ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่มีการใช้งาน สมาร์ทโฟน (Smartphone) ซึ่งเราคิดว่าก็น่าจะมีกันทุกคนนะ เพราะทุกวันนี้สมาร์ทโฟนแทบจะเป็นปัจจัยที่ 5 ของมนุษย์ไปแล้ว แต่รู้หรือไม่ว่า ? ในสมาร์ทโฟนที่เราใช้งานกันอยู่ทุกวันนี้ ต่อให้เป็นรุ่นใหม่ล่าสุดก็ตาม ยังมีความจำเป็นในการทำงานต้องพึ่งพาเทคโนโลยีสุดโบราณที่ใช้กันมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1991 (พ.ศ. 2534) อยู่เลย ลองทายสิ ว่ามันคืออะไร ?
เฉลย ... มันก็คือซิมการ์ด (SIM card) นั่นเอง !
ก่อนจะเข้าเรื่อง eSIM มาทำความรู้จักกับ SIM กันก่อนสักเล็กน้อย ...
เทคโนโลยี SIM Card ถูกคิดค้น และผลิตขึ้นที่เมืองมิวนิก (Munich) เมืองหลวงรัฐ และเมืองที่ใหญ่ที่สุดของรัฐไบเอิร์น ประเทศเยอรมนี โดยทาง Giesecke & Devrient ที่เป็นบริษัทที่เชี่ยวชาญด้านการผลิตสมาร์ทการ์ด และสื่อสิ่งพิมพ์ที่ต้องการความปลอดภัยสูง อย่าง ธนบัตร หรือเช็คธนาคาร (Cheque)
สำหรับ SIM Card เวอร์ชันแรก ๆ ที่เปิดตัวมีขนาดใหญ่เท่าบัตรเครดิต และต่อมาก็พัฒนาให้มีขนาดเล็กลงเรียกว่ามินิซิม (Mini-SIM) หรือ ซิมขนาดเล็ก นั่นเอง
ต้องอธิบายก่อนว่า โทรศัพท์เคลื่อนที่ หรือ โทรศัพท์มือถือ (สำหรับคนทั่วไป) นั้นเปิดตัวตั้งแต่ปี ค.ศ. 1983 (พ.ศ. 2526) เรียกได้ว่า เปิดตัวมาก่อน SIM Card ถึง 8 ปีเลยทีเดียว ในตอนนั้นหากคุณซื้อโทรศัพท์เคลื่อนที่มาใช้งาน หรือแม้แต่การซื้อรถที่มีระบบโทรศัพท์ฝังอยู่ด้วย ข้อมูลเบอร์โทรศัพท์จะถูกใส่เอาไว้ในตัวเครื่องมาตั้งแต่ต้นเลย หากต้องการจะเปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์ หรือย้ายค่าย ไม่สามารถทำได้เลย และถ้าอยากเปลี่ยนเบอร์เหรอ ? "ซื้อเครื่องใหม่สิ"
ทุกอย่างเริ่มเปลี่ยนแปลงไปหลังจากที่ SIM Card ถูกคิดค้นขึ้นมา
สำหรับ SIM Card นั้น จริงๆ แล้วมันก็คือ "ชิปเก็บข้อมูล" ที่สามารถทำหน้าที่บันทึกข้อมูลผู้ให้บริการ, ชื่อ และข้อมูลเบอร์โทรศัพท์เอาไว้ภายใน SIM ได้ หากผู้ใช้ต้องการเปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์ หรือเปลี่ยนเครื่อง ก็แค่ถอด SIM ออก แล้วนำไปใส่เครื่องใหม่ได้ทันที
นอกจากนี้ ตัว SIM Card ยังเก็บข้อมูลสมุดโทรศัพท์ที่บันทึกรายชื่อผู้ติดต่อเอาไว้ได้ด้วย (สูงสุด 250 รายชื่อ) แม้ว่าสมัยนี้จะไม่ค่อยมีคนบันทึกเบอร์เอาไว้ใน SIM แล้วก็ตาม แต่ในเวลานั้น มันเป็นอะไรที่เจ๋ง และอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ใช้เป็นอย่างมาก
ภาพจาก : https://vasexperts.com/blog/telecom/e-sim-harm-cure/
สำหรับไมโครซิม (Micro-SIM) และนาโนซิม (Nano-SIM) จัดว่าเป็น SIM Card รุ่นใหม่ที่ถูกพัฒนาต่อยอดมาจาก Mini-SIM โดยทำให้มีขนาดเล็กลงกว่าเดิม แต่ในทางเทคนิคแล้ว แทบไม่มีอะไรแตกต่างกันเลย โดยเราสามารถใช้กรรไกรตัดพลาสติกรอบตัวชิปของ Mini-SIM ให้มีขนาดเล็กลงเท่ากับ Micro-SIM หรือ Nano-SIM แล้วใช้งานได้ทันที
สำหรับ iPhone 4 ที่เปิดตัวในปี ค.ศ. 2010 (พ.ศ. 2553) เป็นสมาร์ทโฟนรุ่นแรกที่นำ Micro-SIM มาใช้ เชื่อหรือไม่ว่า ความจริงทาง Giesecke & Devrient ได้พัฒนา Micro-SIM ขึ้นมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 2003 (พ.ศ. 2546) โดยอธิบายว่าหากอุปกรณ์ของคุณเล็กเกินว่าที่จะใช้ Mini-SIM ได้ ก็ให้ใช้ Micro-SIM แทน
