ปี 2559 นี้ ถือเป็นยุค 4G ของประเทศไทย หลังจากปีที่แล้วมีการประมูล และก่อนหน้านี้ก็เป็นการ ให้บริการ 4G ในเชิงพาณิชย์ โดยนำคลื่น 2100MHz ที่ประมูลมาได้ แบ่งมาให้บริการ 4G ตอนนี้เราก็คุ้นเคยกับการใช้งานอินเทอร์เน็ตกันบ้างแล้ว แต่ก็ยังไม่รู้เทคนิคการใช้ให้คุ้ม บางคนเจอเน็ตรั่ว บางคนเงินหมดก็เติมๆๆๆ เผลอๆ เดือนนึงจ่ายไปพันกว่าบาท เรามีเทคนิคมาฝากคนใช้เน็ตบนมือถือให้ใช้ได้ประหยัดและคุ้มค่ามากขึ้น
ในการใช้บริการอินเทอร์เน็ตบนมือถือ ขั้นตอนแรก คือการตรวจสอบสัญญาณอินเทอร์เน็ตบนมือถือ ว่าบริเวณที่เราใช้งาน บ้าน ที่ทำงาน โรงเรียน ห้าง หรือสถานที่ที่เราไปบ่อยๆ มีสัญญาณเน็ตมือถือค่ายไหน วิธีที่ง่ายที่สุดคือ หาซื้อซิมเติมเงินตาม 7-11 หรือร้านตู้ หรือผ่านไปที่ศูนย์บริการก็หาซื้อไว้ ตอนนี้นอกจาก AIS dtac TrueMove H แล้ว ยังมี TOT MVNO อย่าง i-mobile, TOT 3G และ MVNO ของ CAT 850MHz อย่าง my by CAT และล่าสุดคือ ซิมเพนกวิน ที่อดีตผู้บริหารค่ายนึงรวมตัวกันตั้งขึ้น ด้วยราคาที่ถูก ทำให้ผู้ใช้ที่ต้องการใช้งานอินเทอร์เน็ต ปกติเน็ตบ้าน ราคาขั้นต่ำ 4xx - 5xx ต่อเดือน ดูจะแพงจนเกินไป ตอนนี้มีเงิน 100 - 200 บาทต่อเดือน ก็เล่นเน็ตบนมือถือได้แล้ว และต่อมาก็คือตัวเครื่อง หรืออุปกรณ์ที่เราใช้งาน จะต้องรองรับคลื่นค่ายที่เราจะใช้งานด้วย
ทำความเข้าใจเรื่องคลื่นก่อน AIS มีคลื่น 900MHz เดิม ซึ่งประมูลไม่ได้ก็จะทำให้ซิมดับลง หาก True จ่ายค่าประมูล ดังนั้น AIS จึงมีคลื่น 2100MHz และ 1800MHz ให้บริการ ตัวเครื่องก็จะต้องรองรับ ส่วน dtac มีคลื่น 850MHz, 2100MHz, 1800MHz เดิม รองรับการใช้งานอุปกรณ์ได้หลากหลาย ในขณะที่ TrueMove H นั้น มีครบ 4 คลื่น (หากชำระเงินค่าประมูลเรียบร้อย) คือ 850MHz / 900MHz / 1800MHz / 2100MHz ซึ่งเราจะต้องพิจารณาตัวเครื่องหรืออุปกรณ์ให้รองรับคลื่นของค่ายมือถือที่เราใช้งาน ยิ่ง my by CAT และซิมเพนกวิน เป็น 850MHz (3G) ก็ต้องใช้กับเครื่องที่รองรับ เท่านั้น ส่วน JAS ก็เป็นผู้ให้บริการอีกราย (บทความนี้เขียน ต้นเดือนมีนาคม 2559)
