โทรศัพท์มือถือ (Mobile Phone) ที่เราใช้กันอยู่ทุกวันนี้ มักจะอยู่ในรูปแบบของสมาร์ทโฟนที่มีระบบสัมผัส และสามารถใช้งานได้หลากหลายฟังก์ชันในเครื่อง ทำให้มีความคล่องตัวในการใช้งานตามความต้องการของผู้ใช้แต่ละคนที่มีจุดประสงค์การใช้งานแตกต่างกันออกไป ไม่ว่าจะเป็นการทำงานนอกสถานที่, ฟังเพลง, เล่นเกม, เช็คหุ้น, ฯลฯ แต่รู้หรือไม่ว่า จริง ๆ แล้ว ประเภทของโทรศัพท์มือถือ ยังมีแยกย่อยออกไปเป็นประเภทอื่น ๆ อีกหลายประเภท และสมาร์ทโฟนคือหนึ่งในนั้น
หากคุณอายุอานามเกิน 30 ไปแล้ว จะต้องรู้จักมือถือรุ่นอื่น ๆ มาก่อนที่จะมาเป็นสมาร์ทโฟนอยู่แล้วเป็นแน่ แต่สำหรับใครที่ยังอายุไม่ถึง มาดูกันว่า คุณเกิดทันมือถือรุ่นไหนบ้าง และมันมีฟีเจอร์ใช้งานอย่างไร ทำไมจึงมีชื่อเรียกแบบนั้น ซึ่งในบางรุ่น คุณอาจไม่เคยรู้ด้วยซ้ำไปว่ามันมีชื่อเรียกด้วย
มาเริ่มกันที่โทรศัพท์แบบแรกที่ถือเป็นต้นแบบของโทรศัพท์มือถือทั้งหมดกัน โทรศัพท์แบบ เซลโฟน (Cellphone) หมายถึงโทรศัพท์ที่มีแต่หน้าจอที่มีไว้สำหรับเพียงแสดงหมายเลขที่เราได้กดปุ่มไปแล้วเท่านั้น และไม่มีฟังก์ชันอื่นใดให้ใช้งานนอกจากฟังก์ชันพื้นฐานอย่างการโทรเข้า - โทรออก และ การรับ - ส่งข้อความ ซึ่งในปัจจุบันยังมีผู้คนอีกจำนวนมากที่มีความคิดว่า โทรศัพท์มือถือนั้นมีไว้เพื่อการสื่อสารก็พอ ดังนั้น โทรศัพท์ประเภทนี้จึงมีความแข็งแรงทนทาน และอายุการใช้งานของแบตเตอรีที่ยาวนานกว่าใครเพื่อน
เครดิตภาพ : smial (talk) - https://commons.wikimedia.org/w/index.php?curid=105654646
บางครั้ง โทรศัพท์มือถือประเภทนี้ อาจจะมีออปชันเสริมเข้ามาเพิ่มบ้างนิดหน่อย เช่น ตั้งนาฬิกาปลุกได้, มีปฏิทิน, มีไฟฉายในตัว เป็นต้น และมักมีราคาถูก นอกจากนี้ มันยังทำหน้าที่เป็นโทรศัพท์สำรองที่ดีได้ในเวลาที่เครื่องหลักของคุณถูกส่งซ่อม หรืออยู่ระหว่างหาเครื่องใหม่ใช้งาน
ฟีเจอร์โฟน (Feature Phone) เป็นโทรศัพท์มือถือที่มีฟีเจอร์การใช้งานที่ถูกต่อยอดมาจาก Cellphone โดยยังคงมีปุ่มกดสำหรับเลือกเมนู กดหมายเลขโทรศัพท์ ปุ่มรับ - วางสายอยู่ และจะมีขนาดหน้าจอที่ใหญ่กว่าปกติ มาพร้อมกับระบบปฏิบัติการที่แสดงผลเมนูให้ใช้งานง่าย ไม่ซับซ้อนเท่ากับระบบปฏิบัติการ iOS หรือ Android ที่เป็นที่นิยมอยู่ในปัจจุบันนี้
โดยฟีเจอร์ หรือความสามารถ ที่ถูกต่อยอดเพิ่มเข้ามา ก็คือการรองรับการเล่นไฟล์มีเดีย (เล่นได้แบบจำกัดสกุลไฟล์) และสามารถเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตได้ รวมทั้งอาจมีบริการเสริมอื่น ๆ ที่ได้รับจากผู้ให้บริการใช้งานเครือข่ายเข้ามาให้ใช้เพิ่มเติมด้วย
เครดิตรูปภาพ : By Lokal_Profil, CC BY-SA 3.0, https://commons.wikimedia.org/w/index.php?curid=16409224
