9 วิธีปรับแต่ง Windows 11 ให้เล่นเกมลื่นๆ เล่นเกมไม่กระตุก เล่นเกมไม่สะดุด

9 มาปรับแต่ง Windows 11 ให้เล่นเกมลื่นขึ้น เล่นเกมไม่สะดุด และกระตุก

บทความนี้ เราเอาเทคนิคการปรับแต่งค่าคอมพิวเตอร์ ระบบปฏิบัติการ Windows 11 ให้เล่นเกมส์ได้ลื่นขึ้นมาฝาก โดยทั้งหมดนี้สามารถทำตามได้โดยไม่ต้องเสียเงินเลย 

หมายเหตุ : สำหรับคนที่คอมพิวเตอร์สเปกแรงอยู่แล้ว การปรับแต่งในทิปส์นี้ น่าจะช่วยอะไรไม่ได้มากนะครับ แต่หากสเปกคอมพิวเตอร์ไม่แรง คิดว่าน่าจะช่วยได้ในระดับหนึ่งเลยล่ะ

ไม่ว่าคุณจะชอบ หรือเกลียดความเปลี่ยนแปลงของ หน้าจอผู้ใช้งาน (User Interface) ที่ทาง Microsoft ปรับใหม่ในระบบปฏิบัติการ Windows 11 แต่เราก็ต้องยอมรับความจริง ว่ามันก็มีคุณสมบัติใหม่หลายอย่างที่น่าสนใจถูกใส่เข้ามา อย่างคุณสมบัติ AutoHDR ที่ช่วยให้ภาพภายในวิดีโอเกมดูสวยงามยิ่งขึ้น (ถ้าคุณใช้หน้าจอแสดงผลที่รองรับ HDR นะ)

อย่างไรก็ตาม หากคุณรู้สึกว่าคอมพิวเตอร์ของคุณควรจะเล่นเกมได้มีประสิทธิภาพมากกว่าที่เป็นอยู่ หรืออยากรีดประสิทธิภาพการเล่นเกมให้สูงยิ่งกว่าเดิม ก็อาจจะต้องปรับแต่ง ตั้งค่าบางอย่างของระบบปฏิบัติการด้วยตนเองด้วย โชคดีที่ขั้นตอนที่เราเอ่ยถึงนั้น มันไม่ยาก สามารถทำตามคำแนะนำในบทความนี้ได้เลย

1. ปิดโปรแกรมที่เริ่มต้นทำงานอัตโนมัติใน Startup
(Disable Startup Programs)

เวลาที่เราติดตั้งโปรแกรมเพิ่มเข้าไปในตัวระบบปฏิบัติการของ Windows บางโปรแกรมจะกำหนดค่า Services บางตัวของมันเริ่มทำงานโดยอัตโนมัติทันทีที่เราเปิดเครื่อง อาจจะเพื่อตรวจสอบการอัปเดตเวอร์ชัน, เพื่อให้โปรแกรมพร้อมใช้งานตลอดเวลา ฯลฯ

โดยปกติแล้ว โปรแกรมเหล่านี้ก็จะไม่ได้ส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพในการเล่นเกมของคุณมากนัก อย่างมากก็แค่ทำให้ระบบพร้อมใช้งานช้าลงไปบ้าง แต่ก็อาจจะมีบางโปรแกรมที่ใช้ทรัพยากรในระบบสูง จนส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพในการเล่นเกมได้เช่นกัน

ถ้าหากคุณคิดว่าน่าจะมีโปรแกรมที่กินทรัพยากรเยอะจนทำให้คุณเล่นเกมได้ไม่ลื่นอยู่ หรือสเปกคอมพิวเตอร์ที่ใช้งานค่อนข้างต่ำ อะไรประหยัดได้ ก็อยากจะประหยัด ก็สามารถเข้าไปปิดโปรแกรม Startup ได้ด้วยขั้นตอนดังนี้

1. กด "ปุ่ม Ctrl + Shift + Esc" เพื่อเปิด "แอป Task Manager" ขึ้นมา
2. คลิกที่ "แท็บ Startup"
3. คลิกขวาบนโปรแกรมที่ต้องการปิด แล้วเลือก "เมนู Disabled"

2. ปิดโปรเซส ของโปรแกรมที่ใช้ทรัพยากรสูง
(End task some high CPU usage processes)

โปรแกรม หรือแอปพลิเคัน บางตัวจะใช้ทรัพยากร หน่วยความจำหลัก (RAM) และ หน่วยประมวลผลกลาง (CPU) ที่สูงมาก ซึ่งบางตัวต่อให้เราปิดหน้าต่างโปรแกรมไปแล้ว แต่เบื้องหลังมันอาจจะยังประมวลผล (Processes) อยู่ เราสามารถเข้าไปสั่งปิดโปรเซส (Process) ก่อนที่จะเริ่มเล่นเกม ได้ด้วยขั้นตอนดังนี้

