Brie Larson มีชื่อจริงว่า Brianne Sidonie Desaulniers เธอเกิดวันที่ 1 ตุลาคม ค.ศ. 1989 (พ.ศ. 2532) ที่ Sacramento, California ประเทศอเมริกา
Brie เริ่มต้นเรียนทางด้านการแสดงตอนอายุเพียง 6 ปี และเป็นนักเรียนที่เด็กที่สุดที่เข้าเรียนที่ American Conservatory Theater ใน San Francisco
การแสดงของเธอครั้งแรกปรากฏตัวใน The Tonight Show with Jay Leno ค.ศ. 1998 (พ.ศ. 2541) ตามมาด้วยการแสดงซีรีส์ To Have & to Hold ค.ศ. 1998 (พ.ศ. 2541), Popular ค.ศ. 1999 (พ.ศ. 2542)
จนกระทั่งเธอได้มาแสดงหนังเรื่องแรกในเรื่อง Special Delivery ค.ศ. 1999 (พ.ศ. 2542) และหลังจากนั้นเธอก็เริ่มมีผลงานมากขึ้น ทั้งซีรีส์ Then Came You ค.ศ. 2000 (พ.ศ. 2543), Schimmel ค.ศ. 2000 (พ.ศ. 2543), Madison ค.ศ. 2001 (พ.ศ. 2544)
เธอได้ไปแสดงซีรีส์ทาง WB เรื่อง Raising Dad ค.ศ. 2001-2002 (พ.ศ. 2544-2545) รวมถึงหนังใน Disney Channel เรื่อง Right on Track ค.ศ. 2003 (พ.ศ. 2546), แสดงหนังค่าย MGM เรื่อง Sleepover ค.ศ. 2004 (พ.ศ. 2549) ซึ่งทั้งหมดที่กล่าวมานั้นเธอทำมันก่อนจะเรียนจบจากชั้นมัธยมต้นเสียอีก
อาชีพการแสดงของเธอก้าวหน้าขึ้นเรื่อย ๆ มีบทบาทมาให้เธออีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น Tanner Hall ค.ศ. 2009 (พ.ศ. 2552), Just Peck ค.ศ. 2009 (พ.ศ. 2552), ได้รับเสียงชื่นชมอย่างมากมาย จากเรื่อง The Beautiful Ordinary ค.ศ. 2007 (พ.ศ. 2550) จนทาง Variety เรียกเธอว่า "scene stealer" จอมขโมยซีน
การแสดงของเธอยังคงพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง ในบทบาท Kate Gregson จากซีรีส์ United States of Tara ค.ศ. 2009-2011 (พ.ศ. 2552-2554)
ทางด้านหนังเธอก็ยังคงไม่ได้ห่างหายไปไหน เพราะยังมีผลงานของเธออย่างต่อเนื่อง ทั้ง Greenberg ค.ศ. 2010 (พ.ศ. 2553), House Broken ค.ศ. 2010 (พ.ศ. 2553), Scott Pilgrim vs. the World ค.ศ. 2010 (พ.ศ. 2553), The Trouble with Bliss ค.ศ. 2011 (พ.ศ. 2554), Rampant ค.ศ. 2011 (พ.ศ. 2554), Treatment ค.ศ. 2011 (พ.ศ. 2554), 21 Jump Street ค.ศ. 2012 (พ.ศ. 2555), The Spectacular Now ค.ศ. 2013 (พ.ศ. 2556), Don Jon ค.ศ. 2013 (พ.ศ. 2556), Short Term ค.ศ. 2013 (พ.ศ. 2556), The Gambler ค.ศ. 2014 (พ.ศ. 2557), Digging for Fire ค.ศ. 2015 (พ.ศ. 2558), Trainwreck ค.ศ. 2015 (พ.ศ. 2558), Kong: Skull Island ค.ศ. 2017 (พ.ศ. 2560)
และฝากผลงานเอาไว้อย่างยอดเยี่ยมในหนังดราม่าระทึกขวัญเรื่อง Room ค.ศ. 2015 (พ.ศ. 2558) ที่ส่งให้เธอได้เข้าชิงรางวัลควบ 2 เวทีใหญ่ทั้งออสการ์และลูกโลกทองคำเป็นครั้งแรก และทำให้เธอสามารถคว้ารางวัลมาได้ทั้ง 2 เวทีเลยทีเดียว
อาชีพการแสดงของเธอเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง เมื่อเธอได้รับบทบาทสำคัญในจักรวาล MCU กับบทบาท Carol Danvers หรือ Captain Marvel ค.ศ. 2019 (พ.ศ. 2562) และปรากฏตัวต่อเนื่องใน Avengers: Endgame (2019) แถมในอนาคตยังมีภาคต่อกับ The Marvels ค.ศ. 2022 (พ.ศ. 2565) ซึ่งเรายังคงได้เห็นบทบาทของเธอโลดแล่นในจักรวาลนี้อีกแน่นอน
นอกเหนือจากความสามารถของเธอในฐานะนักแสดงแล้ว Brie ยังมีความสามารถด้านนดนตรีอีกด้วย เมื่ออายุ 13 ปี Brie ได้เซ็นสัญญากับทาง Universal Records กับ Tommy Mottola จนเธอได้ออกเพลงครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ. 2005 (พ.ศ. 2548) นำไปสู่การทัวร์ทั่วประเทศด้วย และลองไปหาฟังเพลงของเธอได้เช่น She Said ที่ยอดวิวในยูทูปตอนนี้ 3.3 ล้านครั้งเลยทีเดียว
Christoph Waltz เกิดวันที่ 4 ตุลาคม ค.ศ. 1956 (พ.ศ. 2499) ที่ Vienna ประเทศออสเตรีย
ในช่วงยุค 80s (พ.ศ. 2523-2532) Christoph ได้ทำงานประจำที่โรงหนังแห่งหนึ่ง จนกระทั่งเขาได้เริ่มมีงานทาง TV ได้รับบทเล็ก ๆ ในซีรีส์ และในหนังทาง TV ทำให้ไม่นานเขาก็เริ่มมีผลงานหนังใหญ่ตามมา แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จมากเท่าไหร่
ซึ่งจริง ๆ ก่อนหน้านั้นเขาผ่านงานแสดงมาบ้างแล้ว โดยการแสดงครั้งแรกในชีวิตของเขาคือในซีรีส์ Am Dam Des ค.ศ. 1977 (พ.ศ. 2520) และหนังทาง TV เรื่อง Der Einstand ค.ศ. 1977 (พ.ศ. 2520)
แต่ชื่อเสียงของเขาเริ่มดังขึ้นเมื่อเขาได้พบกับ Quentin Tarantino เขาเริ่มโด่งดังในวงการ Hollywood กับบทบาท Hans Landa ในหนังเรื่อง Inglourious Basterds ค.ศ. 2009 (พ.ศ. 2552) ซึ่งส่งให้เขาเข้าชิงรางวัลออสการ์ควบลูกโลกทองคำครั้งแรกในชีวิต และสามารถคว้าได้ทั้ง 2 รางวัล จาก 2 เวทีเลยทีเดียว แถมยังคว้ารางวัลจากเวทีอื่นๆ อีกมากถึง 27 รางวัล เปลี่ยนให้ดาราหนังทาง TV และดาราซีรีส์ กลายเป็นซุปเปอร์สตาร์แห่งวงการ Hollywood ไปโดยปริยาย
หลังจากนั้น 2 ปีต่อมา เราก็ได้เห็นผลงานของเขาถึง 4 เรื่องในปีเดียว นั่นก็คือเรื่อง The Green Hornet ค.ศ. 2011 (พ.ศ. 2554), Water for Elephants ค.ศ. 2011 (พ.ศ. 2554), The Three Musketeers ค.ศ. 2011 (พ.ศ. 2554), Carnage ค.ศ. 2011 (พ.ศ. 2554)
และเขาก็ได้กลับมาร่วมงานกับ Quentin Tarantino อีกครั้ง กับบทบาท Dr. King Schultz ในเรื่อง Django Unchained ค.ศ. 2012 (พ.ศ. 2555) ซึ่งทำให้เขาได้เข้าชิงเป็นครั้งที่ 2 กับทั้งออสการ์และลูกโลกทองคำ และในครั้งนี้ก็ทำให้เขาคว้ารางวัลทั้ง 2 เวทีอีกเช่นเดิม
เราก็เริ่มได้เห็นผลงานของเขาบ่อยขึ้น ไม่ว่าจะเป็น The Zero Theorem ค.ศ. 2013 (พ.ศ. 2556), Big Eyes ค.ศ. 2014 (พ.ศ. 2557) ที่ส่งให้เขาเข้าชิงรางวัลลูกโลกทองคำครั้งที่ 3, Spectre ค.ศ. 2015 (พ.ศ. 2558), The Legend of Tarzan ค.ศ. 2016 (พ.ศ. 2559), Downsizing ค.ศ. 2017 (พ.ศ. 2560), Alita: Battle Angel ค.ศ. 2019 (พ.ศ. 2562) และผลงานล่าสุดทางซีรีส์ Most Dangerous Game ค.ศ. 2020 (พ.ศ. 2563) กับหนัง Rifkin's Festival ค.ศ. 2020 (พ.ศ. 2563)
ล่าสุดเจ้าตัวฝากผลงานไว้ในซีรีส์ Staged ค.ศ. 2021 (พ.ศ. 2564), The French Dispatch ค.ศ. 2021 (พ.ศ. 2564) และ No Time to Die ค.ศ. 2021 (พ.ศ. 2564) กับการกลับมารับบท Blofeld
ในอนาคตยังมีผลงานของเขาอีกมาก, Pinocchio ค.ศ. 2022 (พ.ศ. 2565), The Portable Door ค.ศ. 2022 (พ.ศ. 2565) และ Dead for A Dollar, ซีรีส์ Reagan & Gorbachev, Gilded Rage และข่าวลือว่าจะมารับบทใน Every Note Played
Guy Edward Pearce เกิดวันที่ 5 ตุลาคม ค.ศ. 1967 (พ.ศ. 2510) ที่ Ely, Cambridgeshire ประเทศอังกฤษ
Pearce และครอบครัวได้ย้ายไปยังออสเตรเลีย 2 ปี เนื่องจากพ่อของเขาได้เสนอให้รับตำแหน่งหัวหน้าทดสอบการบินให้กับทางรัฐบาลออสเตรเลีย จนในที่สุดครอบครัวเขาก็ตัดสินใจใช้ชีวิตอยู่ที่นั่น
หลังจากนั้น 5 ปี พ่อของ Pearce ก็เสียชีวิตจากการทดสอบบิน ทำให้เขาต้องอยู่กับแม่และพี่สาวเพียงลำพัง
Pearce มีความสนใจในวิชาวิทยาศาสตร์, ศิลปะ, ละครและดนตรี เขาได้เข้าร่วมกับโรงละครและได้แสดงละครเวทีเรื่อง The King ad I, Fiddler on the Roof และ The Wizard of Oz
ในปี ค.ศ. 1985 (พ.ศ. 2528) 2 วันให้หลังจากที่เขาสอบไฟนอลเสร็จ เขาได้เริ่มแสดงในซีรีส์ Neighbours ยาวมาจนปี ค.ศ. 1989 (พ.ศ. 2532)
ตอนอายุ 20 ปี Pearce ก็ได้แสดงหนังเรื่องแรก Heaven Tonight ค.ศ. 1990 (พ.ศ. 2533) หลังจากนั้นเขาก็ได้ปรากฏตัวในหนัง, ซีรีส์ และรายการทีวีอีกหลายเรื่อง
การแสดงอันน่าชื่นชมและได้รับเสียงวิจารณ์ที่ดีมากมายมาจากในเรื่อง L.A. Confidential ค.ศ. 1997 (พ.ศ. 2540), Memento ค.ศ. 2000 (พ.ศ. 2543), The Proposition ค.ศ. 2005 (พ.ศ. 2548), Factory Girl ค.ศ. 2006 (พ.ศ. 2549), The Hurt Locker ค.ศ. 2008 (พ.ศ. 2551), The King's Speech ค.ศ. 2010 (พ.ศ. 2553) และมินิซีรีส์ของทาง HBO เรื่อง Mildred Pierce ค.ศ. 2011 (พ.ศ. 2554) ที่นับว่าเป็นการแสดงที่ยอดเยี่ยมที่สุดในชีวิตของเขา เพราะมันส่งให้เขาเข้าชิงรางวัลลูกโลกทองคำ และคว้ารางวัล Emmy ไปครอบครอง
ผลงานของ Pearce ก็ยังคงมีมาอย่างต่อเนื่อง ทั้ง Prometheus ค.ศ. 2012 (พ.ศ. 2555), Iron Man 3 ค.ศ. 2013 (พ.ศ. 2556), The Rover ค.ศ. 2014 (พ.ศ. 2557), Equals ค.ศ. 2015 (พ.ศ. 2558), Alien: Covenant ค.ศ. 2017 (พ.ศ. 2560), Mary Queen of Scots ค.ศ. 2018 (พ.ศ. 2561), ซีรีส์ A Christmas Carol ค.ศ. 2019 (พ.ศ. 2562), Bloodshot ค.ศ. 2020 (พ.ศ. 2563), The Seventh Day ค.ศ. 2021 (พ.ศ. 2564), Without Remorse ค.ศ. 2021 (พ.ศ. 2564), ซีรีส์ Mare of Easttown ค.ศ. 2021 (พ.ศ. 2564), ซีรีส์ Jack Irish ค.ศ. 2016-2021 (พ.ศ. 2559-2564), Zone 414 ค.ศ. 2021 (พ.ศ. 2564), Poor Boy ค.ศ. 2021 (พ.ศ. 2564)
ในอนาคตยังมีผลงานของเขาอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น ให้เสียงพากย์ใน Back to the Outback ค.ศ. 2021 (พ.ศ. 2564), Memory, The Infernal Machine ค.ศ. 2022 (พ.ศ. 2565), ซีรีส์ Alantown ค.ศ. 2021 (พ.ศ. 2564) และ 37 Heavens
Kate Winslet มีชื่อจริงว่า Kate Elizabeth Winslet เกิดวันที่ 5 ตุลาคม ค.ศ. 1975 (พ.ศ. 2518) ที่ Reading, Berkshire ประเทศอังกฤษ
Kate ฉายแววความสามารถตั้งแต่อายุยังน้อย เธอได้เริ่มต้นอาชีพในวงการบันเทิงตั้งแต่อายุเพียง 11 ปี ได้เต้นในโฆษณาซีเรียล Honey Monster และในช่วงเวลาเดียวกันนั้นเธอก็ได้เริ่มต้นเรียนการแสดง ซึ่งทำให้เธอได้เข้าเรียนที่โรงเรียนสอนการแสดง จนทำให้ไม่กี่ปีต่อมา เธอได้แสดงละครเวทีและได้แสดงในซิทคอมบ้าง
แต่จุดเริ่มต้นในวงการแสดงของเธอจริง ๆ เริ่มต้นขึ้นเมื่ออายุ 17 ปี เธอได้รับเลือกให้ไปแสดงในเรื่อง Heavenly Creatures ค.ศ. 1994 (พ.ศ. 2537) ถึงแม้คำวิจารณ์หนังจะไม่ดีมาก แต่ตัวเธอก็ได้รับเสียงชื่นชมจากนักวิจารณ์ไปไม่น้อยเลย
ผลงานเรื่องต่อมาของเธอนับว่ายอดเยี่ยม กับการแสดงใน Sense and Sensibility ค.ศ. 1995 (พ.ศ. 2538) ที่ส่งให้เธอได้เข้าชิงรางวัลออสการ์และลูกโลกทองคำ ตามมาด้วย Jude ค.ศ. 1996 (พ.ศ. 2539) และ Hamlet ค.ศ. 1996 (พ.ศ. 2539)
บทเหล่านั้นส่งให้ Winslet ได้สั่งสมประสบการณ์ในการแสดง และทำให้เธอได้รับบทในหนังของ James Cameron เรื่อง Titanic ค.ศ. 1997 (พ.ศ. 2540) ได้แสดงเคียงคู่กับ Leonardo DiCaprio ซึ่งการแสดงของเธอในเรื่องนี้ก็ส่งให้เธอเข้าชิงรางวัลลูกโลกทองคำและออสการ์เป็นครั้งที่ 2
หลังจากบท Titanic ค.ศ. 1997 (พ.ศ. 2540) ตัวของ Winslet เหมือนจะอยากรับงานอิสระมากขึ้น มีข่าวลือว่าเธอปฏิเสธบทนำทั้งใน Shakespeare in Love ค.ศ. 1998 (พ.ศ. 2541), Anna and the King ค.ศ. 1999 (พ.ศ. 2542) เพื่อไปรับบท Hideous Kinky ค.ศ. 1998 (พ.ศ. 2541) และ Holy Smoke ค.ศ. 1999 (พ.ศ. 2542)