ส่วนประกอบหลักของตัวเครื่อง มักจะประกอบไปด้วย จอ LCD ที่มีไฟ Backlight, ไฟกะพริบแจ้งเตือนแบบ LED, พอร์ตเชื่อมต่อแบบ Micro USB, ช่องใส่การ์ดหน่วยความจำ อย่าง Micro SD, กล้องหลังสำหรับบันทึกภาพหรือวิดีโอ, และบริการ GPS เป็นต้น
ซึ่งในบางครั้ง Feature Phone ก็อาจจะมีแอปสโตร์ไว้บริการให้ แต่แอปพลิเคชันที่สามารถดาวน์โหลดได้ก็ไม่ได้มีอะไรมากมายนัก มีเพียงแค่แอปปฏิทิน, แอปพลิเคชันเครื่องคิดเลข หรือแม้แต่ เกมสำหรับเล่นภายในเครื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ อะไรทำนองนั้น
สำหรับ โทรศัพท์มือถือในประเภท มิวสิกโฟน (MP3 / Music Phone) ได้ถูกออกแบบมาเป็นพิเศษสำหรับการฟังเพลงโดยเฉพาะ โดยทั่วไปแล้วจะราคาถูกกว่าสมาร์ทโฟน และทำงานไม่ได้ครึ่งของความหลากหลายเหมือนสมาร์ทโฟนด้วย อย่างไรก็ตาม มิวสิกโฟนนั้นเหมาะเป็นอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่รักเสียงเพลง เพราะมันถูกออกแบบมาให้มีปุ่มควบคุมเพลงโดยเฉพาะบนอุปกรณ์เลย
เครดิตรูปภาพ : https://technoslate.blogspot.com/2012/01/nokia-5310-xpressmusic-phone.html
อีกทั้งเสียงขาออกยังมีคุณภาพสูง โดยสามารถปรับแต่งให้ดียิ่งขึ้นได้อีกเมื่อใช้กับหูฟังที่มีคุณภาพทัดเทียมกัน และเมื่อเป็นมือถือสำหรับฟังเพลงโดยเฉพาะ ก็เลยมีพื้นที่หน่วยความจำมากกว่าปกติด้วย เพราะต้องเอาไว้เก็บเพลงจำนวนมากนั่นเอง
คาเมราโฟน (Camera Phone) หรือโทรศัพท์มือถือที่มีไว้สำหรับถ่ายรูปโดยเฉพาะ และมีความคล้ายคลึงกันกับสมาร์ทโฟนในหลาย ๆ ด้าน แต่มีความแตกต่างตรงที่ว่า กล้องบนมือถือประเภทนี้ จะมีคุณภาพดีกว่ากล้องดิจิตอลส่วนใหญ่ที่จัดอยู่ในประเภทใช้งานง่าย (แน่นอน มันสู้ DSLR ไม่ได้อยู่แล้วล่ะ)
โดยตัวอย่างที่เราจะพูดถึงคือ Nokia Lumia 1520 ซึ่งมือถือรุ่นนี้มาพร้อมกับกล้องขนาด 41 ล้านพิกเซล ด้วยเลนส์แบบ Carl Zeiss และแฟลช Xenon ทำให้ผลลัพธ์ถ่ายภาพที่ได้ ออกมาเป็นที่น่าประทับใจไม่น้อยเลยทีเดียว
เครดิตภาพ : https://www.windowsphonearea.com/nokia-lumia-1520-back-market-749/
ในขณะที่สมาร์ทโฟนทั่วไปนั้นให้ภาพที่มีคุณภาพปานกลาง และเพียงพอแล้วสำหรับการใช้งานทั่วไป แต่มืออาชีพส่วนใหญ่นั้นจะเลือกใช้อุปกรณ์ที่ให้ผลลัพธ์ภาพ ที่มีความคมชัด และมีชีวิตชีวามากกว่า และเพราะเลนส์กล้องนั้นดีกว่า จึงทำให้ขนาดของภาพใหญ่ขึ้นกว่าที่ถ่ายออกมาจากสมาร์ทโฟนด้วย
เพราะกิจกรรมต่าง ๆ ที่มีในมือถือประเภทอื่น ๆ ที่กล่าวมาด้านบนทั้งหมด สามารถทำให้เกิดขึ้นได้ในมือถือประเภทนี้ มันจึงถูกเรียกว่า สมาร์ทโฟน (Smartphone) ไม่ว่าจะเป็นเครื่องเล่นเพลง, กล้องถ่ายรูป, ผู้ช่วยส่วนตัวดิจิทัล (Personal Digital Assistant - PDA), และอุปกรณ์อื่น ๆ ล้วนถูกนำมารวมไว้ให้ใช้งานได้ในมือถือเครื่องเดียว ซึ่งถึงแม้ว่ามือถือประเภทนี้จะมีให้ใช้งานกันมานานแล้ว แต่ถ้าจะนับเรื่องผู้บุกเบิกสมาร์ทโฟนแล้วล่ะก็ คงต้องยกความดีความชอบให้กับ iPhone ของ Apple ล่ะนะ
