MagSafe เป็นเทคโนโลยีที่ผู้ใช้ Mac ของ Apple น่าจะคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี เพราะทาง Apple ได้เปิดตัวมันเป็นครั้งแรกใน MacBook Pro รุ่นแรกที่ใช้ชิป Intel แล้วใช้มันมาเกือบตลอดหลายปีที่ผ่านมา มีหายไปแค่เพียงชั่วคราวก่อนจะนำกลับมาใช้งานเหมือนเดิม MagSafe มีการพัฒนาเวอร์ชันใหม่ออกมาจวบจนถึงปัจจุบันนี้ แถมยังแตกย่อยมี MagSafe เวอร์ชันสำหรับ iPhone ด้วย
ในบทความนี้ เรามาทำความรู้จักกับเทคโนโลยีแม็กเซฟ (MagSafe) กันสักหน่อย
แรกเริ่มเดิมที MagSafe นั้นเป็นชื่อของเทคโนโลยีขั้วต่อสายชาร์จไฟเข้ากับอุปกรณ์ที่มีแม่เหล็กอยู่ในตัว พัฒนาขึ้นมาโดยบริษัท Apple Inc. เพื่อใช้ในอุปกรณ์ตระกูล MacBook รุ่นแรก (ก่อนหน้านี้โน้ตบุ๊กของ Apple ใช้ชื่อว่า iBook และ PowerBook)
โดยทาง Apple ได้เปิดตัว MagSafe ในวันที่ 10 มกราคม ค.ศ. 2006 (พ.ศ. 2549) โดยข้อดีของขั้วต่อแบบ MagSafe คือใช้พลังงานแม่เหล็กในการยึดติดกับตัวอุปกรณ์ที่ต้องการชาร์จพลังงานไฟฟ้า ซึ่งแม่เหล็กทำให้จากเดิมที่ ผู้ใช้ต้อง "เสียบ" เปลี่ยนเป็นการ "แปะ" แทน ซึ่งง่ายกว่า ไม่ต้องเล็งเยอะ เพียงแค่นำขั้วไปจ่อใกล้ ๆ มันก็ดูดติดกับ เครื่อง MacBook ให้ทันที
นอกจากนี้แล้ว มันยังช่วยป้องกันอุบัติเหตุเครื่อง MacBook ตกจากโต๊ะในกรณีที่บังเอิญมีคนมาเดินสะดุดสายชาร์จได้ด้วย เพราะแม่เหล็กของ MagSafe จะหลุดออกจากตัวเครื่องทันที ไม่ได้ลากตัวเครื่องลงมาด้วยเหมือนสายชาร์จแบบเก่าที่เสียบยึดแน่นกับตัวเครื่อง
MagSafe นั้นอยู่คู่กับ MacBook มาโดยตลอด แต่หายในช่วงระหว่างปี ค.ศ. 2016 (พ.ศ. 2559) ถึงปี ค.ศ. 2019 (พ.ศ. 2562) โดยในตอนนั้นทาง Apple ได้เปลี่ยนให้ชาร์จผ่านพอร์ต USB-C ได้เพียงอย่างเดียว ส่วนตอนนี้สามารถชาร์จได้ผ่านทั้งสองช่องทาง แล้วแต่ความสะดวกของผู้ใช้งานแล้ว
ในปัจจุบันนี้ นอกจากทาง Apple จะใช้ MagSafe กับเครื่อง MacBook แล้ว ก็ยังมีการนำเทคโนโลยีเดียวกันนี้มาใช้ iPhone ด้วย แถมยังมีข่าวลือว่าในอนาคต iPad ก็จะรองรับเทคโนโลยี MagSafe ด้วยเช่นกัน
สำหรับเทคโนโลยี MagSafe นั้นในตอนนี้มีออกมาแล้ว 3 เวอร์ชันแล้ว ดังต่อไปนี้
ปรากฏในอุปกรณ์ดังนี้
ปรากฏในอุปกรณ์ดังนี้