ผลงานของเธอยังคงมีมาอย่างต่อเนื่องและสุดยอดทั้งนั้น
และการแสดงอันยอดเยี่ยมของเธอ กับบท Hanna Schmitz ในเรื่อง The Reader ค.ศ. 2008 (พ.ศ. 2551) ส่งให้เธอได้เข้าชิงรางวัลลูกโลกทองคำควบรางวัลออสการ์ แต่ในคราวนี้ไม่ได้แค่เข้าชิงเท่านั้น เพราะมันทำให้เธอคว้ารางวัลมาได้จากทั้ง 2 เวทีเลยทีเดียว ซึ่งในปีเดียวกันนั้นเธอยังคว้ารางวัลลูกโลกทองคำจาก Revolutionary Road ค.ศ. 2008 (พ.ศ. 2551) อีกด้วย
เธอยังคงสร้างชื่ออย่างไม่หยุดหย่อน เพราะเธอยังฝากยอดผลงานเอาไว้ใน Carnage ค.ศ. 2011 (พ.ศ. 2554) ที่เข้าชิงรางวัลลูกโลกทองคำ และ Mildred Pierce ค.ศ. 2011 (พ.ศ. 2554) ที่คว้ารางวัลลูกโลกทองคำไปครอง, Labor Day ค.ศ. 2013 (พ.ศ. 2556) ส่งให้เขาเข้าชิงรางวัลลูกโลกทองคำ
จนกระทั่งมาคว้ารางวัลลูกโลกทองคำกับเรื่อง Steve Jobs ค.ศ. 2015 (พ.ศ. 2558) แต่น่าเสียดายที่ได้เข้าชิงออสการ์แต่ไม่สามารถคว้าไปได้
หลังจากนั้นเรายังได้เห็นผลงานของเธอเรื่อยมา ทั้ง Triple 9 ค.ศ. 2016 (พ.ศ. 2559), Collateral Beauty ค.ศ. 2016 (พ.ศ. 2559), Wonder Wheel ค.ศ. 2017 (พ.ศ. 2560), Blackbird ค.ศ. 2019 (พ.ศ. 2562), Ammonite ค.ศ. 2020 (พ.ศ. 2563), ให้เสียงพากย์ใน Black Beauty ค.ศ. 2020 (พ.ศ. 2563) และซีรีส์ Mare of Easttown ค.ศ. 2021 (พ.ศ. 2564)
ในอนาคตยังมีผลงานของเธอให้เราได้เห็นกันอีก ทั้งการให้เสียงพากย์ใน Naya Legend of the Golden Dolphin ค.ศ. 2022 (พ.ศ. 2565), Avatar 2 ค.ศ. 2022 (พ.ศ. 2565), Lee และ Fake
ในปี ค.ศ. 2012 (พ.ศ. 2555) เธอได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์แห่งจักรวรรดิอังกฤษ สำหรับการรับใช้ชาติในฐานะนักแสดงของเธอ
สวย รวยเสน่ห์ แบบผู้ดีอังกฤษ แถมยังมากไปด้วยความสามารถทางการแสดง Kate Winslet
Jesse Eisenberg มีชื่อจริงว่า Jesse Adam Eisenberg เกิดวันี่ 5 ตุลาคม ค.ศ. 1983 (พ.ศ. 2526) ที่ New York City ประเทศอเมริก แต่เขาถูกเลี้ยงดูและเติบโตที่ East Brunswick Township, New Jersey
Eisenberg ได้เข้าเรียนที่ East Brunswick High School แต่เขาไม่ค่อยเอ็นจอยกับโรงเรียนนี้นัก เมื่ออายุ 10 ปี เขาได้แสดงในโรงละครสำหรับเด็ก และเขาก็ได้แสดงอาชีพเป็นนักแสดงละครนอกบรอดเวย์เรื่อง The Gathering
ก่อนที่ Eisenberg จะมีชื่อเสียง เขาได้แสดงทางโทรทัศน์ในช่วงปี ค.ศ. 1999 (พ.ศ. 2542) เรื่อง Get Real แต่มันก็ถูกยกเลิกในปี ค.ศ. 2000 (พ.ศ. 2543)
จนกระทั่งตอนมัธยมปลาย เขาก็ได้แสดงนำในหนังเรื่องแรก Roger Dodger ค.ศ. 2002 (พ.ศ. 2545) ที่ส่งให้เขาคว้ารางวัล Most Promising New Actor ในงานเทศกาลหนัง San Diego Film Festival
โตขึ้นเขาได้เข้าเรียนมหาวิทยาลัยที่ New School University, New York ที่นั่นเขาเรียนคณะศิลปศาสตร์ เอกประชาธิปไตยและพหุนิยมทางวัฒนธรรม อีกทั้งเขายังเข้าเรียนที่ The New School ใน Greenwich Village ที่ New York ซึ่งจริง ๆ เขาได้สมัครและได้รับการตอบรับจากมหาวิทยาลัย New York แต่เขาก็ปฏิเสธที่จะเข้าเรียนที่นั่น เนื่องจากเขาตัดสินใจที่จะไปแสดงหนังแทน
บทบาทอันน่าจดจำและสร้างชื่อเสียงให้กับเขามาจากเรื่อง Zombieland ค.ศ. 2009 (พ.ศ. 2552)
และในปีต่อมาบทบาทการแสดงของเขาส่งให้เขาได้เข้าชิงรางวัลออสการ์และลูกโลกทองคำ กับบาท Mark Zuckerberg ในเรื่อง The Social Network ค.ศ. 2010 (พ.ศ. 2553) ซึ่งเขาเคยบอกว่าตอนนั้นเป็นโรค Obsessive Compulsive Disorder (OCD) และเขาเคยให้สัมภาษณ์ว่าสิ่งที่ยากที่สุดเกี่ยวกับบทบาทที่เขาได้รับคือการพ่นบทนั่นแหละ เพราะมันขัดต่อโรคที่เขาเป็นมาทั้งชีวิต
หลังจากนั้นชื่อเสียงของเขาก็ก้าวกระโดด มีผลงานออกมาอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น พากย์เสียง Blu ใน Rio ค.ศ. 2011 (พ.ศ. 2554), 30 Minutes or Less ค.ศ. 2011 (พ.ศ. 2554), To Rome with Love ค.ศ. 2012 (พ.ศ. 2555), Now You See Me ค.ศ. 2013 (พ.ศ. 2556), กลับมาพากย์เสียง Blu ใน Rio 2 ค.ศ. 2014 (พ.ศ. 2557), America Ultra ค.ศ. 2015 (พ.ศ. 2558), Batman v Superman: Dawn of Justice ค.ศ. 2016 (พ.ศ. 2559), New You See Me 2 ค.ศ. 2016 (พ.ศ. 2559), Vivarium ค.ศ. 2019 (พ.ศ. 2562), Zombieland: Double Tap ค.ศ. 2019 (พ.ศ. 2562), Resistance ค.ศ. 2020 (พ.ศ. 2563), Wild Indian ค.ศ. 2021 (พ.ศ. 2564), Zack Snyder's Justice League ค.ศ. 2021 (พ.ศ. 2564)
ในอนาคตก็ยังคงมีผลงานของเขาให้เห็นอยู่ กับ The Medusa และ Manodrome
นักแสดงผู้มีเอกลักษณ์ ผมหยิก พูดเร็ว บทแม่น นี่แหละ Jesse Eisenberg
Sigourney Weaver มีชื่อจริงว่า Susan Alexandra Weaver เกิดวันที่ 8 ธันวาคม ค.ศ. 1949 (พ.ศ. 2492) ที่ Manhattan, New York ประเทศอเมริกา
แต่แรกเดิมทีพ่อแม่อยากให้เธอชื่อว่า Flavia ซึ่งตัวของเธอเติบโตมาโดยการเลี้ยงดูของพี่เลี้ยงและแม่บ้าน
ปี ค.ศ. 1961 (พ.ศ. 2504) Sigouney เข้าเรียนที่ Brearley Girls Academy แต่ภายหลังแม่ของเธอก็ได้ย้ายเธอไปเรียนที่โรงเรียนเอกชนใน New York ด้วยความที่เธอค่อนข้างสูงกว่าเพื่อนร่วมชั้นของเธอ เธอมักจะถูกหัวเราะเยาะและถูกกลั่นแกล้ง จนกลายเป็นตัวตลกอยู่เสมอ
ผ่านมาได้แค่ 1 ปี ครอบครัวเธอก็ย้ายไปยัง San Francisco ช่วงเวลาสั้น ๆ และก็ย้ายกลับไปยัง Connecticut ทำให้เธอได้ย้ายไปเรียนที่ Ethel Walker School แต่เธอก็ต้องเผชิญกับปัญหาเดิม
ปี ค.ศ. 1963 (พ.ศ. 2506) เธอได้เปลี่ยนชื่อจริง Susan มาเป็น Sigourney ตามชื่อตัวละคร Sigourney Howard ใน F. Scott Fitzgerald ใน The Great Gatsby
ต่อมาเธอได้แสดงละครของโรงเรียนในเรื่อง A Midsummer Night's Dream และในช่วงปี ค.ศ. 1965 (พ.ศ. 2508) เธอได้ทำงานตลอดช่วงหยุดหน้าร้อนกับทางโรงละคร จนทำให้เธอได้แสดงละครเวทีเรื่อง A Streetcar Named Desire และ You Can't Take It With You
หลังจากเรียนจบในปี ค.ศ. 1967 (พ.ศ. 2510) เธอได้หมั้นหมายกับนักข่าว Aaron Latham แต่ก็แยกทางกันในเวลาไม่นาน
ปี ค.ศ. 1969 (พ.ศ. 2512) Sigourney ได้เข้าเรียนที่มหาวิทยาลัย Stanford University เอกวรรณคดีอังกฤษ และได้แสดงละครเวทีกับทางมหาวิทยาลัยด้วย อีก 2 ปีต่อมา เธอได้สมัครเข้าเรียนที่ Yale School of Drama
หลังจากนั้นเธอก็ได้แสดงละครเวทีมาอีกมากมายหลายเรื่อง ซึ่งผลงานการแสดงของเธอครั้งแรกเริ่มต้นขึ้นกับบทบาทในทีวีซีรีส์เรื่อง Somerset ค.ศ. 1970 (พ.ศ. 2513)
ต่อมาในปี ค.ศ. 1977 (พ.ศ. 2520) เธอก็ได้ถูกคัดเลือกให้ไปรับบทในเรื่อง Annie Hall และมีผลงานของเธอต่อมาอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น Madman ค.ศ. 1978 (พ.ศ. 2521) และแน่นอน Alien ค.ศ. 1979 (พ.ศ. 2522) กับบทบาท Ripley ที่ได้สร้างชื่อเสียงให้เธอเป็นที่รู้จักทั่วโลกเพียงชั่วข้ามคืน, Eyewitness ค.ศ. 1981 (พ.ศ. 2524), The Year of Living Dangerously ค.ศ. 1982 (พ.ศ. 2525), Deal of the Century ค.ศ. 1983 (พ.ศ. 2526), Ghostbusters ค.ศ. 1984 (พ.ศ. 2527), Une femme ou deux ค.ศ. 1985 (พ.ศ. 2528), Half Moon Street ค.ศ. 1986 (พ.ศ. 2529) และ Aliens ค.ศ. 1986 (พ.ศ. 2529) ที่ส่งให้เธอประสบความสำเร็จอย่างมากจนได้ถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์และลูกโลกทองคำเลยทีเดียว
หลังจากนั้นเธอก็โลดแล่นในวงการ Hollywood เข้าชิงรางวัลมาอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็น Working Girl ค.ศ. 1988 (พ.ศ. 2531) ที่สามารถเข้าชิงรางวัลออสการ์และคว้ารางวัลลูกโลกทองคำ, Gorillas in the Mist: The Story of Dian Fossey ค.ศ. 1988 (พ.ศ. 2531) ที่เข้าชิงรางวัลออสการ์และคว้าลูกโลกทองคำมาเช่นกัน
หลังจากเธอกลับมารับบท Ghostbusters II ค.ศ. 1989 (พ.ศ. 2532) เธอค้นพบว่าเธอท้องและหายหน้าหายตาจากวงการไปสักพักใหญ่ ๆ เธอได้ให้กำเนิดลูกสาวคนแรก Charlotte Simpson ในวันที่ 13 เมษายน ค.ศ. 1990 (พ.ศ. 2533)
จนกระทั่งกลับมาเล่นหนังอีกมากมาย Alien 3 ค.ศ. 1992 (พ.ศ. 2535), 1492: Conquest of Paradise ค.ศ. 1992 (พ.ศ. 2535), Dave ค.ศ. 1993 (พ.ศ. 2536), Death and the Maiden ค.ศ. 1994 (พ.ศ. 2537), Jeffery ค.ศ. 1995 (พ.ศ. 2538), Copycat ค.ศ. 1995 (พ.ศ. 2538), Snow White: A Tale of Terror ค.ศ. 1997 (พ.ศ. 2540), The Ice Storm ค.ศ. 1999 (พ.ศ. 2542) ส่งให้เธอได้เข้าชิงรางวัลลูกโลกทองคำ, A Map of the World ค.ศ. 1999 (พ.ศ. 2542) ส่งให้เธอได้เข้าชิงรางวัลลูกโลกทองคำ, Galaxy Quest ค.ศ. 1999 (พ.ศ. 2542), Company Man ค.ศ. 2000 (พ.ศ. 2543), Hartbreakers ค.ศ. 2001 (พ.ศ. 2544), ให้เสียงพากย์ใน Big Bad Love ค.ศ. 2001 (พ.ศ. 2544), Tadpole ค.ศ. 2002 (พ.ศ. 2545), The Guys ค.ศ. 2002 (พ.ศ. 2545), The Village ค.ศ. 2004 (พ.ศ. 2547), Vantage Point ค.ศ. 2008 (พ.ศ. 2551), ให้เสียงพากย์ใน WALL·E ค.ศ. 2008 (พ.ศ. 2551)
เมื่อเธอายุได้ 60 ปี เธอได้แสดงหนังที่เคยอยู่สูงสุดบน Box-Office อย่าง Avatar ค.ศ. 2009 (พ.ศ. 2552) ซึ่งเป็นการกลับมาร่วมงานกันกับ James Cameron จากเรื่อง Aliens ค.ศ. 1986 (พ.ศ. 2529) ด้วย ซึ่งในอนาคตเธอยังกลับมารับบทเดิมในภาคต่อ Avatar 2-5 อีกด้วย
ถึงแม้จะอายุเหยียบเลข 6 เธอยังคงมีผลงานให้เราชมอยู่เกือบทุกปี Prayer for Bobby ค.ศ. 2009 (พ.ศ. 2552) ส่งให้เธอได้เข้าชิงรางวัลลูกโลกทองคำ, You Again ค.ศ. 2010 (พ.ศ. 2553), The Cabin in the Woods ค.ศ. 2011 (พ.ศ. 2554), Political Animals ค.ศ. 2012 (พ.ศ. 2555) ส่งให้เธอได้เข้าชิงรางวัลลูกโลกทองคำ, Vamps ค.ศ. 2012 (พ.ศ. 2555), Exodus: Gods and Kings ค.ศ. 2014 (พ.ศ. 2557), Chappie ค.ศ. 2015 (พ.ศ. 2558), ให้เสียงพากย์ Finding Dory ค.ศ. 2016 (พ.ศ. 2559), Ghostbusters ค.ศ. 2016 (พ.ศ. 2559), A Monster Calls ค.ศ. 2016 (พ.ศ. 2559), ซีรีส์ The Defenders ค.ศ. 2017 (พ.ศ. 2560), ซีรีส์ The Dark Crystal: Age of Resistance ค.ศ. 2019 (พ.ศ. 2562) และผลงานล่าสุดกับ Ghostbusters: Afterlife ค.ศ. 2021 (พ.ศ. 2564)
ในอนาคตเรายังได้เห็นการแสดงของเธออีกแน่นอนทั้งการกลับมารับบทเดิมในภาคต่อ Avatar 2 ค.ศ. 2022 (พ.ศ. 2565), Avatar 3 ค.ศ. 2024 (พ.ศ. 2567), Avatar 4 ค.ศ. 2026 (พ.ศ. 2569), Avatar 5 ค.ศ. 2028 (พ.ศ. 2571) รวมถึงผลงานอื่นอย่าง Call Jane และ Master Gardener
Matthew Paige Damon เกิดวันที่ 8 ตุลาคม ค.ศ. 1970 (พ.ศ. 2513) เกิดที่ Boston, Massachusetts ประเทศอเมริกา
Damon ได้เติบโตมาพร้อม ๆ กับ Ben Affleck ซึ่งบ้านของพวกเขาอยู่ห่างกันแค่สองบล็อกเท่านั้น