เอาล่ะ เมื่อสัญญาณครอบคลุม ตัวเครื่องรองรับ ก็มาถึงแพ็คเกจอินเทอร์เน็ต โดยขั้นตอนนี้ แนะนำให้ตรวจสอบ "พฤติกรรมในการใช้งานของเรา" เป็นหลัก เพื่อสมัครแพ็คเกจหลัก ซึ่งจะมีให้เลือกหลักๆ โทรอย่างเดียว / โทร และเน็ต / เน็ตอย่างเดียวไม่โทรเลย แพ็คหลังนี้ ไม่ใช่ว่าโทรไมได้ แต่ถ้าโทรจะเสียค่าโทรคิดเป็นนาที หรือวินาที
แพ็คเกจเหล่านี้ จะเป็นแบบ "เหมาจ่าย" เช่น 299 บาทต่อเดือน (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) จะเลือกแบบเติมเงิน หรือรายเดือนก็แล้วแต่ แนะนำให้ลองแบบเติมเงินไปสักระยะนึงก่อน สัญญาณดี โปรโมชั่นคุ้ม ค่อยเปลี่ยนเป็นรายเดือนอีกที แต่ตอนนี้แพ็คเกจมือถือเติมเงินที่คิดเป็นรายเดือนก็มีนะครับ (ต้องเติมเงินทุกเดือน ให้ครบตามอัตราที่กำหนด ไม่เช่นนั้นจะหักจากเงินที่เหลือในซิมจนเกลี้ยง ซึ่งคิดแพงกว่าสมัครแพ็คเกจ) แพ็คเกจแบบเหมาจ่ายนี้ ก็จะมีทั้ง มีค่าโทร ในเครือข่ายฟรี หรือทุกเครือข่าย อันนี้ต้องลองพิจารณาดูว่าปกติเดือนนึงๆ เราโทรกี่นาที ปกติจะเหมาจ่ายเป็นจำนวนนาที และมีการคิดเป็นวินาที ส่วนอินเทอร์เน็ตจะมี 2 แบบ คือ Full Speed ใช้งานได้เต็มความเร็วของแต่ละพื้นที่ที่ใช้งาน หากใช้งานครบตามปริมาณข้อมูลที่กำหนด เช่น 3GB ก็จะถูกปรับความเร็วลง (แต่ข้อดี คือไม่เสียเงินเพิ่ม เพราะเหมาจ่ายอยู่แล้ว) จะคิดเงินเพิ่มก็ตรง ส่ง SMS, MMS หรือโทรเกิน หรือเลือกแพ็คเกจเน็ต เน้นเน็ต แต่จะไม่มีค่าโทรให้ฟรี ใช้โทรก็คิดเงินเพิ่มจากแพ็คเกจ แต่อัตราค่าโทรจะเป็นนาทีละ 1 - 1.50 บาท แต่แลกด้วยปริมาณการใช้งานเน็ตที่เยอะ
ภาพนี้ดีมาก ลองตั้งคำถามกับตัวเองว่า เดือนนึง พร้อมจะจ่ายค่าโทร เน็ต เดือนละเท่าไหร ถ้าใช้ไม่สม่ำเสมอแต่ละเดือนก็สมัครแพ็คหลักไว้ จะเล่นเน็ต ค่อยสมัครแพ็คเกจเสริม พิจารณาว่า ใช้เน็ตกี่ MB / GB ต่อเดือน ถ้าไม่รู้ก็ลองสมัครไว้สักแพ็คเกจนึง ตอนนี้มีแบบ สมัคร 1 วัน 3 วัน 5 วัน 7 วัน ก็ลองกันได้ จะได้คำนวนได้คร่าวๆ ว่าควรเลือกแพ็คเกจแบบไหน
