ในชื่อ "Windows Media Player Legacy" แม้จะถูกซ่อนไว้ และต้องพิมพ์ค้นหาเท่านั้นถึงจะเจอ

ภาพจาก : https://pureinfotech.com/windows-11-new-media-player-app/

5. Aero Glass → Flatter

ภาพจาก : https://th.wikipedia.org/wiki/วินโดวส์_7

ใครที่ทันใช้งานระบบปฏิบัติการ Windows Vista หรือ Windows 7 ก็คงจะคุ้นเคยกับ ส่วนต่อประสานกราฟิกกับผู้ใช้ (GUI) แบบ Aero Glass ซึ่งเป็นดีไซน์แบบโปร่งใส, เน้นเงา และแสง ที่ทำให้หน้าตาของตัวระบบปฏิบัติการ Windows ดูเหมือนแผ่นกระจกหลายชิ้นวางเรียงกัน มีทั้งแสงสะท้อน ไล่เฉดสี และเอฟเฟกต์เบลอ ซึ่งในยุคนั้นถือว่าเป็นดีไซน์ที่ดูล้ำสมัยมาก ๆ

แต่สิ่งที่ต้องแลกมาก็คือ ประสิทธิภาพของการแสดงผลแบบ Aero Glass ต้องใช้พลังการประมวลผลจาก การ์ดจอ (GPU) และ หน่วยประมวลผลกลาง (CPU) มากขึ้น รวมถึงแบตเตอรี่ด้วย ทำให้หลายคนมองว่ามันดู "เยอะ" เกินไป ใช้ทรัพยากรเครื่องสิ้นเปลือง โดยเฉพาะในคอมพิวเตอร์ที่มีสเปคระดับเริ่มต้น ทำให้พอถึงยุคระบบปฏิบัติการ Windows 8 ทาง Microsoft ก็เลยปรับลดเอฟเฟคให้น้อยลงอย่างชัดเจน ตัดการแสดงผลในส่วนขอบกระจก, แสงสะท้อน และการไล่เฉดสีออกไป เพื่อให้ได้ GUI ที่เรียบง่าย, สะอาดตายิ่งขึ้น และใช้ทรัพยากรลดลง

ใน Windows 10 นำเทคนิคแสดงผลที่มีความลึกของภาพกลับมาเล็กน้อยผ่าน Fluent Design ซึ่งเพิ่มความโปร่งใสแบบบางๆ จำลองพื้นผิวเลียนแบบวัสดุ Acrylic และการจัดแสงที่ดูมีมิติ แต่ใน Windows 11 ได้ลดการดีไซน์ให้เรียบง่ายขึ้นไปอีก จนออกมาเป็นดีไซน์ที่เรียกว่า Flatter อย่างที่เราใช้งานกันอยู่ในปัจจุบันนี้

ภาพจาก : https://www.sirkit.ca/blog/welcome-to-windows-11-simple-powerful

6. Windows Photo Viewer → Photos

ภาพจาก : https://betawiki.net/wiki/Windows_Photo_Viewer

โปรแกรม Windows Photo Viewer เคยเป็นโปรแกรมดูภาพที่ทำงานได้รวดเร็ว, น้ำหนักเบา และไม่พยายามใส่ฟีเจอร์มากเกินจำเป็น มันมาในระบบปฏิบัติการ Windows 7 หากผู้ใช้ดับเบิลคลิกไฟล์รูปภาพ โปรแกรมนี้จะเปิดขึ้นแทบจะในทันที ทำให้เหมาะมากสำหรับการเปิดดูภาพในโฟลเดอร์อย่างรวดเร็ว

แต่เมื่อเข้าสู่ยุคระบบปฏิบัติการ Windows 10 ทาง Microsoft ได้เปลี่ยนโปรแกรมดูภาพจาก Windows Photo Viewer เป็น Photos ให้เป็นโปรแกรมดูภาพเริ่มต้นแทน ซึ่งโปรแกรมใหม่นี้มีความแตกต่างจาก Windows Photo Viewer ตรงที่ Photos มีฟีเจอร์เพิ่มเติม เช่น การแก้ไขภาพเบื้องต้น ไม่ว่าจะเป็นการครอบภาพ, หมุน, ปรับความสว่าง ฯลฯฃ

แต่จุดด้อยของ Photos คือ เรื่องความเร็ว ผู้ใช้จำนวนมากพบว่า Photos ใช้เวลานานกว่าในการเปิดภาพ บางครั้งแสดงภาพเบลอ หรือว่างเปล่าก่อนที่ภาพจะโหลดเสร็จ แม้ Microsoft จะปรับปรุงประสิทธิภาพในอัปเดตล่าสุดแล้ว แต่โปรแกรมดูภาพรุ่นเก่าอย่าง Windows Photo Viewer ยังคงให้ความรู้สึกว่าเร็วกว่าอย่างเห็นได้ชัด

สุดท้ายนี้ ไม่ว่า Microsoft จะตัดอะไรออกไป ก็มักจะมีสิ่งใหม่เข้ามาทดแทนให้เสมอ บางครั้งสิ่งที่มาแทนให้อาจเป็นความก้าวหน้า แต่บางครั้งก็เหมือนว่าของเก่าก็ดีอยู่แล้วแท้ ๆ ไม่น่าตัดออกเลย