1. กด "ปุ่ม Ctrl + Shift + Esc" เพื่อเปิด "แอป Task Manager" ขึ้นมา
2. คลิกที่ "แท็บ Processes"
3. คลิกขวาบนโปรแกรมที่ต้องการปิด แล้วเลือก "เมนู End task"

3. กำหนดค่าลำดับความสำคัญ ในการประมวลผลของเกมเป็นระดับสูง
(Set game processing priority to high)

ตามปกติแล้ว CPU จะจัดลำดับความสำคัญในการประมวลผลงานต่าง ๆ ให้เราเองโดยอัตโนมัติ แต่ถ้าหากว่าเรารู้สึกว่าเกมกระตุก หรือเฟรมเรตร่วงบ่อย เราสามารถที่จะสั่งให้ CPU ให้ความสำคัญในการประมวลผลของเกมเป็นระดับสูง เพื่อเพิ่มพลังในการประมวลได้ ด้วยขั้นตอนดังต่อไปนี้

1. กด "ปุ่ม Ctrl + Shift + Esc" เพื่อเปิด "แอป Task Manager" ขึ้นมา
2. คลิกที่ "แท็บ Details"
3. คลิกขวาบนชื่อเกมที่ต้องการ กำหนดค่าลำดับความสำคัญ แล้วเลือก "เมนู Set Priority" ตามด้วย "เมนู High"

4. ปรับลด Visual Effects
(Reduce Visual Effects)

ในหน้าจอผู้ใช้งานแบบกราฟิก (Graphical User Interfaces - GUI) ของ ระบบปฏิบัติการ Windows 11 ได้ถูกตั้งค่ามาตรฐานมาให้แสดงแบบ "สวยงาม" แน่นอนว่าความสวยงามนี้ ก็ต้องแลกมาด้วยกับการใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ มันอาจจะน้อยมาก ถ้าเทียบกับประสิทธิภาพของคอมพิวเตอร์ในปัจจุบันนี้

แต่ถ้าคอมพิวเตอร์ของเรามีสเปกค่อนข้างต่ำ หรือเก่ามาก มันก็เป็นการใช้ทรัพยากรเครื่องที่สูญเปล่าโดยใช่เหตุ ดังนั้นเรามาปรับค่าการแสดงผลแบบให้เน้นประสิทธิภาพแทนกันดีกว่า

1. ให้เรากด "ปุ่ม Windows + i" เพื่อเปิด "แอป Windows Settings" ขึ้นมา จากนั้นพิมพ์ลงในช่องค้นหาว่า "Performance" แล้วคลิกเลือก "เมนู Adjust the appearance and performance of Windows"

2. และ "หน้าต่าง Performance Options" จะเปิดขึ้นมา
3. คลิกเลือก "ตัวเลือก Adjust for best performance" แล้วคลิก "ปุ่ม Apply" เพื่อปรับใช้งานค่าใหม่

5. ปิดการแสดงผลแบบ Animations Effects
(Disable Animations Effects)

การเคลื่อนไหวของ User Interface บนระบบปฏิบัติการ Windows 11 บนระบบปฏิบัติการจะมีการทำแอนิเมชัน (Animations) เคลื่อนไหวที่สวยงาม ซึ่งเอฟเฟคเหล่านี้ต้องใช้ทรัพยากรเครื่องด้วยเช่นกัน หากคุณเน้นความเร็ว และต้องการประหยัดทรัพยากรที่มีอยู่ ก็สามารถปิดการแสดงผลแบบ Animations Effects ได้ด้วยขั้นตอนดังนี้

1. ให้เรากด "ปุ่ม Windows + i" เพื่อเปิด "แอป Windows Settings" ขึ้นมา
2. ในพาเนลด้านซ้าย คลิกที่ "เมนู Accessibility"
3. ในพาเนลด้านขวา คลิกที่ "เมนู Visual Effects"
4. ตรง Animation effects คลิกเปลี่ยนจาก "On" เป็น "Off"
5. สามารถเลือกปิดคุณสมบัติพื้นหลังโปร่งใสเพื่อลดการใช้ทรัพยากรได้อีกส่วน ได้ที่หัวข้อ "Transparency Efftects" โดยคลิกเปลี่ยนจาก "On" เป็น "Off"

6. ปรับค่าแผนการใช้พลังงาน เป็นแบบ Ultimate Performance
(Change power plan to Ultimate Performance)

โดยปกติแล้ว ระบบปฏิบัติการ Windows จะตั้งค่าการเริ่มต้นการใช้พลังงานเป็นแบบ Balance (ประหยัดไฟ) แต่มีเกมเมอร์หลายคนระบุว่า พอเขาปรับแผนการใช้พลังงานให้เป็นแบบ "High Performance" หรือ "Ultimate-Performance" จะทำให้เล่นเกมได้ลื่นขึ้น ลองดูก็ไม่เสียหาย

ข้อมูลเพิ่มเติม : Balanced, Power Saver, High Performance และ Ultimate Performance คืออะไร ? และ ต่างกันอย่างไร ?