อย่างที่เราได้กล่าวไปแล้วข้างต้นว่า MagSafe ได้หายในช่วงระหว่างปี ค.ศ. 2016 (พ.ศ. 2559) ถึงปี ค.ศ. 2019 (พ.ศ. 2562) โดยทาง Apple ก็ไม่ได้เปิดเผยเหตุผลแต่อย่างใด แต่ก็มีการสันนิษฐานว่า เป็นเพราะ Apple ถูกฟ้องร้องจากทางซัพพลายเออร์เนื่องจากเปิดเผยขั้นตอนการผลิตชิ้นส่วนหนึ่งที่อยู่ใน MagSafe 1 ให้กับซัพพลายเออร์รายอื่น ๆ ซึ่งนับเป็นการละเมิดความลับทางการค้า แถมทาง Apple ก็แพ้คดีนี้เสียด้วย แม้ใน MagSafe 2 จะมีการออกแบบใหม่หมด แต่เหมือนทางศาลก็จะไม่ได้สนใจประเด็นนี้สักเท่าไหร่ แต่หลังจากเว้นช่วงไป 3 ปี MagSafe ก็กลับมาอีกครั้งในเวอร์ชันใหม่ MagSafe 3
Apple ได้นำ MagSafe กลับมาอีกครั้งในงาน Special event ที่มีขึ้นเมื่อวันที่ 18 ตุลาคม ค.ศ. 2021 (พ.ศ. 2564) โดยมันมาพร้อมกับ MacBook Pro ที่ใช้ชิป Apple M1 Pro และ M1 Max รวมไปถึง MacBook Air และ MacBook Pro รุ่นที่มาพร้อมกับชิป Apple M2
MagSafe 3 มีการปรับปรุงให้รองรับเทคโนโลยีชาร์จเร็วได้ด้วย เมื่อต่อกับอะแดปเตอร์ USB-C แบบ 67W, 96W หรือ 140W นอกจากนี้ตัวพอร์ตยังออกแบบใหม่ให้มีความบางมากขึ้นกว่าเดิมด้วย
ภาพจาก https://www.apple.com/th-en/shop/product/MLYV3ZA/A/usb-c-to-magsafe-3-cable-2-m
Apple มีการพัฒนา MagSafe สำหรับ iPhone ขึ้นมาด้วย แต่ทำงานแตกต่างจาก MagSafe ของ MacBook โดยแทนที่จะมีแม่เหล็กที่พอร์ต Lightning ทาง Apple ได้ออกแบบเป็นห่วงแม่เหล็กทรงกลมอยู่รอบขดลวดที่ใช้ในการสร้างสนามแม่เหล็กเพื่อชาร์จแบตเตอรี่แบบไร้สาย
ถ้าพูดให้เข้าใจง่าย ๆ เลย MagSafe สำหรับ iPhone ก็คือ การเอา Qi Wireless Charge มาเพิ่มวงแหวนแม่เหล็กนั่นเอง ซึ่งมันช่วยให้ตัว iPhone มีความแนบสนิทกับตัวชาร์จมากขึ้น เพิ่มความเร็วในการชาร์จ และไม่ทำให้อุปกรณ์หลุดออกจากกันง่าย ๆ MagSafe สำหรับ iPhone มีครั้งแรกใน iPhone 12 และใส่มาให้จนถึงรุ่นล่าสุดอย่าง iPhone 14
ภาพจาก : https://www.apple.com/shop/product/MHXH3AM/A/magsafe-charger?
ข้อดีของ MagSafe สำหรับ iPhone นอกจากเรื่องการชาร์จแล้ว ยังถูกใช้ในอุปกรณ์เสริมอีกมากมาย แทนที่จะต้องมีระบบล็อกตัวเครื่องด้วยที่หนีบ หรือมีฐานรอง แม่เหล็กของ MagSafe ทำให้การออกแบบอุปกรณ์เสริมทำได้อิสระมากยิ่งขึ้น
ภาพจาก : https://www.dpreview.com/news/6501812190/moment-launches-series-of-magsafe-mounting-accessories-for-iphone-12
ใครที่ยังไม่เคยใช้ MagSafe ก็ลองหาอุปกรณ์เสริมที่ใช้ MagSafe มาใช้งานกันดูนะครับ ไม่แน่ว่าคุณอาจจะตกหลุมรักมันก็เป็นได้
|
แอดมินสายเปื่อย ชอบลองอะไรใหม่ไปเรื่อยๆ รักแมว และเสียงเพลงเป็นพิเศษ |