เลเซอร์ทีวี (Laser TV) เป็นคำที่หลายคนน่าจะเริ่มได้ยินกันมากขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ มันเป็นเทคโนโลยีทีวีรุ่นใหม่ที่รวมเอาการ ฉายภาพแบบ DLP (ที่ใช้ในโรงหนังดิจิทัล) เข้ากับแหล่งกำเนิดแสงเลเซอร์ ทำให้ได้ภาพที่คมชัด, สีสวย และดูสมจริงกว่า ทีวี LED หรือโปรเจกเตอร์แบบเดิม ๆ
ข้อดีของ Laser TV คือ ช่วยประหยัดพื้นที่ในบ้าน, ดูแล้วสบายตา, ประหยัดไฟ และให้ความรู้สึกเหมือนนั่งดูหนังในโรงภาพยนตร์ จึงไม่แปลกที่ในปัจจุบันนี้ เริ่มมีผู้คนหันมาให้ความสนใจเลือกใช้งานกันมากขึ้น
การมาของ Laser TV จึงถือได้ว่า เป็นก้าวกระโดดครั้งสำคัญ ด้วยการผสานเทคโนโลยีการฉายภาพระดับสูง เข้ากับความสะดวกของทีวีแบบดั้งเดิม
บทความนี้เราจะพาคุณผู้อ่านไปรู้จัก Laser TV แบบเจาะลึก ตั้งแต่หลักการทำงาน ข้อดีเมื่อเทียบกับทีวี OLED และ LED ไปจนถึงเหตุผลว่าทำไม Laser TV ถึงเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ ?
ภาพจาก : https://www.alibaba.com/product-detail/2024-New-120-Smart-Laser-TV_1601018448120.html
อันที่จริงแล้ว นี่ก็ไม่ใช่เทคโนโลยีใหม่อะไร แต่เป็นความฉลาดของนักการตลาด ที่สรรหาวิธีใหม่ ๆ ในการทำให้เทคโนโลยีเดิมดูน่าสนใจขึ้น นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมช่วงนี้ เราถึงได้เห็นโฆษณาเกี่ยวกับ "Laser TV" ซึ่งฟังดูมันเหมือนเป็นเทคโนโลยีที่หลุดมาจากโลกไซไฟเลยทีเดียว
แต่ในความเป็นจริง เลเซอร์ทีวี (Laser TV) ก็คือ โปรเจกเตอร์แบบฉายระยะสั้น Ultra-Short Throw (UST) นั่นเอง โดยมันเป็นโปรเจกเตอร์ที่ออกแบบมาให้สามารถฉายภาพขนาดใหญ่ได้ โดยที่สามารถวางชิดผนัง หรือพื้นผิวที่ใช้รับภาพได้ แตกต่างจากโปรเจกเตอร์ทั่วไปที่ต้องมีระยะในการวางห่างออกไปจากจอรับพอสมควร
คำว่า เลเซอร์ (Laser) ในชื่อ ก็มาจากเทคโนโลยีแสงเลเซอร์ที่ถูกนำมาใช้แทนหลอดไฟ หรือ LED ที่อยู่ในโปรเจคเตอร์แบบดั้งเดิม ซึ่งช่วยให้ภาพที่ถูกฉายออกมามีความสว่างกว่ามาก, เพิ่มช่วงสี และความคมชัดของภาพ ทำให้ภาพที่ฉายออกมาดูสดใส และคมชัดกว่าที่โปรเจกเตอร์ทั่วไปสามารถทำได้ จนใกล้เคียงกับความสว่างของทีวี LCD เลยทีเดียว
ภาพจาก : https://ca.xgimi.com/pages/aura-2?srsltid=AfmBOopfWWEKBUYU0Y1cY7n3dD3p69lbG2-EuOSWOpMBWVcCTDh9U82K
เหตุผลที่นักการตลาดตัดสินใจเรียกเจ้าเครื่องนี้ว่า "ทีวี" ทั้งที่จริง ๆ แล้วมันคือ โปรเจกเตอร์ ก็เพราะว่า Laser TV มีการใช้งานที่คล้ายกับทีวีทั่วไปนั่นเอง พูดง่าย ๆ คือมันวางอยู่ด้านหน้าติดผนัง, เปิดใช้งานได้ตลอดเวลาเหมือนทีวี และตอบโจทย์การใช้งานในชีวิตประจำวันได้ไม่ต่างกัน
