สำหรับผู้ใช้งาน ระบบปฏิบัติการ Windows อาจคุ้นเคยกับคุณสมบัติของ โหมดเกม (Game Mode) กันมาตั้งแต่ Windows 10 แล้ว มันคือ โหมด หรือ ระบบ ที่ได้ออกแบบมาสำหรับเกมเมอร์ (นักเล่นเกม) ซึ่งจะช่วยให้ผู้เล่นได้รับประสบการณ์ในการเล่นเกมที่ดีมากยิ่งขึ้น แม้คอมพิวเตอร์เหล่านั้นจะมีอายุการใช้งานมากเพียงใด จนกระทั่งทุกวันนี้พอมี Windows 11 เข้ามาคุณสมบัติของ Game Mode ก็ยังคงอยู่
สำหรับใครที่สงสัยว่า Game Mode ทำงานอย่างไร หรือ ใช้งานอย่างไรบน ระบบปฏิบัติการ Windows 11 บทความนี้เราจะมาอธิบายให้ทุกคนฟัง พร้อมกับตอบคำถามที่หลายคนสงสัยว่า จริง ๆ แล้ว Game Mode มันช่วยได้จริงหรือเปล่า ? มาดูกัน
Game Mode คือ คุณสมบัติที่มีมาใน Windows 10 และ Windows 11 ที่ออกแบบมาเพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการเล่นเกมให้กับผู้ใช้ เครื่องคอมพิวเตอร์ PC แต่เดิมเป็นฟีเจอร์บนเครื่อง Xbox One ก่อนถูกนำมาใช้บนเครื่อง PC ด้วยนั่นเอง
โดยจุดมุ่งหมายของ Game Mode คือ การแก้ปัญหาเรื่อง Frame Rate หรือ Frame per Second (FPS) และทำให้ผู้เล่นได้รับประสบการณ์ในการเล่นที่ดีมากกว่าเดิม ลื่นไหลต่อเนื่อง ไม่ถูกขัดจังหวะในช่วงเวลาสำคัญ
ข้อมูลเพิ่มเติม : Frame Rate กับ Refresh Rate คืออะไร ? และ แตกต่างกันอย่างไร ?
ซึ่งถ้าเราเปิดใช้ Game Mode มันก็จะเข้าไปจัดลำดับความสำคัญของการใช้ทรัพยากรบนเครื่อง โดยลดการดึงทรัพยากรอย่าง หน่วยประมวลผลกลาง (CPU) และ การ์ดจอ (Graphic Card) จากโปรแกรมต่าง ๆ ที่ทำงานอยู่เบื้องหลัง มาให้กับเกมของคุณแทน
และนอกจากนี้แล้ว Game Mode ยังสามารถหยุดการอัปเดตไดรเวอร์อัตโนมัติของ Windows Update และหยุดการอัปเดตข้อมูลใหม่ ๆ จากแอปพลิเคชันที่ทำงานอยู่เบื้องหลังได้ด้วย จุดนี้เองที่ทำให้การเล่นเกมมีความลื่นไหลกว่าเดิม ปัญหาเรื่องการตบบอสแพ้ตอนเฟรมเรทตกก็จะหมดไป
อย่างไรก็ตาม หลายคนอาจเข้าใจผิดว่า Game Mode จะไปช่วยบูทประสิทธิภาพสูงสุดของการ์ดจอได้ แต่ความจริงไม่ใช่ มันแค่ช่วยป้องกันเฟรมเรทตกเท่านั้น และจุดประสงค์หลักในการออกแบบ ก็คือการช่วยเหลือเหล่าเกมเมอร์ให้ได้เล่นเกมที่ตัวเองรัก แม้ว่าเครื่องจะผ่านการใช้งานมานานแล้วจนประสิทธิภาพดรอปลงนั่นเอง ดังนั้นหากนำเครื่องที่มีสเปกสูงอยู่แล้วมาใช้กับ Game Mode คุณอาจไม่ค่อยได้เห็นผลต่างที่ชัดเจนเท่าไหร่
อันที่จริง ทั้งระบบปฏิบัติการ Windows 10 และ Windows 11 ระบบ Game Mode จะถูกตั้งค่าเปิดใช้งานเป็นค่าเริ่มต้น (Default) อยู่แล้ว ถ้าผู้ใช้ไม่ได้เผลอไปปิดเข้า แต่สำหรับใครที่อยากรู้วิธีเปิดใช้ ก็สามารถทำตามขั้นตอนได้ง่าย ๆ
หน้าต่างเมนู Settings บน Windows 11
ภาพจาก : https://www.digitalcitizen.life/game-mode-windows/