เพราะนับตั้งแต่ที่ iPhone เครื่องแรกของโลก ที่มีปุ่มหลักเพียงแค่ปุ่มเดียวบนจอ (ไม่นับพวกปุ่ม Sleep กับปุ่มเพิ่ม / ลดเสียงที่อยู่ด้านข้าง) ก็ทำให้มีโมเดลสมาร์ทโฟนรุ่นอื่น ๆ เกิดขึ้นมามากมาย และมีบรรดาสมาร์ทโฟนที่เอาโมเดลของ iPhone มาก๊อปปี้วางขายกันเพียบ จากนั้นเป็นต้นมา เราก็เลยมีสมาร์ทโฟนใช้กันเป็นเรื่องปกติในยุคปัจจุบันไปแล้ว เพราะมันกลายเป็นอุปกรณ์ที่สามารถทำงานได้ทุกอย่างโดยมีข้อบกพร่องน้อยมาก
เครดิตภาพ : By Senado Federal - Fotos produzidas pelo Senado, CC BY 2.0, https://commons.wikimedia.org/w/index.php?curid=53990377
และนอกจากนี้แล้ว มันยังสามารถต่อพ่วงเข้ากับจอทีวีแบบ HD ผ่านสาย HDMI เพื่อรับชมคอนเทนท์คุณภาพสูงผ่านจอใหญ่ได้เลยด้วย และเปลี่ยนหน้าที่เป็นผู้นำทางคุณได้ในเวลาที่ต้องเดินทางไปยังสามารถที่ที่ไม่เคยไปเยือนมาก่อน ด้วย GPS ที่มีในตัว เพื่อเปิดแผนที่และนำทางคุณไปได้อย่างแม่นยำพร้อมมีรายละเอียดของเส้นทางประกอบ
แท็บเล็ต (Tablet) เป็นอุปกรณ์เคลื่อนที่ที่สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพด้วยหน้าจอแบบทัชสกรีนและมักมีระบบปฏิบัติการที่ถูกออกแบบมาเพื่อใช้กับอุปกรณ์ประเภทนี้โดยเฉพาะ ซึ่งส่วนใหญ่แล้ว ผู้ที่ซื้อหามันมาใช้งาน มักจะเอามาใช้เพื่อทดแทนการทำงานกับเครื่องคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ หรือพกพาแทน คอมพิวเตอร์แล็ปท็อป (Laptop Computer) ที่มีขนาดเครื่องใหญ่กว่าและมีน้ำหนักมากกว่า
ข้อมูลเพิ่มเติม : แล็ปท็อป (Laptop) กับ โน้ตบุ๊ค (Notebook) ต่างกันอย่างไร ? เรียกอย่างไรดี ?
เครดิตภาพ : By Mariordo (Mario Roberto Durán Ortiz) - Own work, CC BY-SA 3.0, https://commons.wikimedia.org/w/index.php?curid=19430374
ในปัจจุบัน แท็บเล็ตนั้นเปรียบได้กับการเป็นเครื่องสมาร์ทโฟนที่มีขนาดใหญ่ขึ้นมาอีกขั้น ซึ่งความแตกต่างของมันกับสมาร์ทโฟน ก็คือการที่มีขนาดหน้าจอและขนาดตัวเครื่องที่ใหญ่กว่า โดยจะมีขนาดตั้งแต่ 7 นิ้วขึ้นไป อาจรองรับการเชื่อมต่อกับอินเตอร์เน็ตบนเครือข่ายมือถือหรือไม่ก็ได้
นอกจากนี้ ตัวแท็บเล็ต ยังรองรับการใช้งานกับอุปกรณ์ต่อพ่วงอื่น ๆ ที่หลากหลายเพื่อเพิ่มความสะดวกสบายในการใช้งาน ไม่ว่าจะเป็น ปากกาสไตลัส, คีย์บอร์ดไร้สาย, เมาส์ไร้สาย, หรือการต่อสาย HDMI เพื่อแสดงผลบนจอที่มีขนาดใหญ่ได้ด้วย
เมื่อสมาร์ทโฟน สามารถทำงานได้หลายอย่างในตัวมันเพียงเครื่องเดียว ก็ทำให้ผู้ใช้บางส่วนเริ่มมองหาสมาร์ทโฟนที่มีหน้าจอใหญ่ขึ้น เพื่อให้ตอบโจทย์การใช้งานและถนอมสายตามากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการอ่านอีเมล ส่งข้อความ ดูรูปภาพ รับชมคลิปวิดีโอ แต่ก็ไม่อยากให้ใหญ่จนเกินกว่าที่จะพกพาไปไหนมาไหนด้วยได้ จึงทำให้เกิดลูกผสมระหว่าง สมาร์ทโฟน และ แท็บเล็ต เกิดเป็น ฟาเบล็ต (Phablet) ขึ้นมา