ส่วน Nano-SIM นั้น ซึ่งเป็นขนาดที่เล็กที่สุด ก็เป็น Apple อีกเช่นกัน ที่นำมาใช้เป็นรายแรกบน iPhone 5 ในปี ค.ศ. 2012 (พ.ศ. 2555) โดย Giesecke & Devrient ได้เปิดตัว SIM ขนาดใหม่นี้พร้อมกับ iPhone 5 และได้กลายเป็นขนาดมาตรฐานที่สมาร์ทโฟนส่วนใหญ่ในปัจจุบันนี้เลือกใช้งาน
แต่ในตอนนี้ เทคโนโลยีของ SIM Card ก็กำลังจะก้าวเข้าสู่ยุคใหม่อีกครั้ง ด้วยการมาของ eSIM
eSIM ย่อมาจาก Embedded-SIM (หรือจะเรียกว่า eUICC และ MFF2 ก็ได้เช่นกัน) มันเป็นเป็นเทคโนโลยีใหม่ที่ถูกคาดหวังเอาไว้ว่าจะมาแทน SIM Card พลาสติกแบบดั้งเดิม โดยมันจะเป็นซอฟต์แวร์ตัวหนึ่งที่เก็บอยู่ในชิป eUICC ซึ่งฝังเอาไว้ในตัวอุปกรณ์โดยตรง ซึ่งเป็นชิปที่มีการเข้ารหัสบรรจุเพื่อเก็บข้อมูลโปรไฟล์ของ SIM Card ของผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์
โดยภายในตัว eSIM ก็จะมีข้อมูลของผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์ ที่ได้ถูกบันทึกเก็บเอาไว้อยู่เป็นจำนวนมาก ผู้ใช้สามารถควบคุมการทำงานของ SIM ได้ผ่านซอฟต์แวร์ในตัวสมาร์ทโฟนได้อย่างง่ายดาย หากคุณต้องการเปลี่ยนหมายเลขโทรศัพท์, เปลี่ยนเครือข่ายที่ใช้งานอยู่ หรือเปลี่ยนโปรโมชัน ก็กดเข้าไปตั้งค่า eSIM ได้ทันที โดยไม่ต้องเสียเวลาถอดเปลี่ยน SIM Card นั่นเอง
ภาพจาก : https://support.apple.com/th-th/HT209044
eSIM จะเข้ามาช่วยให้การเปลี่ยนเครือข่ายเป็นเรื่องง่าย แทนที่เราจะต้องไปสั่งซื้อ SIM ใหม่ แล้วรอมันมาส่ง หรือเดินทางไปที่ศูนย์บริการให้เสียเวลา เราสามารถทำรายการผ่านระบบออนไลน์ด้วยตนเองได้เลย
เราสามารถเก็บหมายเลขโทรศัพท์เอาไว้ใน eSIM เอาไว้ได้สูงสุดถึง 6 หมายเลข และการสลับเปลี่ยนก็ทำได้ผ่านการตั้งค่าบนสมาร์ทโฟน ไม่จำเป็นต้องมาถอดสลับ SIM ให้วุ่นวาย และเสี่ยงต่อการที่ SIM จะเสีย หรือสูญหาย
สมาร์ทโฟนส่วนใหญ่สามารถใส่ได้แค่เพียง 1 SIM หรืออย่างมากก็ 2 SIM เท่านั้น แต่ด้วย eSIM เราก็จะเหมือนมีอยู่ 6 SIM เลยทีเดียว
การที่นำตัวถาดใส่ SIM (SIM Card Tray หรือ SIM Card Holder) ออกไป ทำให้มีพื้นที่ในการใส่ฮาร์ดแวร์อื่น ๆ มากขึ้น และลดช่องที่ทำให้ฝุ่น หรือน้ำสามารถเข้าไปในตัวเครื่องได้อีกทางด้วย
ซึ่งในสมาร์ทโฟนคุณอาจไม่เห็นความสำคัญของการลดพื้นที่นี้มากนักแต่ในอุปกรณ์ขนาดเล็กอย่างสมาร์ทวอทช์การใช้ eSIM จะช่วยให้การออกแบบง่ายขึ้นกว่าเดิมมาก
หากสมาร์ทโฟนของคุณพัง หากเป็น SIM แบบเดิม คุณก็แค่ถอดมันไปใส่สมาร์ทโฟนเครื่องใหม่ได้เลย แต่หากเป็น eSIM แม้ข้อมูลหลาย ๆ อย่างจะอยู่บน ระบบคลาวด์ อยู่แล้ว แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า มันมีขั้นตอนย้ายเครื่องที่ลำบากพอสมควร เพราะจะต้องมีขั้นตอนการตรวจสอบด้านความปลอดภัย โน่นนั่นนี่
สำหรับ eSIM นั้นไม่สามารถถอดออกจากตัวอุปกรณ์ได้ แต่อีกแง่หนึ่งคือ หากเครื่องของเราสูญหาย หรือโดนขโมยไป คนร้ายก็ไม่สามารถถอด SIM ออกเพื่อตัดสัญญาณได้
|
แอดมินสายเปื่อย ชอบลองอะไรใหม่ไปเรื่อยๆ รักแมว และเสียงเพลงเป็นพิเศษ |
ความคิดเห็นที่ 1
3 มิถุนายน 2566 16:14:17
|
||
GUEST |
hiki
จะเอา nano sim card มาทำ memory cpu
|
|