1. กด "ปุ่ม Windows + r" พิมพ์ลงในช่องค้นหาว่า "control" แล้วกด "ปุ่ม Enter"
2. ใน "หน้าต่าง Control Panel" จะแสดงผลขึ้นมา ตรง "View by" เลือกเป็น "Small Icons"
3. คลิกที่ "ไอคอน Power Options"

4. คลิกเลือกแผนการใช้พลังงานที่ต้องการ

หมายเหตุ : ถ้าไม่มีแผนการใช้พลังงานแบบ High performance หรือ Ultimate performances ให้เลือก ให้ทำตามบทบทความนี้ https://tips.thaiware.com/1566.html

7. อัปเดตไดร์เวอร์ของการ์ดจอ ให้เป็นเวอร์ชันใหม่ล่าสุด
(Update graphic card driver to the latest version)

การ์ดจอเป็นหัวใจสำคัญในการประมวลผลกราฟิกของคอมพิวเตอร์ ซึ่งทางผู้ผลิตจะมีการอัปเดตไดร์เวอร์ของการ์ดจออยู่อย่างเสมอ เพื่อปรับแต่งการทำงานให้รองรับการทำงานร่วมกับเกมใหม่ ๆ ได้ดียิ่งขึ้นกว่าเดิม

โดยการอัปเดตไดร์เวอร์ของการ์ดจอ Nvidia และ AMD ก็จะคล้ายคลึงกัน แต่ในบทความนี้จะสาธิตด้วยการ์ดจอ Nvidia นะ

1. เปิดโปรแกรม Geforce Experience ขึ้นมา (หากใช้ AMD จะเป็น Radeon Software)
2. คลิกที่ "แท็บ Driver" (หากใช้ AMD จะเป็น "แท็บ System")
3. หากมีไดร์เวอร์เวอร์ชันใหม่ จะมีแจ้งเตือนให้ผู้ใช้คลิกเพื่อดาวน์โหลด และติดตั้งไดร์เวอร์ทันที

8. เปิดใช้งานโหมดเกม
(Enable Game Mode)

Game Mode ไม่ใช่คุณสมบัติใหม่ มันมีมาตั้งแต่ในระบบปฏิบัติการ Windows 10 แล้ว โดยเป็นคุณสมบัติที่จะกำหนดให้ระบบลดการใช้ทรัพยากรอื่นที่ไม่จำเป็นต่อการเล่นเกม และปิดการแจ้งเตือนต่าง ๆ ที่สามารถรบกวนผู้เล่นด้วย

สามารถเปิดใช้งาน Game Mode  ได้ด้วยขั้นตอนดังนี้

1. กด "ปุ่ม Windows + i" เพื่อเปิด "หน้าต่าง Settings" ขึ้นมา
2. ในพาเนลด้านซ้าย คลิกที่ "เมนู Gaming"
3. ในพาเนลด้านซ้าย คลิกที่ "เมนู Game Mode"

4. คลิกเลื่อนเป็น "On" เพื่อเปิดใช้งาน Game Mode

9. ปิดการปรับแต่ง เวลาเล่นเกมส์แบบเต็มหน้าจอ
(Disable settings when playing games in Fullscreen)

เป็นทริคที่ใช้ได้เกือบทุกเกม จากการทดสอบส่วนตัว เราพบว่ารีด fps ได้เพิ่มมา 10-20fps เลยล่ะ (แล้วแต่เกม) 

1. ให้เราไปที่ตัว .exe ของเกม (ลงเกมไว้ที่ไหน ก็ไปเปิดหาที่นั่น) จากนั้นคลิกขวาที่ตัวไอคอน เลือก "เมนู Properties"
2. คลิกที่ "แท็บ Compatibility" ตรงด้านล่างให้เราคลิก "☑ Disable fullscreen optimizations แล้วคลิกที่ "ปุ่ม Apply" 

ก็หวังว่าเทคนิคที่นำมาฝากจะช่วยให้ผู้ที่ชอบเล่นเกมบน PC ได้รับประสบการณ์ที่ดีขึ้นกว่าเดิมนะ