เคยสังเกตไหมว่า ? ในบรรดายี่ห้อของ อุปกรณ์เก็บข้อมูลต่าง ๆ อย่าง ฮาร์ดดิสก์ (Harddisk) หรือ อุปกรณ์เก็บข้อมูลแบบ SSD ที่มีวางขายอยู่ในท้องตลาด ก็จะมีรุ่นต่าง ๆ ให้เลือกอยู่เยอะแยะมากมายเต็มไปหมด (ทั้ง ๆ ที่มีความจุเท่ากัน) บ้างก็แยกความแตกต่างกันด้วยชื่อรุ่น, สัญลักษณ์ หรือแม้แต่สี ก็ตาม
โดยเราจะเห็น ฮาร์ดดิสก์ หรือ อุปกรณ์เก็บข้อมูล SSD บางยี่ห้อ ที่มีหลากหลายสีสันมากมายเต็มไปหมด และหนึ่งในนั้นก็คือ Western Digital (ตัวย่อคือ "WD") ซึ่งแบรนด์นี้ เป็นแบรนด์ที่เราสามารถพบเห็นกันอยู่บ่อย ๆ ในท้องตลาดทั้งสีเขียว, สีน้ำเงิน, และสีดำ และสีอื่น ๆ อีกมากมาย แล้วทำไมยี่ห้อนี้ถึงต้องทำออกมาหลาย ๆ สี แต่ละสีมันแตกต่างกันอย่างไร ? ใช้งานได้เหมือนกันไหม ? เราจะมาแจกแจงคุณสมบัติของแต่ละสีกันค่ะ
ถ้าถามว่า อุปกรณ์เก็บข้อมูลของ WD มีทั้งหมดกี่สี ? คำตอบคือ มีทั้งหมด 6 สีด้วยกันได้แก่ สีเขียว, สีน้ำเงิน, สีดำ, สีแดง, สีม่วง, และสีทอง สาเหตุที่มีจำนวนสีมากขนาดนี้ เหตุผลเพราะว่าทางแบรนด์ WD เขาต้องการแบ่งสเปกอุปกรณ์ต่าง ฮาร์ดดิสก์ หรือ SSD ของตัวเองให้เหมาะกับความต้องการในการใช้งานของผู้ใช้ที่แตกต่างกันออกไป ทั้งในแง่มุมของการใช้งานทั่วไป, ใช้เล่นเกม, ใช้เป็นศูนย์กลางการเข้าถึงข้อมูล หรือจะ ใช้ในองค์กร หรือบริษัทต่าง ๆ เป็นต้น
ซึ่งนอกจากจะแบ่งตามจุดประสงค์ในการใช้งานแล้ว สเปกของแต่ละสี ก็จะมีความเร็วในการเขียน และการอ่าน (Read and Write Speeds) รวมถึงการใช้พลังงานไฟฟ้าที่ไม่เท่ากันอีกด้วย
เครดิตภาพ : https://www.westerndigital.com/solutions/color-drives
WD Green หรือ WD สีเขียว เป็น อุปกรณ์เก็บข้อมูล ที่มีราคาถูกที่สุด และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากที่สุด นั่นเอง (อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้ใช้สีเขียวก็ได้นะ)
โดย WD Green จะประหยัดพลังงานในการใช้งานมากกว่า WD Blue แต่ก็แลกมาด้วยประสิทธิภาพที่ด้อยกว่า WD Blue อย่างไรก็ตาม ในเรื่องการประหยัดพลังงานก็ไม่ถือว่ามีความแตกต่างอย่างมีนัยยะสำคัญมากนักกับ WD Blue
เครดิตภาพ : https://www.westerndigital.com/solutions/color-drives
โดย WD Green จะเหมาะสำหรับผู้ใช้งานที่มีงบจำกัด และใช้งานภายในบ้านเป็นส่วนใหญ่ ไม่ได้ใช้งานหนักมากนัก เช่น โปรแกรมออฟฟิศ ที่ใช้พวก โปรแกรมพิมพ์งาน (Word), โปรแกรมสเปรดชีต (Excel), เล่น อินเตอร์เน็ต (Internet) ผ่านโปรแกรม เว็บเบราว์เซอร์ (Web Browser) เป็นต้น
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ผู้ใช้งานก็ยังต้องการปริมาณความจุ ที่มากพอสำหรับการเก็บไฟล์รูป และไฟล์เสียง เป็นต้น ซึ่งความจุของรุ่น WD Green จะเริ่มต้นตั้งแต่ 120 GB. ไปจนถึง 2 TB. ส่วนตัว WD Green SN350 NVMe™ SSD จะมีความเร็วสูงสุดในการประมวลผลอยู่ที่ 3,200 MB / วินาที
อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบัน ทาง Western Digital ได้ยกเลิกสายการผลิต WD Green โดยตรงไปแล้ว แต่ยังคงผลิตฮาร์ดไดรฟ์ SATA และ M.2 SSD ทั่ว ๆ ไป ภายในตระกูลนี้อยู่
WD Blue หรือ WD สีน้ำเงิน จะมุ่งเน้นไปที่การผลิต อุปกรณ์เก็บข้อมูล ที่ให้ความจุสูงกว่ารุ่นอื่น ๆ เพื่อให้เหมาะสำหรับ ผู้สร้างคอนเทนต์ (Content Creator) และผู้ที่ต้องใช้พื้นที่ในการเก็บไฟล์จำนวนมาก รวมไปถึงเกมเมอร์สายแคชวล เป็นต้น
โดยพื้นที่จัดเก็บในรุ่น WD Blue จะเริ่มตั้งแต่ความจุ 250 GB. ไปจนถึง 8 TB. เลยทีเดียว ! เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการความเร็วในการทำงานที่เพิ่มขึ้น และปริมาณความจุที่มากกว่ารุ่น WD Green ขึ้นมาอีกระดับหนึ่ง ถือเป็นตัวที่อยู่ตรงกลางระหว่าง WD Green และ WD Black นั่นเอง
เครดิตภาพ : https://www.westerndigital.com/solutions/color-drives
ฮาร์ดไดรฟ์ในซีรีส์ WD Blue จะมีให้เลือกซื้อทั้งหมด 5 รุ่นด้วยกันได้แก่
โดยรุ่น SN550 และ SN570 จะมีความต่างอยู่ที่ความเร็วในการอ่านข้อมูล SN550 จะมีความเร็วในการอ่านอยู่ที่ 2,600 MB. / วินาที ส่วน SN570 จะอยู่ที่ 3,500 MB. / วินาที (ในรุ่นความจุ 500 GB. - 1 TB.) ส่วนใครที่ต้องการความจุระดับสูงสุดถึง 8 GB. จะมีให้ซื้อเฉพาะในรุ่น WD Blue 3.5" HDD เท่านั้น
WD Black หรือ WD สีดำ คือซีรีส์ ของอุปกรณ์เก็บข้อมูล ที่ถูกออกแบบมาเพื่อการเล่นเกมโดยเฉพาะ ทั้งสำหรับ เครื่องพีซีที่เอาไว้เล่นเกม (Gaming PC) และโน้ตบุ๊กที่เอาไว้เล่นเกม (Gaming Notebook)
โดย WD Black จะมีประสิทธิภาพสูงกว่าสองซีรีส์ที่กล่าวถึงก่อนหน้า (WD Green และ WD Blue) ซึ่งไม่เพียงได้รับความนิยมแต่ในหมู่ชาวเกมเมอร์เท่านั้น แต่บรรดานัก ตัดต่อรูปภาพ และวิดีโอ ก็ชอบซีรีส์นี้ด้วยเช่นกัน เพราะมันเป็นอุปกรณ์เก็บข้อมูล ที่มีประสิทธิภาพสูง และมีความเร็วในการอ่านและเขียนในระดับที่สูงกว่าสองซีรีส์ก่อนหน้ามาก
เครดิตภาพ : https://www.westerndigital.com/solutions/color-drives
WD Black จะมีทั้งหมด 3 รุ่นด้วยกันได้แก่
โดยรุ่นที่มีความจุมากที่สุดคือ WD_BLACK HDD โดยมีความจุให้เลือกตั้งแต่ 500 GB. ยาวไปจนถึง 10 TB. กันเลยทีเดียว ซึ่งมีขนาด (Form Factor) ให้เลือกทั้ง 2.5 นิ้วและ 3.5 นิ้วให้เลือกซื้อใส่ทั้งใน เครื่อง PC และโน้ตบุ๊ก
ในขณะที่ส่วน อุปกรณ์เก็บข้อมูลแบบ SSD ทั้งสองรุ่นจะแตกต่างกันตรงที่ความเร็วในการอ่านเช่นเคย ในรุ่น SN770 จะมีความเร็วในการอ่านอยู่ที่ 5,150 MB. / วินาที และ SN850 อยู่ที่ 7,000 MB. / วินาที พ่วงด้วยความเร็วในการเขียนที่ 5,300 MB. / วินาทีไปอีก (จะเร็วไปไหน !)
