Network Throttling กับ Network Prioritization คืออะไร ? และแตกต่างกันอย่างไร ?

Network Throttling กับ Network Prioritization แตกต่างกันอย่างไร ?

ทุกวันนี้มีกิจกรรมอยู่มากมายที่เราต้องพึ่งพาอินเทอร์เน็ตเพื่อให้มันทำงานได้ ซึ่งอินเทอร์เน็ตที่เราใช้งานกันก็จะมาจากทางผู้ให้บริการ อินเทอร์เน็ตบ้าน (Internet Service Provider - ISP) โดยในการบริหารทรัพยากรของระบบเครือข่ายให้มีความเสถียรภาพ ทาง ISP ก็มักจะนำเทคนิค Network Throttling กับ Network Prioritization เข้ามาช่วยควบคุมอัตราการรับส่งข้อมูลที่เกิดขึ้น เพื่อบริหารแบนด์วิธให้เพียงพอต่อความต้องการของผู้ใช้ทุกคนที่อยู่บนระบบเครือข่าย

ในบทความนี้ เราจะอธิบายเกี่ยวกับเทคนิค Network Throttling กับ Network Prioritization ว่ามันคืออะไร ? และแตกต่างกันอย่างไร ?

Network Throttling คืออะไร ?
(What is Network Throttling ?)

Network Throttling เป็นสิ่งที่สามารถเกิดขึ้นได้เมื่อทางผู้ดูแลระบบเครือข่าย (Local Network Administrator) หรือ ISP จำกัดความเร็วอินเทอร์เน็ตที่คุณสามารถใช้งานได้ เพื่อให้เป็นไปตามกฏข้อตกลงในการใช้งาน (Fair Usage Policy - FUP) หรือเพื่อควบคุมความแออัดของข้อมูลที่เกิดขึ้นบนระบบเครือข่าย ที่ต้องมีการจำกัดความเร็วในการรับส่งข้อมูล ก็เพราะว่าถ้าข้อมูลบนเครือข่ายมีปริมาณมากเกินกว่าที่แบนด์วิธที่เครือข่ายสามารถรองรับได้ จะทำให้การจราจรบนเครือข่ายเกิดความติดขัด, ความเร็วของอินเทอร์เน็ตช้าลง หรือถ้าอาการหนักมากก็ทำให้เซิร์ฟเวอร์ล่มได้เลยทีเดียว

ผู้ใช้งานหลาย ๆ คน น่าจะมีประสบการณ์การถูก Network Throttling กันมาบ้าง เพราะมันเกิดขึ้นได้ง่ายมาก เมื่อเราพาตัวเองไปอยู่ในพื้นที่ที่มีการใช้งานอินเทอร์เน็ตอย่างแออัด เช่น ที่โรงเรียน, โรงแรม, คอนเสิร์ต, สนามบิน ฯลฯ เพื่อให้ทุกคนสามารถใช้งานอินเทอร์เน็ตได้ทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน ผู้ดูแลก็จำเป็นต้องกำหนด Network Throttling เพื่อให้แบนด์วิธมีมากพอสำหรับทุกคน

ตัวอย่างง่าย ๆ แบบสุดโต่ง สมมติเครือข่ายคุณมีความเร็ว 1,000 Mbps และมีผู้ใช้งานอยู่ 100 คน หากไม่มีการจำกัดแบนด์วิธเลย สิ่งที่เกิดขึ้นก็อาจจะมีผู้ใช้คนหนึ่งที่ดาวน์โหลด Torrent ใช้ไปคนเดียวเลย 990 Mbps ทำให้อีกคน 99 คน ที่มาทีหลังต้องแย่งกันใช้ 10 Mbps ที่เหลือ ซึ่งมันก็จะช้าจนใช้งานไม่ได้ แต่ถ้าเรามีการจำกัดแบนด์วิธให้แต่ละคนใช้งานได้ไม่เกิน 10 Mbps ทุกคนก็จะสามารถใช้งานอินเทอร์เน็ตได้อย่างแน่นอน แม้จะได้ความเร็วลดลงก็ตาม

จึงเป็นเรื่องธรรมดาที่ทาง ISP อาจจะมีการใช้ Network Throttling ในช่วงที่มีผู้ใช้บริการพร้อมกันเป็นจำนวนมาก เพื่อให้ทุกคนยังคงใช้งานอินเทอร์เน็ตได้อย่างปกติ

ขออนุญาตเสริมในส่วนของ Fair Usage Policy (FUP) อีกสักเล็กน้อย มันเป็นสิ่งที่ผู้ใช้บริการอินเทอร์เน็ตบนสมาร์ทโฟนน่าจะคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี เพราะโปรโมชันของเครือข่ายสมาร์ทโฟนมักจะมีเรื่อง FUP ด้วย เช่น ใช้งานเต็มความเร็วได้ 10 GB หลังจากนั้นจะใช้งานได้ที่ความเร็ว 360 Kbps เป็นต้น นี่ก็เป็นการใช้งานประโยชน์ Network Throttling ในแง่ของการกำหนดราคาแพ็คเกจเช่นกัน แม้แต่อินเทอร์เน็ตบ้านที่ต่างประเทศก็มีการทำแบบนี้เช่นกัน แต่โชคดีที่ประเทศไทยอินเทอร์เน็ตบ้านใช้ได้แบบไร้ขีดจำกัดนะ มีการจำกัด FUP แค่บนเครือข่าย 4G/5G เท่านั้น

Network Prioritization คืออะไร ?
(What is Network Prioritization ?)

Network Prioritization คือการที่ทาง ISP เขาจะกำหนดลำดับความสำคัญให้กับประเภทของข้อมูลที่เกิดขึ้นบนเครือข่ายโดยอาศัยเทคนิคหลายอย่างในการจัดการ โดย Quality of Service (QoS) เป็นหนึ่งในเทคนิคพื้นฐานที่นิยมใช้งานกันมากที่สุดในการทำ Network Prioritization

ข้อมูลที่ต้องการความเร็วในการรับส่งข้อมูลสูง เช่น การทำวิดีโอคอล (Video call), วอยซ์คอล (Voice call) หรือเกมออนไลน์ จะถูกลำดับความสำคัญเอาไว้เป็นลำดับแรก ๆ เพื่อให้การสื่อสารเป็นไปอย่างราบรื่น ในขณะที่ข้อมูลประเภทอีเมล หรือการดาวน์โหลดไฟล์ขนาดใหญ่ สามารถรอได้ก็จะถูกลดระดับความสำคัญลงมา

ภาพจาก : https://cyberhoot.com/cybrary/quality-of-service-qos/

การทำแบบนี้จะช่วยให้ประสบการณ์ในขณะที่ใช้งานอินเทอร์เน็ต แม้ว่าจะถูก Network Throttling เอาไว้อยู่ ก็ยังคงเป็นไปด้วยดี กล่าวได้ว่า Network prioritization เป็นเทคนิคที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถใช้งานอินเทอร์เน็ตได้อย่างราบรื่นแม้ว่าการจราจรบนเครือข่ายจะมีความแออัดอยู่ก็ตาม

สรุปได้ว่า Network Throttling เป็นเทคนิคที่ใช้ลดความเร็ว เพื่อลดอัตราการใช้งานข้อมูล ช่วยให้เซิร์ฟเวอร์รับภาระน้อยลง ส่วน Network Prioritization เป็นการจัดลำดับความสำคัญของข้อมูล อะไรที่ต้องการความเร็วสูงก็จัดการเรื่องนั้นก่อน อะไรที่รอได้ก็ลดความสำคัญลง