เชื่อว่าหลายคนน่าจะคุ้นเคยกับคำว่า "Windows 32-Bit" และ "Windows 64-Bit" กันเป็นอย่างดี แต่บางคนก็นิยมเรียก Windows 32-Bit ว่า "Windows x86" ในขณะที่เรียก Windows 64-Bit ว่า "Windows x64" แล้วเคยสงสัยไหมว่าเจ้า Windows 32-Bit นั้นเอาเลข "86" มาจากไหนกันนะ ? มาหาคำตอบกันในบทความนี้ได้เลย
ก่อนที่จะไปถึงจำนวน Bit ที่หลาย ๆ คนสงสัยกันนั้นเราก็น่าจะต้องทำความเข้าใจกับคำว่า "Bit" กันก่อน โดยคำว่า "Bit" ที่เราเห็นกันนี้ก็เป็นคำย่อของคำว่า "Binary Digit" หรือ "เลขฐานสอง" ที่ประกอบไปด้วยค่าที่เป็นไปได้คือ 0 (ปิด) และ 1 (เปิด) ซึ่งคำว่า Bit นี้ก็ได้นำเอามาใช้เรียกหน่วยย่อยข้อมูลที่เล็กที่สุดในระบบคอมพิวเตอร์ โดยการแสดงค่าของ Bit ก็จะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ตามตัวเลขของ Bit เช่น 2 Bits สามารถแสดงค่าได้สูงสุดที่ 4, 3 Bits แสดงค่าได้สูงสุดที่ 8 เพิ่มขึ้นไปเรื่อย ๆ และตัวเลข 32-Bit และ 64-Bit ก็แสดงถึงความสามารถในการประมวลผลโดยรวมของคอมพิวเตอร์นั่นเอง
ภาพจาก : https://www.codespot.org/32-Bit-and-64-Bit-cpu/
ย้อนกลับไปในช่วงยุค 90 ที่ได้มีการพัฒนาระบบประมวลผลแบบ 32-Bit ขึ้นมาใช้งานแทนที่ หน่วยประมวลผลกลาง (CPU) แบบ 16-Bit ก็ทำให้ความสามารถในการประมวลผลของคอมพิวเตอร์ก้าวกระโดดไปไกลจากเดิม เพราะมันสามารถใช้งาน หน่วยความจำ RAM ได้สูงสุดถึง 2^32 หรือ 4,294,967,296 Bytes เลยทีเดียว (ถือว่าประมวลผลได้ดีมากในสมัยนั้น) และเมื่อดูจากจำนวนตัวเลขการประมวลผลของ CPU แบบ 32-Bit แล้วก็จะเห็นว่าไม่มีค่าตัวเลข "86" โผล่มาให้เห็นเลยแม้แต่น้อย
โดย CPU ที่ใช้งานสถาปัตยกรรมแบบ 32-Bit นี้ก็มีชื่อเรียกต่างกันออกไปตามที่ทางบริษัทผู้ผลิตได้ตั้งขึ้น ไม่ว่าจะเป็น ARM, MIPS, PowerPC, SPARC และรหัสเจ้าปัญหาอย่าง "x86"
ในเมื่อสถาปัตยกรรมแบบ 32-Bit นั้นมีชื่อเรียกแตกต่างกันออกไป แล้วตัวเลข "86" กับคำว่า "x86" นั้นมาจากไหน ทำไมถึงได้ยินคนนิยมเรียก Windows 32-Bit (x86) กันนะ ? คำตอบก็คือคำว่า "x86" นั้นมาจากบริษัทผลิต CPU ชื่อดังอย่าง "Intel" นั่นเอง
ที่น่าสนใจคือทาง Intel ไม่ได้เพิ่งมาเริ่มใช้งานเลขรหัส "86" ใน CPU แบบ 32-Bit ที่เราคุ้นเคยกันดี แต่กลับเริ่มใช้งานสถาปัตยกรรมที่มีเลขรหัสลงท้ายด้วย "86" มาตั้งแต่ CPU แบบ "16-Bit" แล้ว โดยชิปตัวแรกในรหัส 86 นั้นได้แก่ "8086" ที่พัฒนาขึ้นมาใช้งานแทนที่ Intel 8085 Microprocessor ตัวเก่านั่นเอง และถัดมาที่มีการพัฒนารุ่นใหม่ก็ได้เติม "ตัวเลขรุ่น" เข้าไปตรงกลางระหว่าง 80 และ 86 เป็น 80186 และ 80286 ที่ถือเป็น CPU รุ่น 16-Bit ที่กวาดรายได้ให้ทาง Intel เป็นจำนวนมาก
ภาพจาก : https://en.wikipedia.org/wiki/Intel_8086
เมื่อเวลาผ่านไปที่มีการพัฒนาสถาปัตยกรรมแบบ 32-Bit ขึ้นมานั้น ทาง Intel ก็ได้พัฒนาต่อยอดจากชิปตัวเดิมที่เป็นรุ่น "80286" ที่เป็น CPU แบบ 16-Bit มาเป็นรุ่น "80386" ที่เป็น CPU แบบ 32-Bit ที่ใช้งานสถาปัตยกรรมแบบใหม่แต่ยังคงความสามารถในการรันซอฟต์แวร์และโปรแกรมต่าง ๆ ที่ผลิตขึ้นมาเพื่อใช้งานรุ่นกับชิปรุ่นเก่า ๆ (16-Bit) ได้เป็นอย่างดี ดังนั้นแล้วทาง Intel จึงนับรหัสของรุ่น CPU ตัวใหม่นี้ต่อเนื่องจากรุ่นเดิมตั้งแต่รุ่น 80386 เป็นต้นไป