แถมถ้าหากใครรู้ตัวว่าใช้งานหนัก ๆ รุ่น SN770 จะมีออปชันเสริม Heatsink เพื่อระบายความร้อนให้สามารถคงประสิทธิภาพสูงสุดได้ตลอดเวลาได้อีกด้วย เรียกว่าเป็นตัวท้อปของ WD Black เลยล่ะ
WD Red หรือ WD สีแดง คืออุปกรณ์เก็บข้อมูล ที่ถูกออกแบบมาสำหรับ อุปกรณ์เก็บข้อมูลที่เชื่อมต่อกับเครือข่าย (Network Attached Storage - NAS) โดยเฉพาะ การใช้งานในโฮมออฟฟิศหรือธุรกิจขนาดเล็ก ถึงกลาง (SMEs)
โดยซีรีส์ของ WD Red นั้น จะถูกปรับแต่งไว้สำหรับเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้งาน พร้อมรองรับความจุในระบบ NAS ได้สูงสุดถึง 24 ช่องเสียบ (Bays) นอกจากนี้ยังทนความร้อน การสั่นสะเทือน และการเปิดใช้งานตลอดเวลา (Always-On) ด้วย
เครดิตภาพ : https://www.westerndigital.com/solutions/color-drives
WD Purple หรือ WD สีม่วง คือซีรีส์ของอุปกรณ์เก็บข้อมูล ที่ถูกออกแบบมาสำหรับการใช้งานกับระบบกล้องวงจรปิด (Surveillance System หรือ CCTV) เป็นพิเศษ เพราะระบบดังกล่าว ต้องใช้งานอุปกรณ์ตลอด 24 ชั่วโมง และต้องมีความจุสูงเพื่อให้สามารถรองรับการบันทึกไฟล์วิดีโอขนาดใหญ่ได้ โดยมันมาพร้อมเทคโนโลยี AllFrame™ ที่ช่วยลดการขาดช่วงของเฟรม และบันทึกวิดีโอที่ความละเอียดระดับ HD ได้เป็นอย่างดี
เครดิตภาพ : https://www.westerndigital.com/solutions/color-drives
และเพราะซีรีส์ WD Purple นี้ถูกออกแบบมาเป็นพิเศษสำหรับกล้องวงจรปิด ทำให้เป็นซีรีส์เดียวที่มีไดรฟ์แบบการ์ด microSD ขนาดเล็กให้เลือกซื้อกันด้วย โดยจะมีขนาดความจุตั้งแต่ 32 GB. ไปจนถึง 1 TB. อีกด้วย
ในขณะที่รูปแบบ แบบฮาร์ดดิสก์ 3.5 นิ้ว จะมีสองรุ่นให้เลือกใช้งานคือ WD Purple และ WD Purple Pro มาพร้อมระดับความจุตั้งแต่ 1 TB. ไปจนถึง 22 TB. กันเลยทีเดียว
WD Gold หรือ WD สีทอง เป็นไดรฟ์ที่ถูกออกแบบมาสำหรับการใช้งานในบริษัท และองค์กรโดยเฉพาะ โดยเหมาะจะใช้เป็นศูนย์กลางข้อมูลของธุรกิจขนาดเล็ก ที่เก็บอยู่ภายใน ศูนย์ข้อมูล (Data Center) ที่รองรับการเรียกใช้งานอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งกลางวัน และกลางคืน (24/7)
โดยมันสามารถใช้งานเป็นฮาร์ดดิสก์ของ เซิร์ฟเวอร์เก็บอีเมล (Mail Server), เซิร์ฟเวอร์เก็บข้อมูลเว็บไซต์ (Web Server), เซิร์ฟเวอร์เก็บไฟล์ (File Server) และอื่น ๆ และนอกจากนี้แล้ว WD Gold ยังรองรับการใช้งานแบบ RAID ได้อีกด้วย แถมยังมี ระยะเวลารับประกันอายุการใช้งานยาวนานถึง 5 ปีเต็ม !