ส่วนการเข้าบน ระบบปฏิบัติการ Windows 10 ก็ไม่แตกต่างเท่าไหร่ ให้กด "ปุ่ม Windows + i" เหมือนเดิม จากนั้นไปที่ "หมวด Gaming" และเลือก "เมนูย่อย Game Mode" เพื่อเลื่อนแถบเปิดเช่นเดิม
หน้าต่างเมนู Settings บน Windows 10
ภาพจาก : https://www.digitalcitizen.life/game-mode-windows/
ข้อจำกัดอย่างหนึ่งของ Game Mode คือ บางเกมที่ Windows ไม่รู้จัก Game Mode จะไม่สามารถดึงทรัพยากรไปให้ได้ และน่าเสียดายที่สุดคือทาง Microsoft ไม่ได้ระบุรายชื่อเกมที่รองรับด้วย ดังนั้นจึงไม่มีวิธีที่จะบอกได้อย่างชัดเจนว่าเกมที่คุณเล่นอยู่นั้นรองรับ Game Mode หรือไม่ แต่อย่างน้อยคุณก็สามารถเปิดใช้ได้ตลอด มันไม่ได้มีข้อเสียอะไร
ขอสารภาพว่า ผู้เขียนตั้งใจจะทดสอบด้วยตัวเองบนโน้ตบุ๊คเกมมิ่งที่ใช้งานอยู่เป็นประจำ และ นำประสบการณ์จริงมาบอกต่อ แต่เนื่องจากผลลัพธ์ที่ออกมา คือ ความแตกต่างระหว่างเปิดกับปิด Game Mode ไม่ชัดเจน ไม่ค่อยเห็นผลเลย ทำให้ไม่สามารถสรุปอะไรให้ผู้อ่านได้จริง ๆ
แต่ถ้าดูจากคลิปการทดสอบโดยช่อง YouTube ช่อง "Benchmark" ที่นำ 8 เกมมาทดสอบฟีเจอร์ Game Mode บน Windows 11 ผลก็เป็นดังคลิปต่อไปนี้
สเปกเครื่องที่ช่อง Benchmark ใช้คือ intel Core i7-10700K และการ์ดจอ Nvidia GeForce RTX 3090 24 GB.
จากในคลิปฝั่งซ้ายคือภาพที่ปิดใช้งาน Game Mode ส่วนฝั่งขวาคือภาพที่เปิดใช้งาน Game Mode ซึ่งหากวัดจากค่า Avg FPS หรือค่าเฉลี่ยของ FPS จะพบว่าฝั่งขวาที่เปิด Game Mode มีค่าเฉลี่ย FPS ที่สูงกว่าประมาณ 2 - 10 หน่วย แสดงว่าหลังจากเปิด Game Mode แล้วทำให้ประสิทธิภาพของเฟรมเรทมีความเสถียรมากกว่า และไม่แกว่งจนค่าเฉลี่ยตกไปเยอะ
จริง ๆ ถ้าถามว่าด้วยความต่างแค่นี้ จะมีผลต่อเกมหรือไม่ ผู้ใช้คงตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า "ไม่" แหล่ะครับ แต่อย่างที่บอกเอาไว้ว่า จุดประสงค์จริง ๆ ของ Game Mode คือ เขาตั้งใจทำออกมาสำหรับสเปกของเครื่องที่ตกรุ่น หรือ สเปกที่ไม่สูงมากอยู่แล้ว ถ้าได้ทดสอบกับคอมพิวเตอร์หรือโน้ตบุ๊คเก่า ๆ ของท่านเอง อาจจะได้ผลลัพธ์ที่ชัดเจนมากกว่านี้
สุดท้ายนี้ ขอนอกประเด็นไปจาก Game Mode ที่มีอยู่ บนระบบปฏิบัติการ Windows เพราะหลายคนมีคำถามว่า TV ยุคนี้มักจะมี Game Mode มาให้ในการตั้งค่าด้วย แล้ว Game Mode บน TV มันทำอะไรได้ ?
คำตอบคือ เมื่อเราเปิดใช้ Game Mode บนโทรทัศน์ (TV) ระบบมันจะเข้าไปตัดกระบวนการทำงานบางอย่าง เช่น การปรับสี และ ลดทอนเอฟเฟคอื่น ๆ เพื่อทำให้ภาพบนหน้าจอทีวีสามารถตอบสนองต่อการควบคุมของผู้เล่นได้เร็วที่สุด (ลดค่า "Input Lag" นั่นเอง) อธิบายง่าย ๆ คือ ทำให้จอทีวีเน้นแสดงผลเร็วขึ้น แทนที่จะมาเพิ่มภาพกราฟิก ให้ดูสวยเกินความจำเป็น นั่นเองครับ
|
งานเขียนคืออาหาร ปลายปากกา ก็คือปลายตะหลิว |