เครดิตภาพ: Kārlis Dambrāns - Flickr: HTC One Max, CC BY 2.0, https://commons.wikimedia.org/w/index.php?curid=31378559
Phablet เป็นคำผสมที่เกิดขึ้นจากคำว่า Phone และ Tablet โดย Phablet นั้นจะมาพร้อมหน้าจอแสดงผลขนาดใหญ่ที่ทำให้เราสามารถท่องเว็บและรับชมไฟล์มีเดียต่าง ๆ ได้ชัดเจนและสบายตามากขึ้น อาจมาพร้อมกับปากกาสไตลัสสำหรับใช้งานร่วมกันหรือไม่ก็ได้ Phablet ถูกดีไซน์ขึ้นครั้งแรกเพื่อวางขายในตลาดเอเชียโดยเฉพาะ เพื่อจับกลุ่มลูกค้าที่ไม่สามารถซื้อทั้งสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ตมาใช้งานพร้อม ๆ กันได้
เครดิตภาพ : By Google, CC BY 3.0, https://commons.wikimedia.org/w/index.php?curid=81681937
แรกเริ่มเดิมทีนั้น คำจำกัดความของ Phablet ถูกจัดไว้ให้สำหรับสมาร์ทโฟนที่มีขนาดจอใหญ่กว่า 3.5 นิ้วขึ้นไป แต่เพราะสมาร์ทโฟนเองก็มีขนาดจอที่ใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ ด้วย ทำให้คำจำกัดความนี้ ถูกเปลี่ยนไปในปี ค.ศ. 2020 (พ.ศ. 2563) โดยนำไปใช้เรียกสมาร์ทโฟนที่มีขนาดจอตั้งแต่ 6.5 นิ้วขึ้นไป และมีความสูง 160 มิลลิเมตรขึ้นไปแทน
มือถือพับได้ (Foldable Phone) เป็นสมาร์ทโฟนที่มีหน้าจอแบบพิเศษ สามารถพับครึ่งได้เสมือนการพับกระดาษ โดยในปี ค.ศ. 2011 (พ.ศ. 2554) Samsung ถือเป็นเจ้าแรกที่เริ่มพูดถึงเรื่องหน้าจอที่สามารถโค้งงอได้, พับได้, ม้วนได้ แต่ไม่ได้ผลิตจริงจนกระทั่งในปี ค.ศ. 2018 (พ.ศ. 2561) ที่มีการเปิดตัวมือถือพับได้เป็นครั้งแรก
เครดิตภาพ : https://solvedquestion.com/the-top-folding-samsung-smartphones-right-now-2021/
จริง ๆ แล้ว เรื่องหน้าจอยืดหยุ่นไม่ได้จัดเป็นเรื่องใหม่อะไร ทว่า บรรดาบริษัทผู้ผลิตทั้งหลายก็พยายามพัฒนาหน้าจอแบบที่ว่านี้ขึ้นมา เพื่อให้อุปกรณ์ที่ถูกใส่หน้าจอนี้เข้าไป สามารถทำให้เกิดประโยชน์ในการใช้งานได้สูงสุด แต่ก็ใช้เวลาอยู่หลายปีเหมือนกัน เราถึงเพิ่งจะได้เริ่มเห็นการวางขายอย่างจริงกับมือถือเรือธงจาก Samsung ที่เป็นฝาพับทั้งในแบบแนวตั้งและแนวนอน
และนอกจากที่ Samsung จะหันมาจับตลาดเรื่องมือถือพับได้แล้ว ยังมี Microsoft ที่เคยออกวางขายมือถือประเภทนี้ด้วยเช่นกันในปี ค.ศ. 2019 (พ.ศ. 2562) ในชื่อ Microsoft Surface Duo ที่มีลักษณะแตกต่างออกไปจาก Galaxy Fold ตรงที่ Surface Duo นั้นจะมีลักษณะเหมือนมือถือสองเครื่องประกบกัน และเปิดปิดคล้ายหนังสือ รวมทั้งมีปากกาสไตลัสให้ใช้ด้วย
เครดิตภาพ : https://www.xda-developers.com/microsoft-surface-duo-review/
|
เกมเมอร์หญิงทาสแมว ถ้าอยู่กับแมวแล้วจะน้วยแมวทั้งวัน |