เครดิตภาพ : https://www.westerndigital.com/solutions/color-drives
สำหรับซีรีส์ WD Gold นั้นจะมีสองรุ่นด้วยกันได้แก่ WD Gold HDD และ WD Gold Enterprise-Class NVMe SSD ซึ่งมีความแตกต่างกันตรงที่ อุปกรณ์เก็บข้อมูลแบบ SSD นั้น จะมีการปรับปรุงความเร็วการตอบสนองต่อระบบ, การป้องกันการสูญเสียพลังงาน (Power Loss Protection), และคงประสิทธิภาพสูงไว้ได้ดี และยังมี ค่า Latency ต่ำ มีความเร็วสูงสุดในการอ่านอยู่ที่ 3,100 MB. / วินาที และการเขียนที่ 2,000 MB. / วินาที (ในรุ่น 1.92 TB)
ซีรีส์ | จุดประสงค์ การใช้งาน | ความจุสูงสุดที่มี | รูปแบบอุปกรณ์ | ราคาเริ่มต้น |
WD Green | ใช้งานทั่วไป, ท่องเว็บ / โปรแกรมเอกสาร | 2 TB. | SATA SSD / NVMe™ SSD | 240 GB. 890 บาท |
WD Blue | ใช้งานทำคลิป, รูปภาพแบบมือสมัครเล่น, เล่นเกมแคชชวล | 8 TB. | SATA SSD / NVMe™ SSD / 2.5" และ 3.5" HDD | 250 GB. 1,130 บาท |
WD Black | ใช้เล่นเกมสเปกสูง, ตัดต่อรูปภาพ / คลิปที่มีความซับซ้อน | 10 TB. | HDD / NVMe™ SSD | 250 GB. 1,890 บาท |
WD Red | ใช้เป็นเซิร์ฟเวอร์หรือศูนย์กลางเก็บข้อมูล | 14 TB. | HDD / NVMe™ SSD / NAS SATA SSD | 128 MB. 2,800 บาท |
WD Purple | ใช้เป็นหน่วยความจำสำหรับเครื่องมือบันทึกวิดีโอ เช่น กล้องวงจรปิด, โดรน, Dash Cam | 14 TB. | HDD / microSD | 1 TB. 1,170 บาท |
WD Gold | ใช้เป็นศูนย์ข้อมูลกลางสำหรับองค์กรหรือธุรกิจทั้งขนาดเล็กและใหญ่ | 18 TB. | HDD / NVMe™ SSD | 1 TB. 5,220 บาท |
หมายเหตุ: ราคาเริ่มต้น เป็นราคาที่ผู้เขียนสำรวจจากเว็บไซต์ advice.co.th, bnn.in.th และ shopee.co.th ณ วันที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2565 (ค.ศ. 2022)
|
เกมเมอร์หญิงทาสแมว ถ้าอยู่กับแมวแล้วจะน้วยแมวทั้งวัน |