โตขึ้นเขาได้เข้าเรียนที่ Cambridge และโรงเรียนสอนละติน ตามมาด้วยเข้าเรียนมหาวิทยาลัย Harvard
ในขณะที่เขาเรียนที่ Harvard เขามักจะโดดเรียนเพื่อไปโฟกัสที่โปรเจคงานแสดงซะส่วนใหญ่ และเพื่อความก้าวหน้าในด้านการแสดงของเขา เจ้าตัวตัดสินใจพักการเรียนที่มหาวิทยาลัยไว้ และมุ่งหน้าไปสู่ Hollywood
เขาได้ร่วมแสดงครั้งแรกในหนังรอมคอม Mystic Pizza ค.ศ. 1988 (พ.ศ. 2531) แต่เหมือนกับว่าหนังเรื่องนี้มันไม่ค่อยจะดีสักเท่าไหร่ และทำให้การเปิดตัวในอาชีพการแสดงของเขาดูจะมืดมนไปด้วย แต่นั่นก็ไม่สามารถหยุดเขาได้ เขาก็เดินหน้าไปคัดตัวอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งได้รับบทในหนังเรื่อง School Tie ค.ศ. 1992 (พ.ศ. 2535)
และเหมือนโชคเริ่มเข้าข้าง ต่อมาเขาก็ได้ไปแสดงในบททหารที่มีปัญหาด้านยาเสพติดในหนังเรื่อง Courage Under Fire ค.ศ. 1996 (พ.ศ. 2539) ซึ่งเรื่องนี้เขาทุ่มเทกับบทมาก เขาลดน้ำหนักไปกว่า 40 ปอนด์เพื่อให้เหมาะสมกับบทบาทนี้
แต่บทที่สร้างชื่อและแจ้งเกิดให้กับเขาแบบสุด ๆ คือเรื่อง Good Will Hunting ค.ศ. 1997 (พ.ศ. 2540) เจ้าตัวได้แสดงนำและเขียนบทเรื่องนี้เองด้วย
แต่เดิมบทของ Good Will Hunting เป็นบทที่ Damon เขียนวิชาภาษาอังกฤษตอนเรียนอยู่ที่ Harvard และภายหลังก็นำมาดัดแปลงเป็นบทหนังเรื่องนี้ ร่วมกันกับเพื่อนรักอย่าง Ben Affleck
Good Will Hunting เป็นหนังที่ได้เข้าชิงรางวัลออสการ์ถึง 9 สาขา โดยคว้ารางวัลไป 2 สาขา
[WINNER]
[NOMINEE]
แถมยังเข้าชิงรางวัลลูกโลกทองคำอีก 4 สาขา และคว้ารางวัลไป 1 สาขา
[WINNER]
[NOMINEE]
หลังจากสร้างชื่อแบบสุด ๆ กับ Good Will Hunting เจ้าตัวก็ได้มาเล่นหนังให้กับพ่อมดแห่งวงการ Hollywood อย่าง Steven Spielberg ในเรื่อง Saving Private Ryan ค.ศ. 1998 (พ.ศ. 2541) ซึงเรื่องนั้นถือเป็นหนึ่งในยอดเยี่ยมแห่งปีอีกด้วย
จากวันนั้นทำให้เจ้าตัวโลดแล่นและก้าวขึ้นมาเป็นนักแสดงแถวหน้าของวงการ Hollywood โผล่หน้าแสดงอีกหลายเรื่องไม่ว่าจะเป็น แฟรนไชส์ Ocean's, แฟรนไชส์ Jason Bourne, True Grit ค.ศ. 2010 (พ.ศ. 2553), Elysiumค.ศ. 2013 (พ.ศ. 2556), The Martian ค.ศ. 2015 (พ.ศ. 2558), The Great Wall ค.ศ. 2016 (พ.ศ. 2559), Downsizing ค.ศ. 2017 (พ.ศ. 2560), Ford v Ferrari ค.ศ. 2019 (พ.ศ. 2562), Stillwater ค.ศ. 2021 (พ.ศ. 2564) และอื่น ๆ อีกมากมาย
ในอนาคตก็ยังมีบทบาทของเขาอีกทั้ง The Last Duel ค.ศ. 2021 (พ.ศ. 2564) และการกลับมาสวมบทเป็นนักแสดง Loki ใน Thor: Love and Thunder ค.ศ. 2022 (พ.ศ. 2565)
ทางด้านชีวิตส่วนตัว Damon ได้แต่งงานกับ Luciana Barroso และมีลูกสาวด้วยกัน 4 คน
Damon ยังคงความสัมพันธ์อันเหนียวแน่นกับ Ben Affleck นับว่าเป็นเพื่อนซี้กันแบบสุด ๆ ซึ่งพวกเขาไว้ใจกันขนาดที่ว่าเคยเปิดบัญชีร่วมกันด้วย นอกจากนั้นเจ้าตัวยังสนิทกับ George Clooney, Brad Pitt และ Chris Hemsworth ด้วย
ในปี ค.ศ. 1998 (พ.ศ. 2541) เขาเคยเข้าแข่ง Texas Hold'Em Tournament ที่ World Series of Poker ใน Las Vegas ด้วย ผลคือ "ตกรอบแรก" แพ้ให้กับ Doyle Brunson ตำนาน Poker
Damon เคยสูบบุหรี่ และเจ้าตัวเลิกบุหรี่ทันทีเมื่อได้ไปหาหมอสะกดจิตที่ L.A.
ปฏิเสธที่จะรับบท Bobby Mercer ในหนังเรื่อง Four Brothers ค.ศ. 2005 (พ.ศ. 2548) เพราะเขาบอกว่าบทมัน "รุนแรงเกินไป" สุดท้ายบทตกไปเป็นของ Mark Wahlberg
ปฏิเสธบท Harvey Dent ใน The Dark Knight ค.ศ. 2008 (พ.ศ. 2551)
เป็นผู้ร่วมก่อตั้งองค์กร H2O ในแอฟริกา เป็นองค์กรไม่แสวงหาผลกำไร ที่จะนำเอาน้ำบริสุทธิ์ให้กับประชากรกว่า 3 ล้านคนได้นำไปใช้
นอกเหนือจาก Good Will Hunting แล้ว เขายังเข้าชิงรางวัลออสการ์อีกถึง 3 ครั้ง และลูกโลกทองคำอีก 5 ครั้ง แถมยังสามารถคว้าไปได้ 1 ครั้งด้วย จากการแสดงในเรื่อง The Martian ค.ศ. 2015 (พ.ศ. 2558)
Matt Damon คือนักแสดงมากฝีมือที่โลดแล่นอยู่ในวงการ Hollywood มาอย่างยาวนาน และรับมามากมายหลายบทบาท
Bella Thorne มีชื่อจริงว่า Annabella Avery Thorne เกิดวันที่ 8 ตุลาคม ค.ศ. 1997 (พ.ศ. 2540) ที่ Pembroke Pines, Florida ประเทศอเมริกา
พ่อของเธอเสียชีวิตตอนที่เธออายุเพียง 9 ปีเท่านั้น จากอุบัติเหตุทางมอเตอร์ไซค์ในปี ค.ศ. 2007 (พ.ศ. 2550)
เธอมีพี่น้อง 3 คน Remy Thorne, Dani Thorne และ Kaili Thorne ซึ่งทั้ง 3 คนก็มีอาชีพเป็นนักแสดงเช่นกัน
เมื่ออายุได้เพียง 6 สัปดาห์ Bella ได้ถ่ายภาพครั้งแรกในนิตยสาร Parents Magazine และนั่นคือจุดเริ่มต้นในการที่เธอได้มาเป็นนางแบบถ่ายนิตยสารชื่อดังมากมายหลายหัวนับตั้งแต่นั้น
ผลงานการแสดงครั้งแรกของเธอคือในเรื่อง Stuck on You ค.ศ. 2003 (พ.ศ. 2546) แต่ตอนนั้นเธอยังไม่ได้รับเครดิต ต่อมาเธอก็ได้ไปปรากฏในโฆษณา Target: Spring Home ค.ศ. 2006 (พ.ศ. 2549) ตามมาด้วยในรายการ Jimmy Kimmel Live! ค.ศ. 2006 (พ.ศ. 2549)
แต่ผลงานการแสดงเต็มตัวครั้งแรกของเธอคือในหนังเรื่อง The Seer ค.ศ. 2007 (พ.ศ. 2550) ส่งให้หลังจากนั้นก็มีผลงานของเธอออกมาอีกมากมายทั้งหนังและซีรีส์ ไม่ว่าจะเป็น Forget Me Not ค.ศ. 2009 (พ.ศ. 2552), ซีรีส์ Little Monk ค.ศ. 2009 (พ.ศ. 2552), One Wish ค.ศ. 2010 (พ.ศ. 2553) ซีรีส์ Shake It Up ค.ศ. 2010-2013 (พ.ศ. 2553-2556), ซีรีส์ Scream ค.ศ. 2015 (พ.ศ. 2558), The Babysitter ค.ศ. 2017 (พ.ศ. 2560), Assasination Nation ค.ศ. 2018 (พ.ศ. 2561), Midnight Sun ค.ศ. 2018 (พ.ศ. 2561), I Still See You ค.ศ. 2018 (พ.ศ. 2561), Infamous ค.ศ. 2020 (พ.ศ. 2563), The Babysitter: Killer Queen ค.ศ. 2020 (พ.ศ. 2563) และล่าสุดกับซีรีส์ Paradise City ค.ศ. 2021 (พ.ศ. 2564), Masquerade ค.ศ. 2021 (พ.ศ. 2564), Habit ค.ศ. 2021 (พ.ศ. 2564) และ Time Is Up ค.ศ. 2021 (พ.ศ. 2564)
ซึ่งในอนาคตมีผลงานของเธออีก ทั้ง Rumble Through the Dark, Measure of Revenge, The Uncanny, Salem State และ Exo
เมื่อไม่นานมานี้เธอได้สร้างเสียงฮือฮาเปิดบัญชีบน OnlyFans แพลตฟอร์มที่ให้สมาชิกจ่ายเงินเพื่อรับชมเนื้อหาแบบ 18+ และหลังจากเธอเปิดได้ไม่นานเธอก็ทำยอดถล่มทลายประมาณ 30 ล้านบาทเพียงชั่วข้ามคืน
และนอกเหนือจากงานแสดงแล้ว เธอยังมีผลงานเพลงด้วยเช่นกัน ในหนังคงจะได้ยินเสียงร้องของเธอจากเรื่อง Midnight Sun ค.ศ. 2018 (พ.ศ. 2561) ซึ่งจริง ๆ คนน่าจะคุ้นเคยและรู้จักผลงานเพลงของเธอกับเพลง Call It Whatever มากที่สุด และยอดวิวใน Youtube เพลงนี้สูงถึง 75 ล้านวิวเลยทีเดียว
Guillermo del Toro Gómez เกิดวันที่ 9 ตุลาคม ค.ศ. 1964 (พ.ศ. 2507) ที่ Guadalajara, Jalisco ประเทศเม็กซิโก
del Toro สนใจเรื่องการทำหนังมาตั้งแต่เด็ก ๆ ซึ่งต่อมามันทำให้เขาเริ่มเรียนรู้เกียวกับการแต่งหน้าและทำเอฟเฟ็คมาจาก Dick Smith และได้เริ่มทำหนังสั้นเป็นของตัวเอง Doña Lupe ค.ศ. 1986 (พ.ศ. 2529), Geometria ค.ศ. 1987 (พ.ศ. 2530)
ตอนอายุ 21 ปี del Toro ได้ทำตำแหน่ง executive produced ในหนังเรื่อง Dona Herlinda and Her Son ค.ศ. 1985 (พ.ศ. 2528)
หลังจากนั้นเขาใช้เวลาเกือบ 10 ปี ในฐานะ makeup supervisor และได้ก่อตั้งบริษัทของตัวเองในชื่อว่า Necropia ในช่วงต้นปี ค.ศ. 1980s (พ.ศ. 2523-2532) และเขาก็ได้อำนวยการสร้างและกำกับหนังเม็กซิกันทางโทรทัศน์อีกหลายเรื่องในช่วงเวลานั้น
del Toro ได้มากำกับหนังเต็มตัวครั้งแรกกับเรื่อง Cronos ค.ศ. 1993 (พ.ศ. 2536) ที่มันสร้างชื่อเสียงให้กับเขาจนหลายคนหันมาจับตามอง เพราะหนังเรื่องนี้ชนะ 9 รางวัลจากเวที Ariel Awards (เปรียบดั่งออสการ์ของเม็กซิโก) แถมยังชนะรางวัล International Critics Week Prize ที่งานเทศกาลหนังเมืองคานส์ด้วย
ซึ่งจากความสำเร็จในครั้งนั้นส่งให้เขาได้ก้าวเข้ามาสู่วงการ Hollywood และได้กำกับหนังเรื่อง Mimic ค.ศ. 1997 (พ.ศ. 2540) แสดงนำโดย Mira Sorvino แต่ไม่นานเขาก็กลับไปเม็กซิโกก่อตั้งบริษัทของเขาเองในชื่อ The Tequila Gang เพราะเขามีปัญหากับการทำงานร่วมกับค่ายที่ทำเรื่อง Mimic
ผลงานเรื่องต่อมาของ del Toro คือ The Devil's Backbone ค.ศ. 2001 (พ.ศ. 2544) เรื่องผีในสงครามกลางเมืองของสเปน ซึ่งก็ได้รับเสียงชื่นชมจากนักวิจารณ์และคนดูไปพอสมควร ทำให้เขาตัดสินใจที่จะกลับมาลองทำหนังกับทาง Hollywood ใหม่อีกครั้ง จนเขาได้กำกับหนังภาคต่อที่แสดงนำโดย Wesley Snipes เรื่อง Blade II ค.ศ. 2002 (พ.ศ. 2545)
จากการกำกับ Blade II มันก็ส่งให้ชื่อเสียงของเขามากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด จนเขาได้ทำหนังดัดแปลงจากคอมิกส์ในเรื่อง Hellboy ค.ศ. 2004 (พ.ศ. 2547) แสดงนำโดยหนึ่งในนักแสดงที่เจ้าตัวโปรดปรานอย่าง Ron Perlman ซึ่งมันก็ประสบความสำเร็จไปไม่น้อย จนมีภาคต่อ Hellboy II: The Golden Army ค.ศ. 2008 (พ.ศ. 2551)
del Toro เดินหน้าทำหนังสร้างชื่อให้ตัวเองอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะยอดหนังอย่าง Pan's Labyrinth ค.ศ. 2006 (พ.ศ. 2549) ที่คว้าไป 3 ออสการ์ จากการเข้าชิงทั้งหมด 6 สาขา
[WINNER]
[NOMINEE]
และเข้าชิงรางวัลลูกโลกทองคำอีก 1 สาขา (Best Foreign Language Film)
ตามมาด้วยผลงานอย่าง Pacific Rim ค.ศ. 2013 (พ.ศ. 2556), Crimson Peak ค.ศ. 2015 (พ.ศ. 2558), ซีรีส์ The Strain ค.ศ. 2014-2015 (พ.ศ. 2557-2558)
และสร้างชื่อแบบสุด ๆ กับหนังโรแมนติกดราม่าแฟนตาซีเรื่องราวความรักต่างเผ่าพันธุ์ใน The Shape of Water ค.ศ. 2017 (พ.ศ. 2560) ที่เข้าชิงออสการ์มากถึง 13 สาขา และคว้าไปได้ 4 สาขา
[WINNER]
[NOMINEE]
เข้าชิงรางวัลลูกโลกทองคำอีก 7 สาขา และคว้าไปได้ 2 สาขา
[WINNER]
[NOMINEE]
ในอนาคตยังคงมีผลงานอันน่าติดตามและน่าสนใจของเขาด้วย ทั้ง Nightmare Alley ค.ศ. 2021 (พ.ศ. 2564), Pinocchio ค.ศ. 2022 (พ.ศ. 2565) และสารคดีที่ยังไม่มีชื่อเรื่องเกี่ยวกับ Michael Mann
Guillermo del Toro คือหนึ่งในผู้กำกับที่นิยมทำหนังด้วยเทคนิคเอฟเฟคทำมืออันเป็นเอกลักษณ์และยังโดดเด่นในเรื่องราวผสมผสานความแฟนตาซีและน่าสยดสยองไว้รวมกันได้อย่างน่าทึ่ง
Brandon James Routh เกิดวันที่ 9 ตุลาคม ค.ศ. 1979 (พ.ศ. 2522) ที่ Des Moines, Iowa ประเทศอเมริกา
เขาเข้าเรียนมหาวิทยาลัยที่ Iowa และได้ร่วมแสดงในละครเวทีหลานเรื่องกับทางโรงละคร Norwalk Theater of Performing Arts
แต่บทบาทการแสดงอาชีพของเขาเริ่มต้นขึ้นกับกดารแสดงในซีรีส์ทาง ABC เรื่อง Odd Man Out ค.ศ. 1999 (พ.ศ. 2542) ซึ่งจริง ๆ การแสดงครั้งแรกของเขาคือบทบาทเล็ก ๆ ในเรื่อง One Life to Live ค.ศ. 1968 (พ.ศ. 2511)