การเลือก แพ็คเกจ ต้องคิดนึงถึงพฤติกรรมในการใช้งานของเรา โทรบ่อยไหม เลือกแพ็คเกจติดนาทีโทรไว้สัก 100-200 นาที เดือนนึงถ้าใช้ไม่เกินก็จ่ายตามอัตราเหมาจ่าย แต่ถ้าใครแยกเครื่องโทร กับเครื่องเน็ต ก็สมัครแพ็คเกจเน็ตไปเลย เหมาจ่าย แต่ต้องพิจารณาดีๆ ว่า ใช้เน็ตได้กี่ GB ถ้าใช้ครบตามจำนวนที่กำหนดในแพ็คเกจที่สมัคร มีอัตรา Fair Use Policy (FUP) หรือไม่ (ตอนนี้เรียกกันว่า Non-Stop) เพราะ กสทช.ห้ามใช้คำว่า Unlimited อยู่ที่ความเร็วในการใช้งานเท่าไหร ปกติจะมี 64Kbp / 128Kbps / 384Kbps อันนี้แหล่ะครับถ้าใช้เน็ตจนติด FUP แล้ว เน็ตช้ามาก สิ่งที่เราทำเพื่อเพิ่มความเร็วก็คือ "ซื้อแพ็คเกจเสริม" นั่นเอง บางคนไม่อยากเหมาจ่ายเป็นจำนวนเงินเท่ากันทุกเดือน บางเดือนใช้เยอะ บางเดือนใช้น้อยก็อาจจะสมัครแพ็คเกจโทรไว้ก่อน 100 - 200 นาที ถ้าจะใช้เน็ตก็สมัครแพ็คเกจเสริมได้ ปกติจะคิดเป็นปริมาณการใช้งาน ต่อจำนวนวัน เช่น 15 บาทต่อวัน ใช้งานได้ 24 ชั่วโมง หลังจากสมัคร อันนี้ต้องระวัง ถ้าครบตามเวลาที่สมัคร ใช้เน็ตก็จะเสียค่าเน็ตคิดเป็นเม็กกะไบท์ อันนี้ต้องระวังและปิดเน็ตเป็น แนะนำให้ใช้การปิด Mobile Data ไม่ให้เน็ตวิ่ง หรือกด ดอกจันเพื่อปิดเน็ต
ถ้าเราไม่รู้ว่า แพ็คเกจที่เราเลือก เหมาะสมกับพฤติกรรมในการใช้งานของเราจริงๆ หรือเปล่า แนะนำให้ตรวจสอบจากบริการ e-Service ของทุกค่ายครับ AIS จะเป็น AIS e-Service, dtac ก็มี dtac app ส่วน true จะมี True iService , H Pack , H Life ดูว่าเราใช้เน็ตเท่าไหร ดูง่ายๆ มีแท่งๆ ปริมาณการใช้เน็ต ถ้าใช้เกินทะลุปรอทก็ใช้เกินโปรโมชั่น แท่งโทรก็มีจำนวนนาที ถ้ามีจำนวนนาทีเยอะๆ ไม่ได้โทรเลย ก็ใช้โปรโมชั่นไม่เหมาะสม ลองปรึกษา Call Center ดูครับ (จากภาพ ใช้เน็ตได้ 100MB แต่ใช้เกินไป 425.37MB จึงมีค่าบริการส่วนเกิน ส่วนโทร 300 นาที โทรไปน้อยมาก 9 นาที แบบนี้เลือกแพ็คเกจไม่เหมาะสมแล้วล่ะ)
จะเห็นได้ว่า หากแพ็คเกจเป็นแบบ Unlimited การใช้งานเกินจากปริมาณดาต้าที่กำหนดจะไม่ถูกคิดเงินเพิ่ม แต่ก็แลกเปลี่ยนด้วยการปรับลดความเร็วลง แต่ถ้าอยากจะได้ความเร็วแรงเหมือนเดิมก็จ่ายเพิ่ม (ผู้ใช้ยินยอมในการจ่ายเพิ่มเอง) ต่างจากแพ็คเกจแบบ Limit ที่ใช้ได้เร็ว แรง ไว แต่หากใช้งานครบตามกำหนดก็ถูกคิดเงินเพิ่ม บางทีเราก็ไม่รู้ตัว ตอนนี้คนใช้มือถือเติมเงิน หากไม่มีแพ็คเกจเน็ต จะคิดค่าบริาการตามปริมาณการใช้งาน คิดเป็นเม็กกะไบท์ หากใช้แล้วเสียเงิน ก็จะมีข้อความ SMS แจ้งว่า ใช้เน็ตไปกี่บาท พร้อมแนะนำให้สมัครแพ็คเกจจะคุ้มกว่า ประหยัดกว่าผลาญเน็ตไปเรื่อยๆ เพราะคิดตามปริมาณการรับส่งข้อมูลนั่นเอง