อายุการใช้งานของโปรเจกเตอร์เลเซอร์ก็ใกล้เคียงกับทีวีจอแบนทั่วไปด้วย ทำให้ในทางปฏิบัติแล้ว ผู้บริโภคสามารถเปลี่ยนจากทีวีเดิม ๆ มาใช้ Laser TV ได้เลย แบบไม่ต้องเรียนรู้ หรือปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอะไรเพิ่มเติม สามารถใช้งานแทนกันได้ทันที
เลเซอร์ทีวี (หรือโปรเจกเตอร์เลเซอร์นั่นแหละ) จะฉายภาพลงบนฉากรับโดยใช้แสงที่สะท้อนจากชิป แล้วถูกขยาย และปรับโฟกัสด้วยชุดเลนส์จำนวนหลายชิ้น โดยใช้แสงเลเซอร์ในแม่สี (สีแดง, เขียว และน้ำเงิน) ซึ่งมีอัตราการสูญเสียแสงต่ำมาก เมื่อเทียบกับโปรเจกเตอร์ทั่วไปที่ใช้แสงสีขาวผ่านฟิลเตอร์สีเพื่อสร้างภาพ
ภาพจาก : https://spectrum.ieee.org/lasers-coming-to-a-theater-near-you
แต่บางรุ่นจะใช้เลเซอร์สีน้ำเงินร่วมกับ LED สีแดง และเปลี่ยนแสงเลเซอร์สีน้ำเงินให้เป็นสีเขียว ด้วยสารฟอสฟอร์ (Phosphor) ซึ่งช่วยลดการสูญเสียแสงได้เสมอ เพราะลำแสงเลเซอร์จะพุ่งตรงในทิศทางเดียว ทำให้ไม่มีแสงสูญหายระหว่างทาง และสร้างเฉพาะแสงที่จำเป็นเท่านั้น เทคนิคนี้ยังช่วยให้ใช้พลังงานในการสร้างภาพเดียวกันน้อยลง ส่งผลให้เกิดความร้อนน้อยลง และประหยัดไฟมากขึ้น นอกจากนี้ เลเซอร์ยังมีอายุการใช้งานยาวนานกว่าหลอดไฟทั่วไป และสามารถฉายแสงได้ทันทีหลังจากอุ่นเครื่องเสร็จ
ถ้ากำลังมองหาทีวีเครื่องใหม่ แล้วลังเลอยู่ว่าจะเอาของใหม่อย่าง เลเซอร์ทีวี หรือ โอเลตทีวี (หน้าจอ OLED TV) ทั้งคู่มีข้อดี-ข้อเสีย แตกต่างกัน มาดูเปรียบเทียบกันหน่อยดีกว่า จะได้ตัดสินใจเลือกง่ายขึ้น
ทีวี OLED ได้เปรียบในด้านนี้ เพราะสามารถแสดงคอนทราสต์ได้แบบไร้ขีดจำกัด (Infinite Contrast Ratio) ในขณะที่โปรเจกเตอร์เลเซอร์มีอัตราส่วนคอนทราสต์อยู่ที่ประมาณ 2200:1 เท่านั้น ความแตกต่างนี้เกิดจากพิกเซลของ OLED ที่สามารถเปล่งแสงได้เองโดยไม่ต้องใช้แสงพื้นหลัง พิกเซลที่ไม่ใช้จึงสามารถปิดแสงได้มืดสนิท ช่วยให้ได้ภาพที่มีความลึก และมิติโดดเด่น
Laser TV เหนือกว่านิดหน่อย เนื่องจากใช้แสงเลเซอร์ในการสร้างภาพ ทำให้สามารถแสดงขอบเขตสีได้กว้าง และแม่นยำกว่า สีที่ได้จึงสดใส และสมจริงอย่างมาก แต่ทีวี OLED ก็มีความแม่นยำของสีที่ดีไม่แพ้กัน ด้วยคุณสมบัติของพิกเซลที่เปล่งแสงเอง ทำให้ได้สีที่สว่างจัดและมีความอิ่มตัวสูง
ทีวีเลเซอร์มีความสว่างสูงกว่า จึงเหมาะกับการใช้งานในห้องที่มีแสงธรรมชาติ หรือแสงจ้า ในทางกลับกัน ทีวี OLED เหมาะกับห้องที่มีแสงน้อย เพราะจะช่วยให้คอนทราสต์ที่สูงมากของจอ OLED แสดงผลได้เต็มประสิทธิภาพ
ภาพจาก : https://www.kickstarter.com/projects/611565840/ultimea-thor-t60-triple-laser-tv-born-brightbeyond-daylight