หลังจากนั้นเขาก็ได้แสดงในซีรีส์ Undressed ค.ศ. 2000 (พ.ศ. 2543) และเป็นดารารับเชิญในซีรีส์ Gilmore Girls ค.ศ. 2001 (พ.ศ. 2544) และซีรีส์อีกหลายเรื่อง
แต่จุดเปลี่ยนในวงการแสดงของเขาเริ่มต้นขึ้นเมื่อเขาได้รับบท Clark Kent/Superman ในหนัง Superman Returns ค.ศ. 2006 (พ.ศ. 2549) เพราะมันได้สร้างชื่อเสียงและภาพลักษณ์ให้กับเขาไม่น้อยเลย
ซึ่งจริง ๆ Routh เคยไปออดิชั่นรับบท Clark Kent/Superman ในซีรีส์ Smallville ค.ศ. 2001 (พ.ศ. 2544) แต่ก็ไม่ได้รับบทนั้นไป
เจ้าตัวเคยใส่ชุด Superman ไปในปาร์ตี้ฮาโลวีนปี ค.ศ. 2003 (พ.ศ. 2546) และชนะรางวัลการประกวดเครื่องแต่งกายยอดเยี่ยม และ 1 ปีหลังจากนั้นเขาก็ถูกรับเลือกเป็น Superman จริงๆ ใน Superman Returns ค.ศ. 2006 (พ.ศ. 2549) และเจ้าตัวก็เป็นแฟนคลับ Superman สุด ๆ เขาสะสมทั้งคอมิกส์, หนัง หรือแม้กระทั่งชุดนอนลาย Superman ด้วย
แต่น่าเสียดายที่หลังจากนั้นเขาก็ไม่ได้มีบทบาทใหญ่ในวงการหนังสักเท่าไหร่เลย เรียกได้ว่าไม่ได้สร้างชื่อเหมือน Superman เลยแม้แต่นิดเดียว
แต่ในซีรีส์เขาก็ถือว่าทำได้ไม่เลว เขาได้ไปแสดงในซีรีส์ Chuck ค.ศ. 2010-2011 (พ.ศ. 2553-2554) และกลับมามีชื่อเสียงอีกครั้ง กับบทบาท Ray Palmer/The Atom ในซีรีส์ DC's Legends of Tomorrow ค.ศ. 2016-2020 (พ.ศ. 2559-2563)
ซึ่งเอาจริง ๆ ตัวละคร Ray Palmer/The Atom ปรากฏตัวในซีรีส์หลายเรื่องของ DC มาก ทั้ง Supergirl, Batwoman, The Flash, Arrow, Crisis on Infinite Earths
ช่วงนี้ผลงานของเขาก็มีแต่ซีรีส์ และในอนาคตยังมีผลงานให้เราติดตามกันกับหนังทางทีวีเรื่อง The Nine Kittens of Christmas ค.ศ. 2021 (พ.ศ. 2564) และซีรีส์ Magic: The Gathering ค.ศ. 2022 (พ.ศ. 2565)
Hugh Michael Jackman เป็นนักแสดงชาวออสเตรเลีย เขาเกิดเมื่อวันที่ 12 ตุลาคม ค.ศ. 1968 (พ.ศ. 2511) ที่ Sydney, New South Wales ปัจจุบันมีอายุ 51 ปี
Jackman เรียนจบจาก University of Technology Sydney คณะวารสารศาสตร์
หลังจากเรียนจบ เขาได้ไปเรียนการแสดงที่ Western Australian Academy of Performing Arts หลังจากเรียนที่นั่นได้ไม่นาน เขาได้รับข้อเสนอให้ไปแสดงในซีรีส์ทางทีวีช่อง ABC เรื่อง Correlli ค.ศ. 1995 (พ.ศ. 2538)
นอกเหนือจากการแสดงแล้ว เขายังมีความสามารถในการเป็นนักร้องด้วย เขาได้รับบทเป็น Gaston ในละครเวทีเรื่อง Beauty and the Beast, รับบทเป็น Joe Gillis ในละครเวทีเรื่อง Sunset Boulevard ตามมาด้วยบทบาท Curly ในเรื่อง Trevor Nunn
Jackman ได้สร้างชื่อกับตัวเองในเรื่อง Erskineville King ค.ศ. 1999 (พ.ศ. 2542) จนส่งให้เขาได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลนักแสดงนำชายยอดเยี่ยมของ Australian Film Institute
ชนะรางวัลจากเวที Broadway ปี ค.ศ. 2004 (พ.ศ. 2547) กับรางวัลนักแสดงนำชายยอดเยี่ยม กับบทบาท Peter Allen ในเรื่อง The Boy From Oz
เขาเคยได้รับการรับเลือกจากนิตยสาร People ให้ติด 50 Most Beautiful People in the World ถึง 5 ปีซ้อน! ค.ศ. 2000-2004 (พ.ศ. 2543-2547)
เฮียแกถนัดซ้ายและเป็นคนที่สายตาสั้นมากกกกกกกก เขาอ่านหนังสือไม่ได้และแทบจะมองทุกอย่างเป็นภาพเบลอหมดเลยเมื่อเขาไม่ได้ใส่คอนแทคเลนส์
เจ้าตัวเคยให้สัมภาษณ์เอาไว้ว่าเป็นแฟนตัวยงของหนังไล่ฆ่าอย่าง Friday The 13th และเขากลายมาเป็นนักแสดงเพราะหนังเรื่องนี้ ด้วยเหตุผลว่าสักวันหนึ่งเขาจะได้เล่นบทบาทนี้
เขาได้มีบริษัทโปรดักชั่นหนังของตัวเองในชื่อ Seed Productions ซึ่งก่อตั้งกับเพื่อนของเขา John Palermo และเขาได้อำนวยการสร้างให้เรื่อง Deception ค.ศ. 2008 (พ.ศ. 2551), X-Men: The Last Stand ค.ศ. 2006 (พ.ศ. 2549) และ The Greatest Showman ค.ศ. 2017 (พ.ศ. 2560)
เจ้าตัวเป็นคนไม่สูบบุหรี่ เพราะผมว่าหลังจากที่ต้องแสดงในบทบาทที่ต้องสูบมัน เขาพบว่ามันให้ความรู้สึกที่แย่มาก
นอกเหนือจากบทบาทที่คุ้นเคยจากในคอมิกส์อย่าง Logan/Wolverine เขายังได้ถูกเสนอในอีกหลายบทบาทจากคอมิกส์ ไม่ว่าจะเป็น Daredevil ค.ศ. 2003 (พ.ศ. 2546), Hulk ค.ศ. 2003 (พ.ศ. 2546), Iron Man ค.ศ. 2008 (พ.ศ. 2551), Mr. Fantastic ใน Fantastic Four ค.ศ. 2005 (พ.ศ. 2548), Jonathan Kent ใน Superman Returns ค.ศ. 2006 (พ.ศ. 2549) รวมถึงบทบาท Harvey Dent/Two-Face ใน The Dark Knight ค.ศ. 2008 (พ.ศ. 2551) แต่ก็ไม่ได้ตกลงปลงใจรับบทบาทใดเลย
เคยถูกพิจารณาให้รับบท The Huntsman ใน Snow White and the Huntsman ค.ศ. 2012 (พ.ศ. 2555) แต่เต้าตัวปฏิเสธ และบทก็ตกไปเป็นของ Chris Hemsworth
เจ้าตัวเริ่มเป็นมะเร็งผิวหนังตั้งแต่ปี ค.ศ. 2013 (พ.ศ. 2556) ที่บริเวณจมูก และรักษาแล้ว แต่เจ้าตัวเป็นโรคดังกล่าวมาแล้วกว่า 4 ครั้งด้วยกัน
คนที่แนะนำให้เขาเลิกเล่นบท Logan/Wolverine คือภรรยาของเขา Deborra-Lee Furness ด้วยเหตุผลที่ว่าโรคของเขา และวัยที่แก่แล้วอาจทำให้เจ็บตัวจากบทบาทนั้นได้
เจ้าตัวได้แสดงหนังเอาไว้หลายบทบาทอันน่าจดจำ ไม่ว่าจะเป็นนักล่าแวมไพร์ใน Van Helsing ค.ศ. 2004 (พ.ศ. 2547), นักมายากล The Prestige ค.ศ. 2006 (พ.ศ. 2549), อดีตนักมวย Real Steel ค.ศ. 2011 (พ.ศ. 2554), ขโมย Les Misérables ค.ศ. 2012 (พ.ศ. 2555) เรื่องนี้ส่งให้เขาเข้าชิงรางวัลออสการ์และคว้ารางวัลลูกโลกทองคำ, คุณพ่อตามหาลูกสุดรัก Prisoners ค.ศ. 2013 (พ.ศ. 2556), โจรสลัด Pan ค.ศ. 2015 (พ.ศ. 2558), โค้ชสกี Eddie the Eagle ค.ศ. 2015 (พ.ศ. 2558), ผู้จัดการแสดง The Greatest Showman ค.ศ. 2017 (พ.ศ. 2560) ส่งให้เขาเข้าชิงรางวัลลูกโลกทองคำ
ถ้าพูดถึง Hugh Jackman และไม่พูดถึงบทบาท Logan/Wolverine คงจะเป็นอะไรที่แปลกแน่ๆ เพราะตัวเขาเหมือนกลายเป็นเอกลักษณ์ของบทบาทนี้ในโลกภาพยนตร์ไปแล้ว หลายคนก็คงรู้จักเขาจากบทบาทนี้แหละ และถ้าจะให้ใครเข้ามารับบทบาทนี้แทนคงจะลบภาพเขาออกยากแน่ๆ เพราะเจ้าตัวรับบทบาทนี้มาเกือบ 20 ปีเลยทีเดียว!!!
แต่จริง ๆ แล้วเจ้าตัวเกือบชวดบทนี้ เพราะคนที่จะมารับบทนี้ตอนแรกคือ Dougray Scott แต่เขาได้รับบาดเจ็บจากอบุติเหตุทางมอเตอร์ไซต์จนทำให้ไม่สามารถหายทันมาถ่ายทำหนังเรื่อง X-Men ค.ศ. 2000 (พ.ศ. 2543) ได้
ในตอนแรกที่เขาได้รับบทบาทนี้ เขาไม่รู้จะเล่นให้ตัวเองโกรธมากๆ แบบตัวละคร Wolverine ยังไง และมันใช้เวลาเป็นอาทิตย์กว่าเขาจะเข้าถึงความโกรธและโหดของตัวละครนี้ได้ แต่ภายหลังเราคงเห็นได้ว่าเขาทำมันได้แบบสบาย ๆ 555
ในคอมิกส์ Wolverine สูง 5 ฟุต 3 นิ้ว แต่ Jackman สูง 6 ฟุต 2 นิ้ว
ถึงแม้เจ้าตัวจะลาบทบาทไปแล้ว กับเรื่อง Logan ค.ศ. 2017 (พ.ศ. 2560) แต่เขาคิดว่าคนที่เหมาะสมจะมารับบทนี้ต่อจากเขาคือ Tom Hardy
ถึงแม้เขาจะไม่ได้รับบทบาท Logan แล้วก็ตาม แต่ยังมีผลงานของเขาอีกมากมาย กับล่าสุดใน Reminiscence ค.ศ. 2021 (พ.ศ. 2564)
และในอนาคตยังมีบทบาทอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น The Son ค.ศ. 2022 (พ.ศ. 2565), The Good Spy, Enzo Ferrari และ Apostle Paul
ถ้าถามว่าบทบาทไหนคือบทบาทที่คนจะจดจำเฮียแกได้มากที่สุด ก็คงจะเป็นบทบาท Logan/Wolverine นี่แหละ และมันคงเป็นบทบาทแรกๆ ที่คนนึกถึงเมื่อพูดถึง Hugh Jackman เลยทีเดียว
Roger George Moore เกิดวันที่ 14 ตุลาคม ค.ศ. 1927 (พ.ศ. 2470) ที่ Stockwell, London ประเทศอังกฤษ
ในตอนแรก Moore อยากจะเป็นศิลปิน แต่เขากลายมาเป็นนักแสดงเต็มตัวเนื่องจากเคยไปเป็นเอ็กตราในหนังช่วงปลายปี ค.ศ. 1940s (พ.ศ. 2483-2492)
Moore เคยรับใช้ชาติในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ด้วย
Moore เดินทางเข้ามายังอเมริกาในปี ค.ศ. 1953 (พ.ศ. 2496) ด้วยความหล่อเหลาเป็นอย่างมาก และความเป็นนักแสดงอันยอดเยี่ยม ทำให้เขาได้เซ็นสัญญากับทาง Metro-Goldwyn-Mayer และได้แสดงหนังมาบ้าง พร้อมเสียงวิจารณ์ที่ปะปนกันไป Diane ค.ศ. 1956 (พ.ศ. 2499), Interrupted Melody ค.ศ. 1955 (พ.ศ. 2498), The Last Time I Saw Paris ค.ศ. 1954 (พ.ศ. 2497)
Moore เริ่มเข้าสู่วงการโทรทัศน์ในช่วงปี ค.ศ. 1950s (พ.ศ. 2493-2502) ได้แสดงในเรื่อง Ivanhoe ค.ศ. 1958 (พ.ศ. 2501) และ The Alaskans ค.ศ. 1959 (พ.ศ. 2502) แต่หลายคนจดจำเขาได้จากบทบาทใน Maverick ค.ศ. 1957 (พ.ศ. 2500)
แต่การแจ้งเกิดของ Moore จริง ๆ มาจากบทบาทในเรื่อง The Saint ค.ศ. 1968 (พ.ศ. 2511) ที่ทำให้ชื่อเสียงของเขาโด่งดังไปทั่วโลก และเขาก็ประสบความสำเร็จอย่างมากจากเรื่องนั้น แต่ก็ยังไม่มีชื่อเสียงมากพอในประเทศอุตสาหกรรมยักษ์ใหญ่อย่างทางอเมริกา
และเพื่อการจะเปลี่ยนแปลงในจุดนั้น เขาก็ได้ตกลงแสดงในซีรีส์เรื่อง The Persuaders! ค.ศ. 1971 (พ.ศ. 2514) แต่มันก็ยังดังในยุโรปเท่านั้น และมันก็ไม่ประสบความสำเร็จในอเมริกา แถมยังถูกยกเลิกอีกต่างหาก
แต่ในที่สุดโอกาสพิสูจน์ของเขาก็มาถึง เรียกได้ว่าเป็นบทบาทเปลี่ยนชีวิตเลยก็ว่าได้ เมื่อเขาได้รับข้อเสนอให้มารับบท James Bond ต่อจากตำนาน Sean Connery แน่นอนว่าเขาก็ได้รับบทนี้ไปครอบครอง แต่สไตล์เรียกได้ว่าคนละแบบกับ Connery อย่างสิ้นเชิง
Moore ปรากฏตัวครั้งแรกในฐานะ James Bond ในเรื่อง Live and Let Die ค.ศ. 1973 (พ.ศ. 2516) และหลังจากนั้นเขาก็ได้แสดงในแฟรนไชส์นี้ต่ออีกถึง 6 ภาค The Man with the Golden Gun ค.ศ. 1974 (พ.ศ. 2517), The Spy Who Loved Me ค.ศ. 1977 (พ.ศ. 2520), Moonraker ค.ศ. 1979 (พ.ศ. 2522), For Your Eyes Only ค.ศ. 1981 (พ.ศ. 2524), Octopussy ค.ศ. 1983 (พ.ศ. 2526) และ A View to a Kill ค.ศ. 1985 (พ.ศ. 2528)
ครั้งสุดท้ายกับบทบาท James Bond ณ ตอนนั้นเขาอายุ 57 ปีแล้ว ก็ถือว่าแก่เกินกว่าจะรับบทนี้แล้วด้วย ซึ่งในระหว่างกอยโกยความสำเร็จและเงินทองจากแฟรนไชส์ Bond เขายังประสบความสำเร็จกับอีกมากมายหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็น That Lucky Touch ค.ศ. 1975 (พ.ศ. 2518), Shout at the Devil ค.ศ. 1976 (พ.ศ. 2519), The Wild Geese ค.ศ. 1978 (พ.ศ. 2521), Escape to Athena ค.ศ. 1979 (พ.ศ. 2522) และ North Sea Hijack ค.ศ. 1980 (พ.ศ. 2523)
แม้จะมีชื่อเสียงจากแฟรนไชส์ Bond และเรื่องอื่น ๆ อีกมากมาย แต่ทางอเมริกาก็ไม่เคยสนใจในการแสดงของเขาเลย จนกระทั่งเขาได้แสดงในเรื่อง The Cannonball Run ค.ศ. 1981 (พ.ศ. 2524) เคียงข้างกับ Burt Reynolds และประสบความสำเร็จ
หลังจากบทบาท James Bond ของเขาจบลง ดูเหมือนว่างานของเขาก็น้อยลงไปด้วย ถึงแม้ว่าจะได้แสดงหนังใน Box Office ของอเมริกาอย่าง Eis & Dynamit ค.ศ. 1990 (พ.ศ. 2533), Bullseye! ค.ศ. 1990 (พ.ศ. 2533), Bed & Breakfast ค.ศ. 1991 (พ.ศ. 2534), The Man Who Wouldn't Die ค.ศ. 1994 (พ.ศ. 2537), The Quest ค.ศ. 1996 (พ.ศ. 2539), Spice World ค.ศ. 1997 (พ.ศ. 2540), The Dream Team ค.ศ. 1999 (พ.ศ. 2542) ก็ตามที