ที่นี้ เราได้รู้พฤติกรรมการใช้งานของเราแล้ว ว่าโทร หรือเล่นเน็ต ก็สมัครแพ็คเกจหลักไปก่อน ถ้าใช้ครบค่อยสมัครแพ็คเกจเสริม ตอนนี้เราจะรู้แล้วว่า แพ็คเกจที่เราเลือก เหมาะสมหรือเปล่า ตอนนี้ 4G AIS มีแพ็คเกจที่ไม่ได้มีการจำกัด ไม่ลดสปีดลง (ไม่ใช่ Unlimited) ข้อดีก็คือ ใช้เน็ตได้แรง ไว ไม่มีการลดสปีดความเร็วในการใช้งาน แต่ถ้าใช้งานครบกำหนดแล้วยังใช้งานต่อก็จะถูกคิดค่าบริการเพิ่มเติม ตรงนี้ถึงแนะนำว่าควรตรวจสอบผ่าน e-Service เป็นประจำ
แนะนำให้ตรวจสอบปริมาณการโทร ใช้เน็ต ของเรา จาก e-Service บริการนี้มีทุกค่าย ทำให้เรารู้ว่าเราใช้เน็ตไปเท่าไหร โทรในเครือข่ายกี่นาที โทรเครือข่ายอื่น กี่นาที ตรวจสอบไปสักระยะ 1-3 เดือน ทำให้เราเลือกแพ็คเกจที่เหมาะสมกับการใช้งานของเราได้
ส่วนคนที่เอามือถือมาปล่อยสัญญาณ 3G/4G เป็น Wi-Fi ให้กับคอมพิวเตอร์ แนะนำแพ็คเกจแบบ Unlimited ใช้เน็ตได้ 5GB ขึ้นไป ใช้ครบก็ถูกลดความเร็วลง เพราะคอมพิวเตอร์ ใช้ปริมาณเน็ตมากกว่ามือถือ โหลดรูปขนาดใหญ่กว่า โหลดหน้าเว็บมี แอนิเมชั่นมากกว่า ยิ่งดู YouTube ยิ่งใช้ปริมาณเน็ตเยอะ คลิปนึง 1 ชั่วโมง ใช้เน็ตประมาณ 200 - 500MB แล้วแต่ความละเอียด ความคมชัด แต่การดูวิดีโอเนี่ย ผลาญเน็ตมากที่สุด
การสังเกต พฤติกรรมในการใช้งานอินเทอร์เน็ต เราก็สามารถแยกได้อีกว่า ชอบทำอะไร คำว่าเล่นเน็ต มีหลายอย่าง ใช้ e-mail chat เล่น Facebook, IG อ่านข่าว ดาวน์โหลดไฟล์ อัพโหลดคลิป ดูคลิป ดูทีวีออนไลน์ ชอบเพจ วิดีโอ ก็ดูวิดีโอบน Facebook ทั้งวัน ชอบไถ IG ตอนนี้มีแพ็คเกจเสริมเฉพาะกิจกรรมบนอินเทอร์เน็ต เช่น YouTube ไม่อั้น สำหรับคนชอบดูคลิป 9 บาท ดูได้ 1 ชั่วโมง ไม่หักค่าเน็ต ไม่คิดค่าเน็ตแบบนี้จะดูยังไงก็ได้ 1 ชัวโมงก็คิดแค่ 9 บาท แต่ต้องตรวจสอบเงื่อนไขว่าใช้ได้ที่ความเร็วเท่าไหร อันนี้ต้องเข้มงวดกับเวลาในการใช้งาน (มักจะแจ้งเวลาสิ้นสุดในการใช้งาน ผ่าน SMS) ไม่คิดค่าเน็ตจากแพ็คเกจหลักปกติ ถ้าแพ็คเกจหลักไม่หมด แต่วันนี้จะดู