คิดว่าหลายคนน่าจะเคยมีความคิด อยากพกโปรแกรมที่ตัวเองใช้งานเป็นประจำ ติดตัวไปใช้งานบนคอมพิวเตอร์เครื่องไหนก็ได้โดยไม่ต้องติดตั้ง หรือไม่ก็แค่อยากสำรองบางโปรแกรมไว้ใช้ยามฉุกเฉิน คำตอบที่คุณมองหาอยู่มันก็มีอยู่นะ นั่นคือ "Portable Application" หรือหากแปลเป็นไทยก็คือ "แอปพลิเคชันแบบพกพา" นั่นเอง
ในโลกดิจิทัล ความยืดหยุ่น และความคล่องตัว เป็นความต้องการด้านการใช้งานคอมพิวเตอร์ที่สำคัญมาก เมื่อเราต้องใช้งานหลายอุปกรณ์ และทำงานจากหลากหลายสถานที่ แนวคิดของโปรแกรมที่สามารถพกพาไปใช้งานได้ทุกที่ จึงน่าสนใจมากขึ้นเรื่อย ๆ
แอปพลิเคชันแบบพกพา (Portable Application) ได้เข้ามาช่วยเติมเต็มช่องว่างระหว่าง "ซอฟต์แวร์ที่ต้องติดตั้งแบบดั้งเดิม" กับบริการที่อยู่บนระบบ คลาวด์ (Cloud) มันกลายเป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ใช้งานที่ต้องการความคล่องตัวในการทำงาน เพราะสามารถ "พก" แอปพลิเคชันติดตัวไปได้ใช้งานได้ทุกที่ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ? หรือใช้เครื่องใดทำงานก็ตาม ในบทความนี้ เรามาทำความรู้จักกับ Portable Application ให้มากขึ้นกัน
แอปพลิเคชันแบบพกพา (Portable Application) หรือบางครั้งก็ถูกเรียกว่า ซอฟต์แวร์แบบสแตนด์อโลน (Standalone Software) หมายถึง โปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่ถูกออกแบบมาให้สามารถทำงานได้โดยไม่ต้องติดตั้งซอฟต์แวร์ก่อนการใช้งาน ผู้ใช้จึงสามารถเพิ่ม, ใช้งาน หรือถอนการติดตั้ง ออกจากคอมพิวเตอร์ได้อย่างง่ายดายโดยไม่ต้องตั้งค่าใด ๆ และไม่มีผลกระทบต่อตัวระบบปฏิบัติการแม้แต่นิดเดียว
ตามปกติแล้ว Portable Application มักจะเก็บข้อมูลที่ผู้ใช้สร้างขึ้น และการตั้งค่าต่าง ๆ ไว้ในโฟลเดอร์เดียวกันกับตัวโปรแกรม คุณสมบัติสำคัญที่ทำให้ Portable Application มีความแตกต่างจากซอฟต์แวร์ทั่วไปคือ มันจะไม่มีการทิ้งร่องรอยเอาไว้ในระบบเครื่องที่ใช้งาน, ไม่มีการแก้ไข รีจิสทรี (Registry) ของ ระบบปฏิบัติการ (OS) หรือคัดลอกไฟล์ลงในระบบ ซึ่งช่วยให้สามารถย้ายโปรแกรม, ข้อมูล และการตั้งค่า ของผู้ใช้งาน ไปยังเครื่องอื่นได้โดยสะดวก
เราสามารถจัดเก็บ Portable Application ไว้ในอุปกรณ์เก็บข้อมูลชนิดใดก็ได้ เช่น หน่วยความจำภายใน ไม่ว่าจะเป็น ฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์ (HDD), ซอลิดสเตตไดรฟ์ (SSD), Network-Attached Storage (NAS), ระบบคลาวด์ (Cloud), อุปกรณ์เก็บข้อมูลภายนอก เช่น แฟลชไดรฟ์ (Flash Drive) หากเป็นโปรแกรมประเภทที่ไม่จำเป็นต้องเก็บข้อมูลการตั้งค่า ก็สามารถเก็บไว้ในสื่อที่สามารถอ่านได้อย่างเดียว เช่น CD-ROM หรือ DVD-ROM ได้
โปรแกรมหลายตัว ทางผู้พัฒนาได้ทำออกมาให้มีทั้งเวอร์ชันที่ต้องติดตั้ง (Install) และเวอร์ชันแบบพกพา (Portable) ให้ผู้ใช้งานได้ตัดสินใจเลือกใช้ตามใจชอบ สำหรับโปรแกรมที่ทางผู้พัฒนาทำออกมาแค่แบบต้องติดตั้งก่อน ผู้ใช้ก็ยังคงสามารถใช้วิธีการอื่นเข้ามาช่วย เพื่อทำให้มันกลายเป็นโปรแกรมแบบ Portable ได้เช่นกัน
แม้ว่า Portable Application จะมีความสะดวก และข้อดีที่น่าสนใจหลายอย่าง แต่มันก็มีข้อจำกัดเช่นกัน ซอฟต์แวร์บางตัวยังจำเป็นต้องติดตั้งก่อน เนื่องด้วยโปรแกรมบางตัวอาจมีขนาดใหญ่, ซับซ้อนเกินกว่าที่จะให้ทำงานแบบพกพาได้ หรือต้องใช้ฟีเจอร์บางอย่างของระบบปฏิบัติการ Windows ในการทำงานด้วย เช่น
ระบบควบคุมบัญชีผู้ใช้ของ Windows (User Account Control) จะไม่สามารถทำงานกับ Portable Application ได้ ซึ่งทำให้แอปพลิเคชันเหล่านี้ถูกจำกัดเพราะไม่สามารถทำงานในระดับ ผู้ดูแลระบบ (Administrator) ได้ ข้อนี้อาจมองได้ทั้งเป็นข้อดี และข้อเสีย ข้อดีคือ เราสามารถรันโปรแกรม Portable Application ได้ แม้จะอยู่ในระบบที่ไม่อนุญาตให้ผู้ใช้ติดตั้งซอฟต์แวร์เพิ่มเติมได้ ส่วนข้อเสียคือ ระบบ IT และมาตรการรักษาความปลอดภัยที่องค์กรกำหนดไว้ อาจไม่สามารถควบคุมซอฟต์แวร์เหล่านี้ได้เต็มที่
ข้อเสียอีกอย่างคือ Portable Application มักไม่ได้ออกแบบมาเพื่อรองรับผู้ใช้งานหลายคน ซึ่งอาจไม่ใช่ปัญหาใหญ่ เพราะส่วนใหญ่ผู้ใช้มักใช้งานเองเพียงลำพังอยู่แล้ว ในกรณีที่มีผู้ใช้งานหลายคน ก็จะต้องใช้การตั้งค่าเดียวกันทั้งหมด หรือไม่ก็ต้องทำซ้ำโฟลเดอร์หลายชุดแทน
สุดท้าย ในกรณีที่เก็บซอฟต์แวร์ไว้ในไดร์ฟภายนอก ควรระมัดระวังในการถอดอุปกรณ์ออก โดยควรใช้วิธี Eject อย่างถูกต้อง ไม่ควรดึงออกทันที เพราะอาจทำให้ซอฟต์แวร์เสียหาย หรือการบันทึกข้อมูลยังไม่เสร็จสมบูรณ์
|
แอดมินสายเปื่อย ชอบลองอะไรใหม่ไปเรื่อยๆ รักแมว และเสียงเพลงเป็นพิเศษ |