Moore ยังคงโลดแล่นแสดงอยู่ในวงการเรื่อยมา และผลงานล่าสุดของเขาคือหนังทางทีวีเรื่อง The Saint ค.ศ. 2017 (พ.ศ. 2560)
Roger Moore จากโลกนี้ไปด้วยวัย 89 ปี จากโรคมะเร็ง ในวันที่ 23 พฤษภาคม ค.ศ. 2017 (พ.ศ. 2560) ที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์
Roger Moore เคยได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ขั้น Commander ในวันที่ 31 ธันวาคม ค.ศ. 1998 (พ.ศ. 2541) สำหรับเป็นเกียรติในการรับใช้องค์กร UNICEF และได้เลื่อนขั้นเป็นชั้น Knight Commander ในวันที่ 14 มิถุนายน ค.ศ. 2003 (พ.ศ. 2546) สำหรับเป็นเกียรติในการรับใช้องค์กร UNICEF และ Kiwanis International
Jean-Claude Van Damme มีชื่อจริงว่า Jean-Claude Camille François Van Varenberg เกิดวันที่ 18 ตุลาคม ค.ศ. 1960 (พ.ศ. 2503) ที่ Berchem-Sainte-Agathe, Brussels ประเทศเบลเยี่ยม
พ่อของเขาแนะนำให้เขาเรียนศิลปะการต่อสู้เมื่อเขาเห็นลูกของเขามีร่างกายที่อ่อนแอ และเมื่อตอนเขาอายุได้ 12 ปี Van Damme เริ่มเรียนศิลปะการต่อสู้ที่ Centre National De Karate (National Center of Karate) จนฝึกมาเป็นเวลา 4 ปี และได้รับการจับตามองจากทีมคาราเต้อาชีพ Belgium Karate Team
Van Damme เป็นแชมป์ middleweight ของยุโรปตั้งแต่ช่วงวัยรุ่น และยังสามารถเอาชนะนักคาราเต้อันดับ 2 ของโลกได้อีกด้วย จนได้เข้าแข่งขันประชันฝีมือคาราเต้ตามที่ต่าง ๆ มากมาย ซึ่งเป้าหมายของเขาคือการเป็นอันดับ 1 ของโลก แต่ก็ต้องเปลี่ยนเป้าหมายไป เมื่อเขาออกจากบ้านเกิดที่ Brussels
Van Damme ได้เลิกเป็นนักกีฬาศิลปะการต่อสู้ในปี ค.ศ. 1982 (พ.ศ. 2525) เขามีสถิติ Kickboxing อันงดงามอยู่ที่ 18-1 (18 knockouts) และสถิติ Semi-Contact 41-4
Van Damme ได้เดินทางมาที่ฮ่องกงครั้งแรกตอนอายุ 19 ปี และเขารู้สึกได้ว่าเขาอยากเป็นดาราหนังแอ็คชันฮ่องกงบ้าง
ในปี ค.ศ. 1981 (พ.ศ. 2524) Van Damme ก็ได้ย้ายมายัง Los Angeles และได้เริ่มต้นเรียนภาษาอังกฤษพร้อม ๆ กับรับงานต่าง ๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็นคนส่งพิวซ่า, คนขับรถลิมูซีน และต้องขอบคุณ Chuck Norris ที่ทำให้ Van Damme ได้ทำงานเป็นการ์ดหน้าผับ
เท่านั้นยังไม่พอ Norris ยังให้ Van Damme ได้แสดงบทบาทเล็ก ๆ ในเรื่อง Missing in Action ค.ศ. 1984 (พ.ศ. 2527) แต่มันก็ยังไม่ดีพอที่จะให้คนมาสนใจ
หลังจากนั้นในปี ค.ศ. 1984 (พ.ศ. 2527) Van Damme ก็ได้รับบทเป็นตัวร้ายที่ชื่อว่า Ivan ในหนังทุนต่ำเรื่อง No Retreat, No Surrender ค.ศ. 1986 (พ.ศ. 2529)
อยู่มาวันหนึ่งขณะที่ Van Damme กำลังเดินอยู่บนถนน เขาก็ได้พบเจอกับผู้อำนวยการสร้างของค่าย Cannon Pictures เขาจึงรีบเดินไปหาและแสดงทักษะความสามารถในด้านศิลปะการต่อสู้ของเขาให้ผู้อำนวยการสร้างคนนั้นดู ผลคือเขาได้รับบทนำในหนังเรื่อง Bloodsport ค.ศ. 1988 (พ.ศ. 2531) และจากเรื่องนั้นทำให้ชื่อของ Jean-Claude Van Damme เป็นที่รู้จักในวงกว้างมากขึ้นในฐานะ action star
หลังจากนั้นเขาก็ได้แสดงหนังอีกหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็น Cyborg ค.ศ. 1989 (พ.ศ. 2532), Lionheart ค.ศ. 1990 (พ.ศ. 2533), Double Impact ค.ศ. 1991 (พ.ศ. 2534), Universal Soldier ค.ศ. 1992 (พ.ศ. 2535), Timecop ค.ศ. 1994 (พ.ศ. 2537), The Quest ค.ศ. 1996 (พ.ศ. 2539) เจ้าตัวทั้งแสดงและกำกับเอง, Maximum Risk ค.ศ. 1996 (พ.ศ. 2539), Double Team ค.ศ. 1997 (พ.ศ. 2540), Replicant ค.ศ. 2001 (พ.ศ. 2544), Derailed ค.ศ. 2002 (พ.ศ. 2545), In Hell ค.ศ. 2003 (พ.ศ. 2546)
เจ้าตัวได้ฝากผลงานล่าสุดเอาไว้ในหนังทาง Netflix เรื่อง The Last Mercenary ค.ศ. 2021 (พ.ศ. 2564)
อนาคตยังมีผลงานของเขาให้เราได้เห็นกันอีกแน่นอน เรื่องแรก Minions: The Rise of Gru ค.ศ. 2022 (พ.ศ. 2565) กับการให้เสียงพากย์ Jean Clawed
จะเห็นได้ว่ากานแสดงของเขามีมากกว่าความเป็น action star เพราะเขาเริ่มที่จะมีซีนอารมณ์ ตัวละครดูมีมิติมากขึ้น แต่นอนนอนว่าถ้าพูดถึงดาราหนังบู๊ ชื่อของเขาคืออันดับต้น ๆ แน่นอน Jean-Claude Van Damme
Zac Efron มีชื่อจริงว่า Zachary David Alexander Efron เกิดวันที่ 18 ตุลาคม ค.ศ. 1987 (พ.ศ. 2530) ที่ San Luis Obispo, California ประเทศอเมริกา
.
Zac ได้เริ่มต้นก้าวแรกสู่การเป็นอาชีพนักแสดงตั้งแต่อายุเพียง 11 ปี หลังจากที่พ่อแม่ของเขาค้นพบความสามารถในการร้องเพลงของเขา หลังจากนั้นพ่อแม่เขาก็ส่งเขาไปเรียนทั้งการร้องเพลงและการแสดง และมันก็ส่งให้เขาได้รับบทในละครเวที Gypsy ตามมาด้วยอีกมากมายหลายเรื่องทั้ง Peter Pan, Auntie Mame, Little Shop of Horrors และ The Music Man
หลังจากนั้นเขาก็เริ่มเป็นที่สนใจมากขึ้น จนได้ไปปรากฏตัวในซีรีส์หลายเรื่องเช่น Firefly ค.ศ. 2002 (พ.ศ. 2545), ER ค.ศ. 1994 (พ.ศ. 2537), CSI: Miami ค.ศ. 2002 (พ.ศ. 2545), NCIS ค.ศ. 2003 (พ.ศ. 2546), The Guardian ค.ศ. 2001 (พ.ศ. 2544), Summerland ค.ศ. 2004 (พ.ศ. 2547)
แต่ชื่อเสียงของเขาเริ่มต้นขึ้นเมื่อเขาได้แสดงหนังของ Disney Channel เรื่อง High School Musical ค.ศ. 2006 (พ.ศ. 2549) สร้างความประทับใจไปทั่วโลกด้วยใบหน้าอันหล่อเหลา และเสียงร้องสุดไพเราะ ซึ่งมันส่งให้เขาคว้ารางวัล Teen Choice Award สำหรับสาขา Breakout Star และเขาก็ลับมารับบทเดิมใน High School Musical 2 ค.ศ. 2007 (พ.ศ. 2550) และ High School Musical 3 ค.ศ. 2008 (พ.ศ. 2551)
การแสดงของเขาเริ่มออกมาให้เห็นมากขึ้นทั้ง 17 Again ค.ศ. 2009 (พ.ศ. 2552), Charlie St. Cloud ค.ศ. 2010 (พ.ศ. 2553), Hairspray ค.ศ. 2007 (พ.ศ. 2550) และในปี ค.ศ. 2007 (พ.ศ. 2550) ก็ส่งให้เขาได้รับรางวัลและเข้าชิงอีกมากมาย
ผลงานของ Zac มีมาอย่างต่อเนื่อง ทั้ง New Year's Eve ค.ศ. 2011 (พ.ศ. 2554), The Lucky One ค.ศ. 2012 (พ.ศ. 2555), Parkland ค.ศ. 2013 (พ.ศ. 2556), Neighbors ค.ศ. 2014 (พ.ศ. 2557), We Are Your Friends ค.ศ. 2015 (พ.ศ. 2558), Dirty Grandpa ค.ศ. 2016 (พ.ศ. 2559), Baywatch ค.ศ. 2017 (พ.ศ. 2560), The Greatest Showman ค.ศ. 2017 (พ.ศ. 2560), The Beach Bum ค.ศ. 2019 (พ.ศ. 2562) และผลงานล่าสุดกับการให้เสียงพากย์ Fred Jones ในหนังอนิเมชันเรื่อง Scoob! ค.ศ. 2020 (พ.ศ. 2563)
ซึ่งในอนาคตยังมีผลงานของเขาให้ติดตามกันอีก ทั้ง Gold ค.ศ. 2021 (พ.ศ. 2564), Three Men and a Baby ค.ศ. 2022 (พ.ศ. 2565), Firestarter, The Greatest Beer Run Ever และ Killing Zac Efron
Zac ยังคงมีผลงานในอนาคตให้เราได้ติดตามทั้ง ซีรีส์ Killing Zac Efron, Three Men and a Baby และ King of the Jungle
หนุ่มหน้าตาสุดหล่อเหลา ดวงตาสีฟ้าอันงดงาม รูปร่างที่ดูดี และมีเสียงอันไพเราะ - Zac Efron
Viggo Peter Mortensen Jr. เกิดวันที่ 20 ตุลาคม ค.ศ. 1958 (พ.ศ. 2501) ที่ Manhattan, New York ประเทศอเมริกา
Viggo เข้าเรียนที่ Watertown High School ซึ่งเขามีผลการเรียนดี กีฬาเด่น เขาเรียนจบในปี ค.ศ. 1976 (พ.ศ. 2519) และได้ไปเรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัยที่ St. Lawrence University ใน Canton
หลังจากเรียนจบ Viggo ก็ได้ย้ายไปที่เดนมาร์ก และด้วยสถานการณ์ต่าง ๆ มันบีบบังคับ ขับเคลื่อนจิตใจของเขาให้กำหนดจุดมุ่งหมายในชีวิตได้แล้ว
เขาเริ่มจากการเขียนบทกวี เขียนเรื่องสั้น ในขณะที่ได้ทำงานอื่นไปเรื่อย ๆ
ในปี ค.ศ. 1982 (พ.ศ. 2525) เขาได้ตกหลุมรักกับหญิงคนหนึ่งและความรักก็นำพาเขากลับมายังบ้านเกิดที่ New York ซึง ณ จุดนั้นเขาก็มีความรักที่ดีและมีอาชีพเป็นนักเขียนเป็นงานอดิเรก
ระหว่างอยู่ที่ New York ครั้งนี้เขาก็ได้ทำงานเป็นพนักงานเช็ดโต๊ะและเป็นบาเทนเดอร์ แต่ที่แตกต่างไปในครั้งนี้ เขาตัดสินใจที่จะเข้าเรียนคลาสสอนการแสดงด้วย จนทำให้เขาได้เล่นละครเวทีหลายเรื่องเลยทีเดียว
จนกระทั่งในที่สุด เขาก็ย้ายที่อยู่ไปยัง Los Angeles หลังจากย้ายไปเขาก็ได้แสดงละครเวทีเรื่อง Bent ที่ Coast Playhouse ส่งให้เขาได้รางวัล Dramalogue Critic's Award
Viggo ได้เดบิวต์แสดงหนังเรื่องแรกกับบทเล็กๆ ใน Witness ค.ศ. 1985 (พ.ศ. 2528) หลังจากนั้นเขาก็ได้ไปปรากฏตัวในอีกหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็น Salvation: Have You Said Your Prayers Today? ค.ศ. 1987 (พ.ศ. 2530) และได้พบรักกับดาราร่วมแสดงอย่าง Exene Cervenka จนได้แต่งงานมีลูกชายด้วยกันชื่อว่า Henry Mortensen แต่เกือบ 11 ปีทั้งคู่ก็เลิกราหย่ากันไป
ในปี ค.ศ. 1999 (พ.ศ. 2542) Viggo ได้รับโทรศัพท์สายหนึ่งให้ข้อเสนอเขาไปแสดงหนังเรื่องนึงสร้างมาจากนิยายที่เขาไม่เคยรู้จักหรือได้ยินชื่อมาก่อน นั่นก็คือ The Lord of the Rings ในตอนแรกเขาจะไม่รับด้วยซ้ำ เพราะมันหมายความว่าเขาจะมีเวลาให้ลูกน้อยลง แต่ลูกของเขานั่นแหละที่ทำให้เขาเปลี่ยนใจ เพราะ Henry เป็นแฟนตัวยงของนิยายมหากาพย์เรื่องนี้ บอกให้พ่อเขาห้ามปฏิเสธบทในเรื่องนี้เด็ดขาด และผลก็คือ เขาได้รับบท Aragorn ใน The Lord of the Rings: The Fellowship of the Ring ค.ศ. 2001 (พ.ศ. 2544) สร้างชื่อเสียงโด่งดังให้ตัวเองมากมาย ไปไหนก็มีแต่คนรู้จัก เรียกเขาว่า Aragorn เต็มไปหมด และยังรับบทนี้มาอย่างต่อเนื่องใน The Lord of the Rings: The Two Towers ค.ศ. 2002 (พ.ศ. 2545) และ The Lord of the Rings: The Return of the King ค.ศ. 2003 (พ.ศ. 2546)
หลังจากนั้นเขาก็มีผลงานออกมาอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็น Hidalgo ค.ศ. 2004 (พ.ศ. 2547), A History of Violence ค.ศ. 2005 (พ.ศ. 2548), Alatriste ค.ศ. 2006 (พ.ศ. 2549), Eastern Promises ค.ศ. 2007 (พ.ศ. 2550) จากเรื่องนี้ส่งให้เขาได้เข้าชิงรางวัลออสการ์และรางวัลลูกโลกทองคำด้วย, Good ค.ศ. 2008 (พ.ศ. 2551), The Road ค.ศ. 2009 (พ.ศ. 2552), A Dangerous Method ค.ศ. 2011 (พ.ศ. 2554) ส่งให้เขาเข้าชิงรางวัลลูกโลกทองคำ, On the Road ค.ศ. 2012 (พ.ศ. 2555), The Two Faces of January ค.ศ. 2014 (พ.ศ. 2557), Captain Fantastic ค.ศ. 2016 (พ.ศ. 2559) ส่งให้เข้าชิงออสการ์และลูกโลกทองคำ, Green Book ค.ศ. 2018 (พ.ศ. 2561) ส่งให้เข้าชิงออสการ์และลูกโลกทองคำ ตามมาด้วยผลงานล่าสุด Falling ค.ศ. 2020 (พ.ศ. 2563)