YouTube ก็ลองพิจารณา แพ็คเกจเสิรม วันละ 29 บาท ใช้ได้ถึง 23.59น. ของวันที่สมัคร แบบนี้คือดูไม่อั้น ไม่เสียค่าเน็ตเพิ่ม เหมาจ่ายไปเลย เพราะถ้าไม่ใช้แพ็คนี้ ดู LINE TV ทั้งวัน เปลืองเน็ตมากกว่า 29 บาทอีก ยิ่งใครใช้ LINE เยอะๆ เล่นเกมบน LINE แนะนำ แพ็คเกจ LINE ไม่อั้น สมัครไว้ประหยัดและคุ้ม ส่วนการแช็ทผ่าน LINE ไม่ได้ใช้เน็ตเยอะหรอกครับ
อีกประเด็นคือ แพ็คเกจเหล่านี้ Facebook ไม่อั้้น LINE ไม่อั้น WhatsApp ไม่อั้น แบบนี้ จะฟรีเฉพาะการใช้งานบนแอป หรือเว็บไซต์ Official เท่านั้น ไม่รองรับการใช้งานบนแอป 3rd-parties หรือแอปที่บริษัทหรือบุคคลภายนอกพัฒนาขึ้นเอง ที่สำคัญ เล่น Facebook ฟรี LINE ฟรี ต้องระวัง เพราะฟรีเฉพาะ บริการที่เราสมัคร หากใช้ Facebook ฟรี จะอัพเดตสเตตัส อัพรููป วิดีโอ ทำได้ แต่หากมีเพื่อน มีเพจ แชร์ Link ข้างนอกที่ไม่ใช่ของ Facebook เอง จะเสียค่าเน็ตเพิ่ม อันนี้หลายคนไม่รู้ โดนหักเงินเกลี้ยงโดยไม่รู้ตัว ศึกษาและทำความเข้าใจกับเงื่อนไขดีๆ และตอนใช้งานก็ยับยั้งชั่งใจ ไม่กดดู Link ภายนอกแอป ถ้าจะใช้ก็ต้องมีแพ็คเกจหลักที่มีเน็ตอยู่แล้ว หรือใช้ Wi-Fi เชื่อมต่อแทน เพื่อไม่ให้เสียเงินเพิ่ม
ตัวอย่างแพ็คเกจ
https://www.dtac.co.th/postpaid/products/add-on-youtube-line-tv.html
https://truemoveh.truecorp.co.th/package
https://www.ais.co.th/one-2-call/maomaoontopnet/
สลับไปใช้ Wi-Fi เพือไม่เปลืองเน็ต
ตอนนี้แพ็คเกจมือถือ จะมีบริการให้ใช้ Wi-Fi ฟรี ผ่าน AIS Wi-Fi / 3BB Wi-Fi / dtac Wi-Fi, True Wi-Fi, TOT Wi-Fi เวลาไปเดินห้าง อยู่ข้างนอก ที่ไหนก็ตาม หากมี Wi-Fi ให้บริการ ก็ป้อน username - password เพื่อใช้งานได้เลย (สอบถามวิธีขอ user / password จากผู้ให้บริการ หรือหากใครอยู่บ้าน มีเน็ตบ้าน ก็สลับไปใช้เน็ตบ้าน ปิด Mobile Data ไว้ หรือไปที่โรงเรียน สถานที่ต่างๆ ที่มี Wi-Fi ให้ใช้ฟรี ก็สลับไปใช้ Wi-Fi ใครทำงานแล้ว ที่ทำงานมี Wi-Fi บริการฟรี ก็สลับไปใช้ Wi-Fi ปกติผมแนะนำให้ใช้ Wi-Fi ในการอัพเดตแอปบน App Store