หน้าจอ OLED มีอายุการใช้งานประมาณ 20,000 - 100,000 ชั่วโมง แต่จะมีความเสี่ยงต่อการเกิดเบิร์นอิน (ภาพนิ่งบางส่วนติดค้างบนหน้าจอถาวร) ได้ เมื่อใช้งานไปนาน ๆ อย่างไรก็ตาม จอ OLED ในปัจจุบันนี้ ก็มีการใส่เทคโนโลยีเข้ามาหลายอย่างที่ช่วยให้เกิดเบิร์นอินยากขึ้น
ส่วน เลเซอร์ทีวี จะไม่มีปัญหานี้ และโดยทั่วไปหลอดก็จะมีอายุการใช้งานอยู่ที่ประมาณ 25,000 - 30,000 ชั่วโมง ก่อนที่จะต้องเปลี่ยนหลอดใหม่
เรื่องของประสบการณ์ด้านการรับชม โปรเจกเตอร์เลเซอร์ถือว่ามีความได้เปรียบอย่างชัดเจน ด้วยมุมมองภาพที่กว้างเป็นพิเศษ และขนาดหน้าจอที่รองรับตั้งแต่ 100–150 นิ้ว ด้วยหน้าจอที่ใหญ่ขนาดใหญ่นี้ มันจึงให้ความรู้สึกสมจริง และดื่มด่ำ เหมือนมีโรงภาพยนตร์ส่วนตัวภายในบ้าน
นอกจากนี้ คุณภาพของภาพยังคงคมชัดแม้ในบริเวณขอบจอ ทำให้ เลเซอร์ทีวี เหมาะมากสำหรับการรับชมภาพยนตร์, กีฬา หรือเล่นเกมพร้อมกันหลายคน ในขณะที่ทีวี OLED มีมุมมองภาพที่แคบกว่า และขนาดหน้าจอใหญ่สุดอยู่ก็อยู่ที่ประมาณ 97 นิ้ว จึงเหมาะกับการใช้งานในห้องนั่งเล่น หรือพื้นที่ขนาดเล็กมากกว่า
หากพูดถึงเรื่องราคา และความคุ้มค่า เลเซอร์ทีวี ถือว่าได้เปรียบ เพราะสามารถให้ขนาดหน้าจอใหญ่ถึง 150 นิ้วในราคาที่ต่ำกว่ามาก โดยช่วงราคามักอยู่ระหว่างประมาณ 70,000 บาท ถึง 220,000 บาท
ในขณะที่ โอเลตทีวี จะมีราคาเริ่มต้นที่ประมาณ 32,000 บาท สำหรับขนาดหน้าจอพื้นฐาน 65–70 นิ้ว และสามารถพุ่งสูงถึง 9 แสนบาท ! สำหรับรุ่นขนาด 97 นิ้ว ซึ่งถือว่าแพงกว่ามากเมื่อเทียบกับขนาดหน้าจอที่ได้
โอเลตทีวี เหมาะสำหรับห้องนั่งเล่น หรือห้องนอน ในขณะที่ เลเซอร์ทีวี เหมาะกับการใช้งานในห้องโฮมเธียเตอร์ นอกจากนี้ ทีวีเลเซอร์ยังได้รับความนิยมในสำนักงาน, ห้องจัดแสดง และโรงเรียน เนื่องจากใช้พื้นที่น้อย แต่ให้ภาพขนาดใหญ่
เลเซอร์ทีวี ติดตั้งง่าย เพราะเป็นโปรเจกเตอร์แบบระยะฉายสั้นพิเศษ (Ultra-Short Throw) ที่สามารถวางห่างจากฉากรับเพียงไม่กี่นิ้ว ช่วยลดขั้นตอน และความยุ่งยากในการติดตั้งลงไปได้มาก ส่วนทีวี OLED ก็สามารถติดตั้งได้ง่ายเช่นกัน หากไม่ได้จะวางกับขาตั้ง ก็สามารถแขวนติดผนังได้เหมือนทีวีทั่วไป
เลเซอร์ทีวี อาจจะดูเป็นเหล้าเก่าในขวดใหม่ แต่ก็ถือเป็นเทคโนโลยีความบันเทิงภายในบ้านที่กำลังมาแรง ในฐานะสินค้ามันไม่มีอะไรผิดเลย ถือเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่มองหาทีวีจอใหญ่โดยไม่ต้องจ่ายแพง และเทคโนโลยีโปรเจกเตอร์ก็พัฒนาไปไกลพอที่จะใช้งานแทนทีวีทั่วไปได้อย่างสบาย
อย่างไรก็ตาม เราคิดว่าการตั้งชื่อแบบนี้อาจทำให้ผู้บริโภคเกิดความสับสน และเข้าใจผิดว่ามันสามารถแทนที่ทีวีทั่วไปได้ แต่หลังจากที่คุณผู้อ่านได้อ่านบทความนี้จนจบแล้ว เชื่อว่าก็คงจะเข้าใจแล้วล่ะ ว่าเลเซอร์ทีวี มันคืออะไร ?
|
แอดมินสายเปื่อย ชอบลองอะไรใหม่ไปเรื่อยๆ รักแมว และเสียงเพลงเป็นพิเศษ |