ในอนาคตยังมีผลงานของเขาให้เราได้เห็นกันอีก ทั้ง Thirteen Lives ค.ศ. 2022 (พ.ศ. 2565) หนังที่สร้างจากเรื่องจริงภารกิจช่วย 13 ทีมหมูป่า, Eureka ค.ศ. 2022 (พ.ศ. 2565), Crimes of the Futre และ Unabomb
ถึงแม้อายุจะมากขึ้น แต่การแสดงของเขายังคงยอดเยี่ยมไม่มีเปลี่ยน HBD Viggo Mortensen
John Burke Krasinski เกิดวันที่ 20 ตุลาคม ค.ศ. 1979 (พ.ศ. 2522) ที่ Newton, Massachusetts ประเทศอเมริกา
Krasinski มีประสบการณ์ทางด้านการแสดงครั้งแรกเมื่อตอนที่เขาได้แสดงในละครเวทีระดับมัธยมปลาย ซึ่งตัวเขาเขียนบทเองด้วย
หลังจากเรียนจบในปี ค.ศ. 1997 (พ.ศ. 2540) เขาอยากเข้าเรียนเอกอังกฤษเพื่อที่จะได้ไปสอนภาษาอังกฤษในมหาวิทยาลัยที่ Costa Rica เขาจึงเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัย Brown University และเรียนจบในปี ค.ศ. 2001 (พ.ศ. 2544) หลังจากนั้นเขาก็ได้เข้าเรียนที่ Eugene O'Neill National Theatre Institute ใน Waterford, Connecticut
ในช่วงหน้าร้อนปี ค.ศ. 2000 (พ.ศ. 2543) เขาได้ฝึกงานและได้เขียนบทตอนหนึ่งของ Late Night with Conan O'Brien
Krasinski ได้เริ่มต้นแสดงครั้งแรกในชีวิตกับเรื่อง State and Main ค.ศ. 2000 (พ.ศ. 2543) แต่ไม่ได้รับเครดิต ตามมาด้วยหนังสั้น Fighting Still Life ค.ศ. 2002 (พ.ศ. 2545), Alama Mater ค.ศ. 2002 (พ.ศ. 2545) และซีรีส์ Ed ค.ศ. 2003 (พ.ศ. 2546) กับ Law & Order: Criminal Intent ค.ศ. 2004 (พ.ศ. 2547)
Krasinski ได้แสดงหนังเต็มตัวครั้งแรกในเรื่อง Kinsey ค.ศ. 2004 (พ.ศ. 2547) ตามมาด้วยผลงานอีกมากมายทั้ง Duane Hopwood ค.ศ. 2005 (พ.ศ. 2548), Jarhead ค.ศ. 2005 (พ.ศ. 2548), The Holiday ค.ศ. 2006 (พ.ศ. 2549), Shrek the Third ค.ศ. 2007 (พ.ศ. 2550), License to Web ค.ศ. 2007 (พ.ศ. 2550), Leatherheads ค.ศ. 2008 (พ.ศ. 2551)
ผลงานการกำกับเรื่องแรกของ Krasinski คือ Brief Interviews with Hideous Men ค.ศ. 2009 (พ.ศ. 2552) ซึ่งในเรื่องนี้เจ้าตัวทั้งกำกับเอง, เขียนบทเอง และแสดงเองด้วย
Krasinski แต่งงานกับ Emily Blunt ในวันที่ 10 กรกฏาคม ค.ศ. 2010 (พ.ศ. 2553) และมีลูกที่น่ารักด้วยกัน 2 คน
ผลงานการแสดงของเขายังมีอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นให้เสียงพากย์ Monsters vs. Aliens ค.ศ. 2009 (พ.ศ. 2552), Something Borrowed ค.ศ. 2011 (พ.ศ. 2554), Promised Land ค.ศ. 2012 (พ.ศ. 2555), พากย์เสียง Monsters University ค.ศ. 2013 (พ.ศ. 2556), Aloha ค.ศ. 2015 (พ.ศ. 2558), 13 Hours ค.ศ. 2016 (พ.ศ. 2559), The Hollars ค.ศ. 2016 (พ.ศ. 2559), Detroit ค.ศ. 2017 (พ.ศ. 2560), Next Gen ค.ศ. 2018 (พ.ศ. 2561), ซีรีส์ Jack Ryan ค.ศ. 2018-2021 (พ.ศ. 2561-2564) และผลงานล่าสุดอย่าง Free Guy ค.ศ. 2021 (พ.ศ. 2564)
ส่วนในอนาคตยังมีผลงานการให้เสียงพากย์ในหนังอนิเมชัน DC League of Super-Pets ค.ศ. 2022 (พ.ศ. 2565)
เจ้าตัวสร้างชื่อและประสบความสำเร็จสุด ๆ กับหนังเรื่อง A Quiet Place ค.ศ. 2018 (พ.ศ. 2561) ที่ทั้งกำกับเอง เขียนบทเอง แสดงเอง และเอาเมียตัวเองมาแสดงด้วย 555+ จนมีภาคต่อออกมากับ A Quiet Place Part II ค.ศ. 2020 (พ.ศ. 2563)
จริง ๆ เจ้าตัวเคยเกือบได้รับบท Captain America ด้วยนะ แต่ก็ออดิชั่นแพ้บทให้ Chris Evans ไป และเจ้าตัวก็ยังสนใจอยากรับบท Mr. Fantastic ในจักรวาล MCU (ถ้าเขาจะทำอะนะ) ไม่รู้ว่าจะเอาเมียมาเล่นเป็นสาวน้อยล่องหนหรือเปล่า 555+
ชายผู้มากไปด้วยความสามารถรอบด้าน ไม่ว่าจะการแสดง การกำกับ หรือการเขียนบท เขาก็สามารถทำออกมาได้ทั้งนั้น สุขสันต์วันเกิด John Krasinski
Carrie Frances Fisher เกิดวันที่ 21 ตุลาคม ค.ศ. 1956 (พ.ศ. 2499) ที่ Burbank, California ประเทศอเมริกา
Carrie Fisher ผู้รับบทเจ้าหญิงเลอามาตั้งแต่ปี 1977 กับ Star Wars ค.ศ. 1977 (พ.ศ. 2520) และปรากฏตัวเรื่อยมาจนครั้งสุดท้ายใน Star Wars: Episode VIII - The Last Jedi ค.ศ. 2017 (พ.ศ. 2560) เธอกลายเป็นดั่งไอค่อนของแฟรนไชส์ Star Wars ไปโดยปริยาย เธอคือ "หัวใจและจิตวิญญาณ" ของแฟรนไชส์นี้
แต่มันช่างน่าเศร้าที่เธอต้องมาจากไปในวันที่ 27 ธันวาคม ค.ศ. 2016 (พ.ศ. 2559) เธอเสียชีวิตด้วยอาการหัวใจวาย หยุดหายใจในขณะหลับ ด้วยวัย 60 ปี
และการที่เราได้เห็นเธอใน Star Wars: Episode IX - The Rise of Skywalker ค.ศ. 2019 (พ.ศ. 2562) เป็นฟุตเทจเก่า ๆ เท่านั้น เพราะเธอได้เสียชีวิตก่อนที่จะได้ถ่ายทำภาค The Rise of Skywalker และแน่นอนว่าเพื่อเป็นการให้เกียรติเธอ ทางทีมงานจึงไม่ให้คนอื่นมารับบทนี้แทน และใช้ฟุตเทจเก่า ๆ มาทำให้เธอกลับมามีชีวิตอีกครั้งในภาคนี้
Todd Fisher น้องชายของ Carrie ได้ออกมาเปิดเผยถึงจดหมายฉบับสุดท้ายที่ Carrie เคยเขียนเอาไว้เกี่ยวกับความตายอย่างมีอารมณ์ขัน ในขณะที่เธอยังมีชีวิตอยู่
ฉันตายแล้วนะ นายเป็นไงบ้าง? ฉันจะได้เจอนายเร็วๆ นี้แหละ ฉันจะบอกให้ว่ามันเป็นยังไง มันไม่มีแผนกต้อนรับบนนี้หรอกนะ คัท ฉากใหม่, กองใหม่, สถานที่ถ่ายทำแห่งใหม่ที่เป็นสรวงสวรรค์ ในที่สุดฉันก็ได้บทที่ฉันซ้อมมาตลอดชีวิต พระเจ้าเป็นคนมอบบทนี้ให้ฉันเอง นี่คือปลายทางของถนนที่ฉันได้เดินทางมาตลอดชีวิตแล้วหละ
Carrie Fisher ได้จากโลกนี้ไปแล้ว เธออาจจะไปอยู่บนสวรรค์ หรือกาแล็กซี่อันไกลโพ้นออกไปก็เป็นได้...แต่ที่แน่ ๆ เธอจะอยู่ในหัวใจแฟน ๆ ทั่วโลกตลอดไป
May the Force be with you...always
Jeffrey Lynn Goldblum เกิดวันที่ 22 ตุลาคม ค.ศ. 1952 (พ.ศ. 2495) ที่ Pittburgh, Pennsylvania
Goldblum เริ่มต้นอาชีพการแสดงในการเป็นนักแสดงละครเวทีที่ New York เมื่อเขาย้ายมาที่นี่ตอนอายุ 17 ปี
แต่ไม่นานเขาก็ได้รับโอกาสในการแสดงหนังกับเรื่อง Death WIsh ค.ศ. 1974 (พ.ศ. 2517) และก็มีผลงานต่อเนื่องมาให้เห็นกันอยู่เรื่อยๆ Annie Hall ค.ศ. 1977 (พ.ศ. 2520), Invasion of the Body Snatchers ค.ศ. 1978 (พ.ศ. 2521), Tenspeed and Brown Shoe ค.ศ. 1980 (พ.ศ. 2523) และ The Big Chill ค.ศ. 1983 (พ.ศ. 2526)
ชื่อเสียงของเขาเริ่มมากขึ้น ทั้งจาก The Adventures of Buckaroo Banzai Across the 8th Dimension ค.ศ. 1984 (พ.ศ. 2527), Into the Night ค.ศ. 1985 (พ.ศ. 2529), The Fly ค.ศ. 1986 (พ.ศ. 2529), Transylvania 6-5000 ค.ศ. 1985 (พ.ศ. 2528) และ Earth Girls Are Easy ค.ศ. 1988 (พ.ศ. 2531)
แต่เขาโด่งดังและเป็นที่รู้จักสุด ๆ กับบทบาท Dr. Ian Malcome ในหนังของ Steven Spielberg เรื่อง Jurassic Park ค.ศ. 1993 (พ.ศ. 2536) แถมยังมีซีนน่าจดจำที่กลายเป็นมีมมาจนถึงทุกวันนี้กับฉากนอนปลดกระดุมฉากนั้น และยังได้แสดงในภาคต่อ The Lost World: Jurassic Park ค.ศ. 1997 (พ.ศ. 2540) ซึ่งภาคล่าสุดที่ยังไม่ได้เข้าฉายอย่าง Jurassic World: Dominion ค.ศ. 2022 (พ.ศ. 2565) เจ้าตัวก็จะกลับมารับบทบาทเดิมเช่นกัน
นอกเหนือจากนั้นแล้วเรายังได้เห็นบทบาทอื่นๆ ในการแสดงของเขาอีก ไม่ว่าจะเป็น Independence Day ค.ศ. 1996 (พ.ศ. 2539), Cats & Dogs ค.ศ. 2001 (พ.ศ. 2544), Igby Goes Down ค.ศ. 2002 (พ.ศ. 2545), The Life Aquatic with Steve Zissou ค.ศ. 2004 (พ.ศ. 2547), ซีรีส์ Will & Grace ค.ศ. 2005 (พ.ศ. 2548), Law & Order: Criminal Intent ค.ศ. 2009-2010 (พ.ศ. 2552-2553), ซีรีส์ Glee ค.ศ. 2012 (พ.ศ. 2555), Mortdecai ค.ศ. 2015 (พ.ศ. 2558), Independence Day: Resurgence ค.ศ. 2016 (พ.ศ. 2559), Thor: Ragnarok ค.ศ. 2017 (พ.ศ. 2560), Isle of Dogs ค.ศ. 2018 (พ.ศ. 2561), Hotel Artemis ค.ศ. 2018 (พ.ศ. 2561) ล่าสุดก็ฝากผลงานพากย์เสียงไว้ใน The Boss Baby: Family Business ค.ศ. 2021 (พ.ศ. 2564) และซีรีส์ What If...? ค.ศ. 2021 (พ.ศ. 2564)
และในอนาคตก็ยังคงมีผลงานของเขาให้เห็นอยู่ ทั้ง The Liar, They Shot the Piano Player และ The Price of Admission
เขาได้รับเกียรติให้ประทับชื่อบน Hollywood Walk of Fame ที่ 6656 Hollywood Boulevard ใน Hollywood, California วันที่ 14 มิถุนายน ค.ศ. 2018 (พ.ศ. 2561)
นักแสดงผู้มักได้รับบทให้เป็นผู้มีความรู้ (ครู, นักวิทยาศาสตร์ ฯลฯ) ผ่านงานแสดงมามากมายเกิน 100 เรื่อง
Ang Lee เป็นหนึ่งในผู้กำกับฝีมือเยี่ยม เกิดวันที่ 23 ตุลาคม ค.ศ. 1954 (พ.ศ. 2497) ที่ Pingtung ประเทศไต้หวัน
Ang Lee เรียนจบจาก National Taiwan College of Arts ในปี ค.ศ. 1975 (พ.ศ. 2518) และเดินทางมาเรียนต่อปริญญาโทที่อเมริกาใน Theatre/Theater Direction ที่มหาวิทยาลัย Illinois และเรียนต่อปริญญาเอก Film Production ที่มหาวิทยาลัย New York
ในตอนที่ Ang Lee อยู่ที่ New York เขาเคยได้รับหน้าที่เป็นผู้ช่วยผู้กำกับหนังของลูกศิษย์ Spike Lee เรื่อง Joe's Bed-Stuy Barbershop: We Cut Heads ค.ศ. 1983 (พ.ศ. 2526)
หลังจากนั้นไม่นาน Ang Lee ก็เริ่มเขียนบทหนัง 2-3 เรื่อง จนได้มากำกับหนังครั้งแรกเต็มตัวกับเรื่อง Pushing Hands ค.ศ. 1991 (พ.ศ. 2534) ตามมาด้วย The Wedding Banquet ค.ศ. 1993 (พ.ศ. 2536) (ที่เจ้าตัวไปปรากฏในหนังด้วย) และ Eat Drink Man Woman ค.ศ. 1994 (พ.ศ. 2537) ทั้งหมดที่กล่าวมาเจ้าตัวทั้งกำกับและเขียนบทด้วย
ผลงานเรื่องต่อมาของ Ang Lee คือ Sense and Sensibility ค.ศ. 1995 (พ.ศ. 2538) เป็นหนัง Hollywood กระแสหลักเรื่องแรกของเจ้าตัวด้วย จากเรื่องนี้มันส่งให้เขาได้เข้าชิงรางวัลลูกโลกทองคำสาขาผู้กำกับยอดเยี่ยมอีกด้วย (Best Director - Motion Picture)
เราได้เห็นผลงานของเขามาอย่างต่อเนื่อง และนับว่ามีแต่ผลงานอันยอดเยี่ยมทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็น Wo hu cang long ค.ศ. 2000 (พ.ศ. 2543) ที่ส่งให้เขาคว้ารางวัลลูกโลกทองคำสาขาผู้กำกับยอดเยี่ยม (Best Director - Motion Picture) และเข้าชิง 2 รางวัลออสการ์ (Best Picture และ Best Director), ตามมาด้วย Hulk ค.ศ. 2003 (พ.ศ. 2546) และผลงานที่หลายต่อหลายคนน่าจะได้รู้จักเขาเป็นอย่างดี กับหนังรักโรแมนติก Brokeback Mountain ค.ศ. 2005 (พ.ศ. 2548) ที่คว้ารางวัลออสการ์ควบลูกโลกทองคำเลยทีเดียว ตัวหนังเข้าชิงออสการ์รวมทั้งหมด 8 สาขา และสามารถคว้าไปได้ 3 สาขา
[WINNER]
[NOMINEE]
และเข้าชิงลูกโลกทองคำอีก 7 สาขา สามารถคว้าไปได้ 4 สาขา
[WINNER]
[NOMINEE]
แต่ผลงานที่ยอดเยี่ยมที่สุดในชีวิตของเขา คือผลงานเรื่อง Life of Pi ค.ศ. 2012 (พ.ศ. 2555) ที่ตัวหนังเข้าชิงรางวัลออสการ์มากถึง 11 สาขา และคว้าไปได้ 4 สาขา
[WINNER]
[NOMINEE]
รวมถึงเข้าชิงลูกโลกทองคำ 3 สาขา และคว้ามาได้ 1 สาขา
[WINNER]
[NOMINEE]
ในปี ค.ศ. 2013 (พ.ศ. 2556) Ang Lee ได้ถูกเลือกให้เป็นกรรมการหลักในการตัดสินในงานเทศกาลหนังเมืองคานส์