เพราะแอปมีการอัพเดตทุกวัน ต้องดาวน์โหลดไฟล์ขนาดใหญ่ (10 - 20MB ก็ถือว่าไฟล์ใหญ่แล้ว) ถ้าดู Youtube, LINE TV จริงๆ ผมอยากแนะนำให้ใช้ Wi-Fi จะดีกว่า เพื่อหลีกเลี่ยงการติด FUP เมื่อความเร็วลด เราอยากใช้เน็ตเร็ว ก็ต้องเสียเงินซื้อแพ็คเกจเสริมเพิ่ม ถ้ามี Wi-Fi ที่ไหนก็เชื่อมต่อ Wi-Fi จะดีกว่า ถ้าสลับการใช้งานเน็ตมือถือกับ Wi-Fi ได้คุ้ม เราประหยัดเงินไปได้มากโข ท่องและจำไว้ว่า หากดูคลิป ดูทีวีออนไลน์ ใช้เน็ตผ่าน Wi-Fi ดีกว่า เพราะ Wi-Fi Unlimited ไม่คิดตามปริมาณการใช้งาน ใช้ไม่อั้น แต่ถ้าจะใช้ Wi-Fi โหลดบิตก็เกรงใจคนใช้งานร่วมกัน เพราะเน็ต Wi-Fi คนอื่นจะถูกดึงให้ช้า คิดไว้ว่า ทำยังไงให้คุ้ม ไม่ต้องเสียเงินเพิ่ม Wi-Fi ฟรี มีให้ก็ใช้ เน็ตก็ใช้บนมือถือตามความเหมาะสม รับรอง ประหยัดเงิน คุ้มกว่าเดิมแน่
ใช้โปรเน็ตยังไงไม่ให้ติด FUP ใช้โปรเน็ตยังไง ไม่ให้ถูกคิดเงินเพิ่ม
อย่างที่กล่าวไปทั้งหมด การใช้งานติด FUP เกิดจาก พฤติกรรมในการใช้งานของเรา ไม่เหมาะสม เช่น ดูคลิป ดูทีวีออนไลน์ บน 3G / 4G ไม่ใช่เรื่องผิด แต่การใช้เน็ตมือถือ ซึ่งคิดตามปริมาณการใช้งาน เอามาใช้ดูคลิป วิดีโอ ดูทีวีออนไลน์ ทำให้เน็ตหมด (ครบกำหนดตามปริมาณการใช้งานที่ได้รับ) พอลดสปีด ความเร็วลด ใช้งานได้ไม่ดี ก็เสียเงินซื้อแพ็คเกจเสริม ถูกไหม?
แนะนำให้ต่อ Wi-Fi น่าจะคุ้มค่ากว่า เพราะเนื้อหาช่วงนี้อยากนำเสนอว่า ทำยังไงไม่ให้ติด FUP ติด FUP แล้วช้า ก็เสียเงินเพิ่ม (ผู้เขียน เดือนนึง ใช้เน็ตเยอะ เน็ตหมด ลดสปีด ก็เสียงเงินเพิ่ม บิลออกมาเดือนนึงจาก 8 ร้อยเป็น 1 พันกว่าบาท เพราะถ้าบริหารจัดการดีๆ ใช้งาน Social Network, Chat, รับส่ง E-Mail ใช้งานเว็บ อ่าน Pantip ยังไงเน็ตก็ไม่น่าจะติด FUP ให้ความเร็วตกแล้วเราเสียเงินเพิ่ม เน็ต 3-5GB ใช้งานได้เหลือๆ ถ้าไม่แชร์กับคอม ไม่ดู YouTube ถ้าเราแยกการดูทีวีออนไลน์ ดูคลิป ไว้ที่ Wi-Fi หรือเลือกใช้แพ็คเกจ YouTube, LINE TV ไม่อั้น ตามพฤติกรรมในการใช้งานของเรา
ดังนั้น ทั้งหมดทั้งปวงที่แนะนำมา แนะนำให้ใช้บริการ e-Service หมั่นตรวจสอบเป็นประจำ เพื่อการใช้งานอินเทอร์เน็ตบนมือถือที่ประหยัด และคุ้มค่าที่สุด
|
ความคิดเห็นที่ 1
29 กรกฎาคม 2559 09:45:49
|
||
GUEST |
บุญโญ
ให้ข้อมูลดีครับ
|
|