ดังนั้นแล้วคำว่า "x86" ที่หลาย ๆ คนคุ้นเคยกันนี้ก็หมายถึง "(ลำดับตัวเลขรุ่น)86" ของ CPU ที่ใช้สถาปัตยกรรม "80x86" ของทาง Intel นั่นเอง แต่ด้วยเหตุผลใดก็ไม่ทราบได้ที่มีการลดทอนคำเรียกจาก "80x86" เหลือเพียงแค่ "x86" และเนื่องจาก CPU ของ Intel นั้นเป็นที่นิยมใช้งานกันมากในหมู่ผู้ใช้ทั่วโลก จึงทำให้คำว่า "x86" ที่เป็นคำเรียกของ CPU ของค่าย Intel นั้นกลายเป็น "ชื่อเล่น" ของ Windows 32-Bit ไปโดยปริยาย
หลังจากที่เห็นชิปแบบ 32-Bit กันจนชินตาแล้วทางผู้ผลิตชิปก็ได้เข็น CPU รุ่นใหม่ออกมาที่ประมวลผลได้ดีกว่าเดิมออกมา โดย CPU รุ่นใหม่นี้ก็สามารถประมวลผลได้ที่ "64-Bit" หรือใช้งาน RAM ได้ถึง 2^64 หรือ 18,446,744,073,709,551,616 Bytes ซึ่งถือว่ามันสามารถประมวลผลข้อมูลได้มากกว่าชิปแบบ 32-Bit กว่า 4 พันล้านตัวรวมกันเลยทีเดียว (ถึงแม้ความเป็นจริงแล้วจะยังไม่สามารถทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพที่ 64-Bit แต่ก็ถือว่าแรงกว่า CPU แบบ 32-Bit หลายเท่าตัวแล้ว)
ภาพจาก : https://forum.devicebar.com/t/the-difference-between-32-Bit-and-64-Bit-operating-system-os/300
ซึ่งในขณะที่ "x86" ของ CPU แบบ 32-Bit ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับความสามารถในการประมวลผล คำว่า "x64" ของ 64-Bit นั้นก็สื่อถึงจำนวน bus รับ - ส่งสัญญาณภายในของ CPU แบบ 64-Bit โดยตัวอักษร "x" ด้านหน้าตัวเลข "64" นี้ก็มาจากการที่ CPU แบบ 64-Bit นั้นถูกพัฒนาขึ้นมาโดยอิงระบบของ Windows x86 (32-Bit) เป็นหลัก จึงมีชื่อเรียกเต็ม ๆ ว่า "Windows x86-64 Bit" หรือ Windows x86 เวอร์ชัน 64-Bit
โดยบริษัทแรกเริ่มที่พัฒนา CPU ที่สามารถใช้งาน Windows x86 เวอร์ชัน 64-Bit นี้ไม่ใช่ Intel แต่เป็นทาง "AMD" ต่างหาก บางครั้งเราจึงอาจพบเห็นคำว่า "AMD64" ผ่านตากันมาบ้าง แต่โดยรวมแล้วก็นิยมเรียกกันว่า "Windows x64" ที่เป็นการตัดทอนคำว่า Windows x86-(64 Bit) กันเสียมากกว่า
นอกเหนือไปจาก CPU แบบ 64-Bit แล้วนั้น บางคนก็อาจเคยเห็นข่าวของ CPU แบบ 128-Bit หลุดออกมาให้ตื่นเต้นกันบ้างแล้ว (แต่ก็ยังไม่น่าได้ใช้งานกันเร็ว ๆ นี้หรอกนะ)
ข้อมูลเพิ่มเติม : CPU แบบ 128 บิต ต่างจาก CPU 64 บิต อย่างไร ? แล้วเราจะมีโอกาสได้เห็นไหมนะ ?
ในส่วนของผู้ที่ต้องการเช็คว่า CPU ของคอมพิวเตอร์ ที่เรากำลังใช้งานอยู่ในตอนนี้นั้นมีการใช้งาน CPU ในระบบใดก็สามารถกดเปิด "เมนู System" ได้ด้วยการกดที่ "ปุ่ม Windows + X" แล้วเลือกที่ "System" หรือเปิด "Settings" แล้วคลิกไปที่ "เมนู About" จากนั้นมองหาคำว่า "System Type" ก็จะสามารถเช็คได้ว่าคอมพิวเตอร์ของเราใช้งาน CPU แบบใดได้แล้ว
|
ตัวเม่นผู้รักในการนอน หลงใหลในการกิน และมีความใฝ่ฝันจะเป็นนักดูคอนเสิร์ตแต่เหมือนศิลปินที่ชื่นชอบจะไม่รับรู้ว่าโลกนี้มียังประเทศไทยอยู่.. |