ผลงานล่าสุดที่เพิ่งผ่านพ้นไปของเจ้าตัวคือ Gemini Man ค.ศ. 2019 (พ.ศ. 2562) กับการทำหนังแอ็คชันแบบ High Frame Rate แต่น่าเสียดายที่กระแสตอบรับออกมาไม่ดีเท่าที่ควร ไม่ว่าจะด้านแอ็คชันหรือเนื้อหาหนังก็ตาม
ในอนาคตยังคงมีผลงานของเขาให้เราได้ชมกันอยู่ ได้มีการประกาศแล้ว กับเรื่อง Thrilla in Manila ที่หลายคนหวังว่าจะได้เห็นผู้กำกับยอดฝีมือคนนี้คืนฟอร์มเสียที
หนึ่งในยอดผู้กำกับชาวไต้หวันที่เคยสะเทือนวงการ Hollywood
- ANG LEE
Samuel Marshall Raimi เกิดวันที่ 23 ตุลาคม ค.ศ. 1959 (พ.ศ. 2502) ที่ Royal Oak, Michigan ประเทศอเมริกา
Raimi คือผู้กำกับ/ผู้อำนวยการสร้าง/นักเขียนบท/นักแสดง ชาวอเมริกันที่มีความคิดสร้างสรรค์เป็นเลิศ เขาได้สร้างชื่อให้กับตัวเองและได้ใจแฟนๆ ไปเต็มๆ กับหนังทุนต่ำสยองขวัญโหดร้าย แต่ก็แฝงไปด้วยความตลกขบขัน เรื่อง The Evil Dead ค.ศ. 1981 (พ.ศ. 2524)
ตั้งแต่เด็ก Raimi มีความสนใจในการทำหนังอย่างมาก และก่อนที่เขาจะอายุครบ 10 ปี เขาได้ทำหนังเป็นของตัวเองด้วย ด้วยกล้อง 8mm camera ส่วนมากในวัยเด็ก เขาได้ทำหนังร่วมกับเพื่อนของเขา Bruce Campbell และ Rob Tapert
พวกเขาทั้ง 3 ได้เริ่มเขียนบท, กำกับ, อำนวยการสร้างและตัดต่อหนังสั้นสยองขวัญเรื่อง Within the Woods ค.ศ. 1978 (พ.ศ. 2521) ซึ่งเป็นหนังที่เรี่ยไรเงินระดมทุนมาทำหนังเรื่อง The Evil Dead ค.ศ. 1981 (พ.ศ. 2524) ที่ทางอเมริกาให้ความสนใจในระดับหนึ่ง แต่พอนำหนังเรื่องนี้ไปฉายที่ยุโรปกลับได้รับเสียงตอบรับที่ดีมากๆ กระแสวิจารณ์ถล่มทลาย, ยอดจองตั๋วเพียบ ทำให้ทางอเมริกาสนใจอีกครั้งและนำมันมาฉายใหม่ คราวนี้ทำรายได้บน Box-office ไปมากมาย
ผลงานการกำกับเรื่องต่อมาคือ Crimewave ค.ศ. 1985 (พ.ศ. 2528) แต่เหมือนจะหลุดแนวไป และไม่ถูกใจผู้ชมสักเท่าไหร่ ทำให้เขากลับมาทำ Evil Dead II ค.ศ. 1987 (พ.ศ. 2530) และยังคงได้รับความสนใจอย่างมากเช่นกัน และตามมาด้วย Darkman ค.ศ. 1990 (พ.ศ. 2533)
สานต่อความสำเร็จด้วย Army of Darkness ค.ศ. 1992 (พ.ศ. 2535) และก็ยังคงได้รับความสนใจตามมาเช่นเดิม แต่หลังจากนั้นเขาก็มีผลงานหลากหลายแนวออกมามากเช่นกัน
Raimi ได้เซอร์ไพรส์แฟน ๆ เมื่อเขาเปลี่ยนแนวมากำกับหนังคาวบอยเรื่อง The Quick and the Dead ค.ศ. 1995 (พ.ศ. 2538)
4 ปีต่อมา เขาก็มากำกับหนังเรื่อง A Simple Plan ค.ศ. 1998 (พ.ศ. 2541) หนังอาชญากรรมเกี่ยวกับการขโมยเงิน แสดงนำโดย Bill Paxton และ Bridget Fonda, ตามมาด้วยหนังเบสบอล For Love of the Game ค.ศ. 1999 (พ.ศ. 2542) จนกระทั่งกลับมากำกับหนังแนวแฟนตาซีสยองขวัญอีกครั้งใน The Gift ค.ศ. 2000 (พ.ศ. 2543)
จุดเปลี่ยนอีกครั้งยิ่งใหญ่ในชีวิตของเขาคือเขาได้มีโอกาสมากำกับหนังที่สร้างมาจากคอมิกส์ชื่อดังของ Stan Lee ในเรื่อง Spider-Man ค.ศ. 2002 (พ.ศ. 2545) และเขาไม่ทำให้ผิดหวังแต่อย่างใด เพราะมันดังถล่มทลาย ประสบความสำเร็จทั้งเสียงวิจารณ์และรายได้ ส่งให้ Tobey Maguire ผู้รับบท Spider-Man/Peter Parker โด่งดังเป็นพลุแตก แถมยังได้ทำจนจบไตรภาคใน Spider-Man 2 ค.ศ. 2004 (พ.ศ. 2547) และ Spider-Man 3 ค.ศ. 2007 (พ.ศ. 2550)
หลังจากนั้นเขาก็กำกับหนังมาอีกไม่น้อยทั้งแนวสยองขวัญและแฟนตาซี ไม่ว่าจะเป็น Drag Me to Hell ค.ศ. 2009 (พ.ศ. 2552), Oz the Great and Powerful ค.ศ. 2013 (พ.ศ. 2556), ซีรีส์ตอนแรกของ Ash vs Evil Dead ค.ศ. 2015 (พ.ศ. 2558), ซีรีส์ 50 States of Fright ค.ศ. 2020 (พ.ศ. 2563)
ซึ่งในอนาคตยังมีผลงานที่โคตรน่าสนใจกับการกลับมาทำหนังฮีโร่อีกครั้ง และจะผสมผสานความสยองขวัญเอาไว้ด้วย กับ Doctor Strange in the Multiverse of Madness ค.ศ. 2022 (พ.ศ. 2565) รวมถึง The Kingkiller Chronicle และ World War 3 นับว่าน่าจับตามองจริง ๆ
Ryan Rodney Reynolds เกิดวันที่ 23 ตุลาคม ค.ศ. 1976 (พ.ศ. 2519) ที่ Vancouver, British Columbia ประเทศแคนาดา
ผลงานการแสดงครั้งแรกของ Reynolds เกิดขึ้นในช่วงปี ค.ศ. 1991-1993 (พ.ศ. 2534-2536) Ryan ได้ปรากฏตัวในซีรีส์ Fifteen ถ่ายทำที่ Florida และหลังจากซีรีส์จบลง เขาก็ได้เดินทางกลับบ้านเกิด และทำให้เขาได้แสดงในหนังและซีรีส์อีกหลายเรื่อง เช่น Serving in Silence: the Margarethe Cammermeyer Story ค.ศ. 1995 (พ.ศ. 2538), In Cold Blood ค.ศ. 1996 (พ.ศ. 2539)
คืนหนึ่ง เขาได้พบกับเพื่อนนักแสดงชาว Vancouver เหมือนกัน Chris William Martin โดยเขาได้ชวน Ryan ให้ไปเก็บข้าวของและมุ่งหน้าไปแสวงหาโอกาสที่ Los Angeles, California ทั้งคู่ได้พักอาศัยอยู่ที่โรงแรมเล็กๆ ใน LA ซึ่งในคืนแรกที่เขาเข้าพัก รถจี๊บของ Reynolds ก็ได้กลิ้งตกเขาไปซะอย่างนั้นและก็โดนปล้นชิ้นส่วนรถไปด้วย ซึ่งทำให้ใน 4 เดือนต่อมาเขาต้องขับรถทั้ง ๆ ที่ไม่มีประตูนั่นแหละ
ในปี ค.ศ. 1997 (พ.ศ. 2540) เขาได้รับบทในเรื่อง Two Guys, a Girl and a Pizza Place ซึ่งก็ได้ทำให้ Reynolds เป็นที่รู้จักมากขึ้น
หลังจากนั้น Reynolds เริ่มมีผลงานออกสู่สายตาชาวโลกมากขึ้น ที่ทั้งดีบ้าง แย่บ้าง ปะปนกันบ้าง (บางเรื่องถูกล้อมาจนถึงทุกวันนี้) ไม่ว่าจะเป็น Blade: Trinity ค.ศ. 2004 (พ.ศ. 2547), The Amityville Horror ค.ศ. 2005 (พ.ศ. 2548), X-Men Origins: Wolverine ค.ศ. 2009 (พ.ศ. 2552), The Proposal ค.ศ. 2009 (พ.ศ. 2552), Paper Man ค.ศ. 2009 (พ.ศ. 2552), Buried ค.ศ. 2010 (พ.ศ. 2553), Green Lantern ค.ศ. 2011 (พ.ศ. 2554), The Croods ค.ศ. 2013 (พ.ศ. 2556), R.I.P.D. ค.ศ. 2013 (พ.ศ. 2556)
จนกระทั่งกลับมาสร้างชื่อและเปรี้ยงปร้างสุด ๆ จนหลายต่อหลายคนบอกว่าเขาไม่ได้เล่นเป็น Deadpool แต่ Deadpool นั่นแหละเล่นเป็นเขา กับบทบาท Wade Wilson/Deadpool ในเรื่อง Deadpool ค.ศ. 2016 (พ.ศ. 2559) หนังฮีโร่เรท R ที่เต็มไปด้วยความฮา และความบันเทิง ด้วยทุนสร้างเพียง 58 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 1,815 ล้านบาท) กลับทำรายได้ทั่วโลกไปมากถึง 782 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 24,484 ล้านบาท) เท่านั้นยังไม่พอ เพราะเจ้าตัวยังได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลลูกโลกทองคำจากบทบาทนี้ด้วย และจากความสำเร็จของ Deadpool ก็ส่งให้มันมีภาค 2 ออกมากับ Deadpool 2 ค.ศ. 2018 (พ.ศ. 2561) แถมล่าสุดก็ได้ไฟเขียวจาก Disney ให้สร้าง Deadpool 3 เรียบร้อยแล้ว
ผลงานอื่น ๆ ของเขาก็ยังคงมีมาอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็น Life ค.ศ. 2017 (พ.ศ. 2560), The Hitman's Bodyguard ค.ศ. 2017 (พ.ศ. 2560), Pokémon Detective Pikachu ค.ศ. 2019 (พ.ศ. 2562), Hobbs & Shaw ค.ศ. 2019 (พ.ศ. 2562), 6 Underground ค.ศ. 2019 (พ.ศ. 2562), ให้เสียงพากย์ The Crodds: A New Age ค.ศ. 2020 (พ.ศ. 2563), Hitman's Wife's Bodyguard ค.ศ. 2021 (พ.ศ. 2564) และล่าสุดใน Free Guy ค.ศ. 2021 (พ.ศ. 2564) ตามมาด้วยผลงานอย่าง Red Notice ค.ศ. 2021 (พ.ศ. 2564) ที่ได้แสดงร่วมกับ Dwayne Johnson และ Gal Gadot
รวมถึงในอนาคตก็ยังคงมีผลงานเขาอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น The Adam Project ค.ศ. 2022 (พ.ศ. 2565), Spirited, ซีรีส์ Futha Mucka, Everyday Parenting Tips และ Clue
หนึ่งในนักแสดงสุดกวนแห่งวงการ Hollywood
- Ryan Reynolds
Emilia Clarke มีชื่อจริงว่า Emilia Isobel Euphemia Rose Clarke เธอเกิดวันที่ 23 ตุลาคม ค.ศ. 1986 (พ.ศ. 2529) ที่ London ประเทศอังกฤษ
พ่อของเธอมีอาชีพเป็น sound engineer และแม่ของเธอเป็นนักธุรกิจ ซึ่งตอนเด็ก ๆ เมื่อพ่อไปทำละคร แม่ของเธอก็จะพาเธอไปนั่งดูด้วย และเมื่อตอนอายุ 3 ปี เธอก็เริ่มมีความหลงไหลในการแสดง
ในปี ค.ศ. 2000-2005 (พ.ศ. 2543-2548) เธอได้เข้าเรียนที่ St. Edward's School of Oxford ซึ่งที่นั่นเธอได้เล่นละครเวทีถึง 2 เรื่อง หลังจากนั้นเธอก็ได้เข้าเรียนการแสดงที่โรงเรียนสอนการแสดง Drama Centre London และที่นั่นเธอก็มีโอกาสได้แสดงละครเวทีถึง 10 เรื่องเลยทีเดียว ซึ่งในช่วงเวลาเดียวกันนั้นเธอก็ได้ไปปรากฏตัวทางทีวีเป็นแขกรับเชิญในละครเรื่อง Doctors ค.ศ. 2000 (พ.ศ. 2543)
เธอเรียนจบในปี ค.ศ. 2010 (พ.ศ. 2553) และนั่นคือจุดเริ่มต้นแรกที่เธอได้แสดงหนังทางทีวีครั้งแรกในเรื่อง Triassic Attack
ต่อมาในปี ค.ศ. 2011 (พ.ศ. 2554) เธอได้รับโอกาสในการแสดง ที่มันได้เปลี่ยนชีวิตเธอไปตลอดกาล กับบทบาท Daenerys Targaryen ในซีรีส์มหาศึกชิงบัลลังก์ หรือ Game of Thrones ค.ศ. 2011-2019 (พ.ศ. 2554-2562) ซึ่งมันได้สร้างชื่อเสียงให้กับเธอแบบสุด ๆ ส่งให้เธอได้เข้าชิงรางวัล Primetime Emmy Awards ถึง 4 ครั้งจากบทบาทนี้
นาทีนี้ไม่มีใครไม่รู้จักเธอแล้ว เธอได้รับโอกาสทางการแสดงอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น Terminator Genisys ค.ศ. 2015 (พ.ศ. 2558), Me Before You ค.ศ. 2016 (พ.ศ. 2559), Solo: A Star Wars Story ค.ศ. 2018 (พ.ศ. 2561), Last Christmas ค.ศ. 2019 (พ.ศ. 2562), Murder Manual ค.ศ. 2020 (พ.ศ. 2563)
ในอนาคตยังมีผลงานของเธอให้เราได้ติดตามกับ The Amazing Maurice ค.ศ. 2022 (พ.ศ. 2565) และในซีรีส์จาก Marvel เรื่อง Secret Invasion ค.ศ. 2022 (พ.ศ. 2565)
นอกเหนือจากบทบาทในการแสดงแล้ว เธอยังได้มีส่วนช่วยเหลือองค์กรการกุศลต่าง ๆ
สวย ใจกุศล มีความสามารถ นักแสดงหญิงที่เพียบพร้อมในหลากหลายด้าน
- Emilia Clarke
Julia Fiona Roberts เกิดวันที่ 28 ตุลาคม ค.ศ. 1967 (พ.ศ. 2510) ที่ Smyrna, Georgia ประเทศอเมริกา
Julia ไม่เคยคิดเคยฝันเลยว่าวันนึงเธอจะได้กลายมาเป็นดาราชื่อดังขนาดนี้อย่างทุกวันนี้ เพราะในตอนเด็กเธอเป็นคนรักสัตว์มาก จนโตขึ้นเธอมีความฝันอยากเป็นสัตวแพทย์ แต่เธอก็ไม่มีโอกาสได้เรียนด้านนั้น เพราะเธอเรียนวรสารศาสตร์
และความคิดความชอบของเธอก็เริ่มเปลี่ยนไป เมื่อ Eric Roberts พี่ชายของเธอได้ประสบความสำเร็จในวงการ Hollywood ทำให้เธอตัดสินใจที่จะลองเบี่ยงมาทางด้านนี้ดูบ้าง
และมันก็เหมือนจะเหมาะกับเธอ เพราะเธอได้รับโอกาสในงานแสดงหนังครั้งแรกช่วงปี ค.ศ. 1988 (พ.ศ. 2531) ในหนังเรื่อง Mystic Pizza และ Satisfaction แต่จุดเริ่มต้นการแสดงจริง ๆ ของเธอคือบทบาทเล็ก ๆ ในซีรีส์ Crime Story ค.ศ. 1987 (พ.ศ. 2530)
การแสดงของเธอพัฒนาอย่างรวดเร็ว ที่เห็นได้ชัดคือบทบาทสมทบในเรื่อง Steel Magnolias ค.ศ. 1989 (พ.ศ. 2532) ที่ส่งให้เธอคว้ารางวัลลูกโลกทองคำ และเข้าชิงรางวัลออสการ์
ด้วยใบหน้าอันงดงามและบทบาทที่ไม่ธรรมดา ทำให้ผู้ชม หลงรักเธอเข้าเต็มเปา โดยเฉพาะความสำเร็จอย่างมากในหนังเรื่อง Pretty Woman ค.ศ. 1990 (พ.ศ. 2533) ที่ยังคงความยอดเยี่ยมส่งให้เธอคว้ารางวัลลูกโลกทองคำ และเข้าชิงรางวัลออสการ์ แถมยังชนะรางวัล People's Choice award สำหรับนักแสดงหญิงที่ผู้คนชื่นชอบ
Julia ก็ยังคงฝากผลงานเอาไว้มากมายหลายเรื่อง ที่ทั้งสวยมีเสน่ห์และน่าจดจำไม่แพ้กัน ทั้ง My Best Friend's Wedding ค.ศ. 1997 (พ.ศ. 2540) ส่งให้เธอเข้าชิงรางวัลลูกโลกทองคำ, หนังรักอมตะ Notting Hill ค.ศ. 1999 (พ.ศ. 2542) ส่งให้เธอเข้าชิงรางวัลลูกโลกทองคำ, Erin Brockovich ค.ศ. 2000 (พ.ศ. 2543) สุดยอดการแสดงของ Julia ที่คว้ารางวัลทั้งออสการ์และลูกโลกทองคำ, Charlie Wilson's War ค.ศ. 2007 (พ.ศ. 2550) เข้าชิงรางวัลลูกโลกทองคำ, Duplicity ค.ศ. 2009 (พ.ศ. 2552) เข้าชิงรางวัลลูกโลกทองคำ, August: Osage County ค.ศ. 2013 (พ.ศ. 2556) เข้าชิงรางวัลลูกโลกทองคำและเข้าชิงรางวัลออสการ์ และ Homecoming ค.ศ. 2018 (พ.ศ. 2561) เข้าชิงรางวัลลูกโลกทองคำ
ล่าสุดก็มีผลงานซีรีส์ของเธอ Gaslit ค.ศ. 2021 (พ.ศ. 2564) และในอนาคตก็ยังมีให้เราได้ติดตามกัน ทั้ง Ticket to Paradise ค.ศ. 2022 (พ.ศ. 2565), Little Bee และ Leave the World Behind
นอกเหนือจากผลงานในการแสดงแล้ว เธอยังมีส่วนร่วมกับองค์กรการกุศล UNICEF ซึ่งเธอได้เดินทางไปเยือนประเทศต่าง ๆ มากมายทั้งเฮติและอินเดีย เพื่อส่งเสริมความปรารถนาดีที่เธอมีต่อเด็กทั่วโลกอีกด้วย
สวยทั้งใจและใบหน้า เจ้าของฉายาผู้หญิงบานฉ่ำ...Julia Roberts
Joaquin Phoenix มีชื่อจริงว่า Joaquin Rafael Bottom เขาเกิดวันที่ 28 ตุลาคม ค.ศ. 1974 (พ.ศ. 2517) ที่ San Juan ประเทศเปอร์โตริโก
Joaquin เป็นลูกคนกลางของพี่น้อง 5 คน River Phoenix, Rain Phoenix, Liberty Phoenix และ Summer Phoenix
ครอบครัวของ Joaquin ย้ายถิ่นฐานบ่อยมาก จนกระทั่งพวกเขาได้ย้ายมายัง South America ที่นั่นเขาจึงเปลี่ยนนามสกุลใหม่เป็น Phoenix เพื่อเฉลิมฉลองในการเริ่มต้นใหม่
จนกระทั่งพ่อแม่ของเขาได้เจอตัวแทนที่จะสามารถพาให้ลูกๆ ทั้ง 5 ของเขาเข้าสู่วงการได้ และไม่นานทั้ง 5 คนก็ได้ไปปรากฏตัวในโฆษณาต่าง ๆ จนทำให้ Joaquin ได้แสดงจริงๆ จังๆ ในซีรีส์ Seven Brides for Seven Brothers ค.ศ. 1982 (พ.ศ. 2525) ที่พี่ของเขา River ได้แสดงอยู่ก่อนแล้ว
Joaquin ได้กลับมาร่วมงานกับพี่อีกครั้งใน ABC Afterschool Specials: Backwards: The Riddle of Dyslexia ค.ศ. 1984 (พ.ศ. 2527)
Joaquin ได้เดบิวต์หนังใหญ่เรื่องแรกกับบทบาทในเรื่อง SpaceCamp ค.ศ. 1986 (พ.ศ. 2529) และได้รับบทนำครั้งแรกในเรื่อง Russkies ค.ศ. 1987 (พ.ศ. 2530)
ในช่วงปลายปี ค.ศ. 80s (พ.ศ. 2523-2532) ครอบครัว Phoenix ก็ได้ย้ายถิ่นที่อยู่อีกครั้ง และครั้งนี้พวกเขาย้ายมายัง Florida ผลงานการแสดงของ Joaquin ก็ยังคงต่อเนื่องมากับในเรื่อง Parenthood ค.ศ. 1989 (พ.ศ. 2532) ซึ่งการแสดงของเขาในเรื่องนี้ทำได้ดีเลยทีเดียว แต่เจ้าตัวตัดสินใจที่จะพักจากการแสดงไปสักพักก่อน เพราะเขารู้สึกผิดหวังกับบทบาทต่างๆ ที่เขาได้รับสำหรับนักแสดงที่อายุเท่าเขา และเขาต้องการออกไปเห็นโลกมากกว่านี้
ในช่วงนั้นพ่อแม่ของเขาก็แยกกันอยู่พอดี ทำให้ทาง Joaquin ตัดสินใจไปอยู่กับพ่อที่ Mexico จนกระทั่ง 3 ปีให้หลังเขากลับมาสู่สายตาสารธารณะชนอีกครั้ง เนื่องจากการเสียชีวิตของ River Phoenix พี่ชายที่แสนดี
ไม่กี่เดือนต่อมาเขาก็เริ่มกลับมาแสดงอีกครั้ง แต่เขาก็ไม่ได้เต็มใจนัก และมักจะเลือกบทที่เหมาะสมกับเขาเท่านั้น ผลคือเขาได้แสดงในเรื่อง To Die For ค.ศ. 1995 (พ.ศ. 2538) ตามมาด้วย Inventing the Abbotts ค.ศ. 1997 (พ.ศ. 2540), U Turn ค.ศ. 1997 (พ.ศ. 2540), Return to Paradise ค.ศ. 1998 (พ.ศ. 2541), Clay Pigeons ค.ศ. 1995 (พ.ศ. 2538), 8mm ค.ศ. 1999 (พ.ศ. 2542)
และฝากผลงานอันยอดเยี่ยมน่าจดจำ กับการแสดงที่เหนือชั้น เอาไว้ในเรื่อง Gladiator ค.ศ. 2000 (พ.ศ. 2543) รับบทเป็น Commodus ประชันบทบาทกับตัวท็อป Russell Crowe ในบท Maximus ซึ่งการแสดงอันยอดเยี่ยมของเขาในครั้งนี้ ส่งให้เขาได้เข้าชิงรางวัลลูกโลกทองคำและออสการ์เลยทีเดียว
หลังจากนั้นก็ได้เห็นผลงานของเขามาอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็น Buffalo Soldiers ค.ศ. 2001 (พ.ศ. 2544), Signs ค.ศ. 2002 (พ.ศ. 2545), It's All About Love ค.ศ. 2003 (พ.ศ. 2546), The Village ค.ศ. 2004 (พ.ศ. 2547), Ladder 49 ค.ศ. 2004 (พ.ศ. 2547) และฝากผลงานอันยอดเยี่ยมเอาไว้ใน Walk the Line ค.ศ. 2005 (พ.ศ. 2548) ที่ในครั้งนี้ก็ได้เข้าชิงออสการ์ แต่สามารถคว้ารางวัลลูกโลกทองคำไปครอบครองได้
ตามมาด้วยผลงานอันน่าจดจำอีกมากมาย เช่น The Master ค.ศ. 2012 (พ.ศ. 2555) ที่ได้เข้าชิงออสการ์และลูกโลกทองคำ, Her ค.ศ. 2013 (พ.ศ. 2556) ได้เข้าชิงลูกโลกทองคำ, Inherent Vice ค.ศ. 2014 (พ.ศ. 2557) และผลงานอันไร้ที่ติกับการแสดงในบทบาท Arthur Fleck จากเรื่อง Joker ค.ศ. 2019 (พ.ศ. 2562) ที่เรียกได้ว่าเป็นการแสดงที่ดีที่สุดในชีวิตเขาเลยก็ว่าได้ เพราะมันส่งให้เขาคว้ารางวัลออสการ์ควบลูกโลกทองคำสาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยมเลยทีเดียว
ล่าสุดเขาก็ได้ฝากผลงานเอาไว้ใน C'mon C'mon ค.ศ. 2021 (พ.ศ. 2564) และยังมีผลงานในอนาคตให้ติดตามกันอีก ทั้ง Disappointment Blvd., Kitbag และข่าวลือ Joker 2
นักแสดงผู้สวมใส่จิตวิญญาณ ทุ่มสุดตัวในทุกบทบาทและแสดงมันออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม - Joaquin Phoenix
Sir Peter Robert Jackson เกิดวันที่ 31 ตุลาคม ค.ศ. 1961 (พ.ศ. 2504) ที่หมู่บ้านเล็ก ๆ ใกล้ชายฝั่ง ณ ประเทศ New Zealand
ตอนเด็กๆ เพื่อนของพ่อแม่เขาเคยซื้อกล้อง super 8 movie ให้ เพราะเห็นเขาชื่นชอบในการถ่ายรูปมาก ๆ
เมื่อเจ้าตัวอายุได้ 8 ขวบ ก็เริ่มถ่ายหนังด้วยตัวเอง ซึ่งเขาได้ร่วมทำมันกับเพื่อน ๆ แต่มันไม่ใช่ถ่ายเล่น ๆ เพราะเขาได้สร้างลายน้ำของตัวเองขึ้นมาอย่างจริงจังด้วย
เมื่อก้าวเข้าสู่วัยรุ่น เจ้าตัวก็ทำหนังที่อยู่ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยการทำ special effect แบบบ้าน ๆ แต่ก็ออกมาได้ไม่เลว
เมื่อเขาโตขึ้น เขาเริ่มจริงจังกับการทำหนังมากขึ้น เขาได้ไปประกวดทำหนังด้วย เขาได้ทำหนังอนิเมชั่น stop-motion เป็นสัตว์ประหลาดถล่มเมือง แต่โชคร้ายที่เขาไม่ชนะ
แต่ชีวิตเขาก็เปลี่ยนไปตลอดกาลเมื่ออายุ 22 ปี เขาได้ทำหนังเรื่อง Bad Taste ค.ศ. 1987 (พ.ศ. 2530) ซึ่งทำเหมือนหนังเรื่องก่อน ๆ ที่เขาทำมา ถ่ายง่าย ๆ ทุนต่ำ และใช้เพื่อน ๆ กับคนในระแวกบ้านมาแสดงในหนังเรื่องนี้นี่แหละ ตัวของ Jackson ทำแทบจะทุกอย่างในเรื่องนี้เลย ทั้งกำกับ, อำนวยการสร้าง, ถ่ายทำ และแสดงด้วยตัวเองอีก เท่านั้นยังไม่พอ เกือบทุกอย่างในหนังเป็นของมือสองหมดยันกล้องที่ใช้ถ่ายทำ และกว่าจะถ่ายทำเสร็จใช้เวลาไปถึง 4 ปีเลยทีเดียว จนตอนนี้กลายมาเป็นหนัง Cult Classic ของเจ้าตัวไปแล้ว
เพื่อนของ Jackson ที่ทำงานในบริษัทหนังได้โน้มน้าวเขาบอกว่าหนังแบบนี้มันต้องได้รับการโฆษณาเว้ย และต้องไปแสดงในเทศกาลหนังเมืองคานส์ ซึ่งพอได้ไปแล้วก็ได้รับเสียงชื่นชมตามมามากมาย เหตุผลที่มันได้รับความนิยมก็เพราะว่ามันมีอารมณ์ขันแปลก ๆ แถมยังมีเทคนิคพิเศษที่ดูเกินจริงและสมจริงปะปนกันไป
หลังจากประสบความสำเร็จกับเรื่อง Bad Taste ทำให้ชื่อของ Peter Jackson ได้รับการจดจำในฐานะผู้กำกับ และเป็นประตูสู่ความมีชื่อเสียง ทำให้เขาได้ทำหนังมาอีกหลายเรื่อง
แต่หนังที่สร้างชื่อให้กับเขาที่สุดคือหนังไตรภาคที่ดัดแปลงมาจากนิยายของ J.R.R. Tolkien กับ Lord of the Rings ที่ตัวเขาทั้งกำกับ, เขียนบท และอำนวยการสร้างด้วยตัวเองอีกด้วย
ซึ่งใน The Lord of the Rings: The Return of the King ค.ศ. 2003 (พ.ศ. 2546) เขาคว้ารางวัลออสการ์ไปถึง 3 สาขา
และคว้ารางวัลลูกโลกทองคำอีก 1 สาขา
และอีกหลายปีต่อมาเขาก็ได้ทำผลงานจากนิยายของ Tolkien อีกกับไตรภาค The Hobbit และก็ประสบความสำเร็จอีกเช่นเคย
อีกเรื่องที่ถือว่าเป็นยอดผลงานของเขาก็คือ King Kong ค.ศ. 2005 (พ.ศ. 2548) ที่สามารถเข้าชิงรางวัลออสการ์ไปถึง 4 สาขา และคว้าไปถึง 3 สาขาเลยทีเดียว
[WINNER]
[NOMINEE]
รวมถึงเข้าชิงรางวัลลูกโลกทองคำอีก 2 สาขา
และ King Kong ค.ศ. 1933 (พ.ศ. 2476) คือหนังเรื่องโปรดของเขา เขาจึงได้แรงบันดาลใจในการสร้างใหม่ในปี ค.ศ. 2005 (พ.ศ. 2548) ฉากที่ตัว King Kong ร่วงลงจากตึก Empire State เขาถึงกับร้องไห้เลยทีเดียว รวมถึง The General ค.ศ. 1926 (พ.ศ. 2469), Jaws ค.ศ. 1975 (พ.ศ. 2518), Goodfellas ค.ศ. 1990 (พ.ศ. 2533) และ Dawn of the Dead ค.ศ. 1978 (พ.ศ. 2521) ก็เป็นหนังที่เขาโปรดปรานเช่นกัน
นอกเหนือจากการทำหนังแล้ว รู้หรือไม่ว่า Jackson ชอบสะสมเครื่องบินสงครามโลกครั้งที่ 1 ด้วย
แถมยังชอบเพลงยุค ค.ศ. 1960s (พ.ศ. 2503-2512) วงโปรดของเขาคือ The Beatles
ตัวเขาและ Fran Walsh ภรรยาของเขา ได้รับเครื่องราชฯ ของ New Zealand ในช่วงเวลาเดียวกัน ณ วันที่ 5 มีนาคม ค.ศ. 2002 (พ.ศ. 2545) สำหรับการมีส่วนร่วมกับวงการหนัง
นอกเหนือจากอภินิหารแหวนครองพิภพแล้ว เขายังเคยถูกเสนอชื่อให้มากำกับแฟรนไชส์หนังสยองขวัญหลายเรื่องเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็น Leatherface: Texas Chainsaw Massacre III ค.ศ. 1990 (พ.ศ. 2533), Freddy's Dead: The Final Nightmare ค.ศ. 1991 (พ.ศ. 2534), Freddy vs. Jason ค.ศ. 2003 (พ.ศ. 2546), I Still Know What You Did Last Summer ค.ศ. 1998 (พ.ศ. 2541), Exorcist: The Beginning ค.ศ. 2004 (พ.ศ. 2547), Halloween: The Curse of Michael Myers ค.ศ. 1995 (พ.ศ. 2538), Hellraiser III: Hell on Earth ค.ศ. 1992 (พ.ศ. 2535) และ Child's Play 3 ค.ศ. 1991 (พ.ศ. 2534)
เคยถูกพิจารณาให้กำกับ Star Wars: Episode VII - The Force Awakens ค.ศ. 2015 (พ.ศ. 2558)
เคยถูกพิจารณาให้กำกับ Planet of the Apes ค.ศ. 2001 (พ.ศ. 2544)
เคยถูกพิจารณาให้กำกับ Alien Resurrection ค.ศ. 1997 (พ.ศ. 2540)
ซึ่งในอนาคตยังมีผลงานการกำกับของเขาอีก ทั้งซีรีส์สารคดี The Beatles: Get Back ค.ศ. 2021 (พ.ศ. 2564) และภาคต่อ Adventures of Tintin
Peter Jackson คือผู้กำกับ, คนเขียนบท, ผู้อำนวยการสร้าง ชาว New Zealand ที่ถึงแม้ไม่ได้มีผลงานมากมายอย่างคนอื่นๆ ในวงการ Hollywood แต่ว่าแต่ละเรื่องของเขาเนี่ย นับว่าสร้างการจดจำ และเป็นอภิมหากาพย์สุด ๆ
|
สบายสบายให้มันสมายเวลาสบายแล้วจะได้สบายสมาย... :) |