เมื่อไม่นานมานี้ เราได้ทำบทความเปรียบเทียบ Android Auto กับ Android Automotive ไป ไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้ว เราคิดว่าก็ควรเล่าถึง Apple CarPlay ที่เป็นระบบช่วยควบคุมสมาร์ทโฟนบนรถเหมือนกัน แถมมันยังเป็นระบบที่มาก่อนอีกด้วย เพราะ Apple พัฒนาระบบที่ทำให้รถ สามารถสื่อสาร และควบคุมสมาร์ทโฟนเป็นรายแรก ๆ หลังจากพัฒนาอยู่หลายปีในที่สุดมันก็กลายมาเป็น CarPlay
ในยุคก่อนปี ค.ศ. 2010 (พ.ศ. 2553) ผู้ผลิตรถยนต์ ได้ริเริ่มที่จะใส่หน้าจอเข้าไปในรถ โดยมาพร้อมกับแอปพลิเคชันต่าง ๆ เพื่อให้มันแทนที่จะเป็นแค่เครื่องเล่น แผ่น CD และ หน้าจอ LCD ขนาดเล็กที่แสดงข้อมูลอะไรไม่ได้มาก ช่วงนั้นก็จะมี Microsoft ที่ร่วมมือกับผู้ผลิตรถช่วยสร้างแอปพลิเคชันให้ อย่างเช่น ระบบแผนที่นำทาง (Navigation System), ฟังเพลง, ช่วยขับขี่ ฯลฯ
ระบบแผนที่ของรถในยุคแรก ๆ
ภาพจาก : https://www.carexpert.com.au/car-news/how-in-car-gps-found-its-feet
แต่ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป เมื่อ Apple เปิดตัว CarPlay ระบบใหม่ที่ทำให้ iPhone สามารถแสดงข้อมูลบนหน้าจอในรถได้ และกลายเป็นมาตรฐานหลักที่รถแทบทุกคันในปัจจุบันนี้รองรับ
ในบทความนี้เราเลยอยากมาเล่าถึงความเป็นมาของ CarPlay จาก Apple ให้ได้อ่านกัน
บริษัท Apple ได้เปิดตัว CarPlay ในปี ค.ศ. 2014 (พ.ศ. 2557) ในฐานะของระบบที่ทำหน้าที่เชื่อมต่อ iPhone เข้ากับหน้าจอแสดงผลภายในรถ มันประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก รถกว่า 80% ทั่วทั้งโลกรองรับระบบนี้ และจากการสำรวจความนิยมภายในประเทศสหรัฐอเมริกา ก็มีถึง 23% ที่ลงความเห็นว่า CarPlay มันเป็นลูกเล่นที่ "ต้องมี" และอีก 56% ที่ให้ความสนใจ
CarPlay อาจจะไม่ใช่ผลิตภัณฑ์ที่สร้างรายได้ หรือทำกำไรให้กับ Apple โดยตรง แต่มันก็เป็นระบบที่ช่วยขยายฐานผู้ใช้งาน iPhone ได้ แถมยังเป็นรากฐานเผื่อในอนาคตที่ Apple ต้องการจะเข้าสู่วงการผลิตรถ (ซึ่งก็มีข่าวลือมานานมากแล้ว)
โดย Apple มีแนวคิดที่จะนำระบบ iOS มาใช้ภายในรถเพื่อนำเสนอระบบ Infotainment โดยเป็นการแสดงผลข้อมูลจาก iPhone ไปที่หน้าจอของรถโดยตรง เพื่อช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถรับสาย, ส่งข้อความ, ฟังเพลง, ดูแผนที่ ฯลฯ ในขณะที่ขับรถได้อย่างปลอดภัย ด้วยการควบคุม และสั่งการด้วยเสียงผ่าน Siri ทำให้ผู้ใช้ไม่ต้องวางมือจากพวงมาลัยของรถมาจับ iPhone ในระหว่างที่ใช้งาน
โดย CarPlay จะเริ่มทำงานทันทีที่ iPhone ถูกเชื่อมต่อกับรถ โดยเดิมทีจะเชื่อมต่อผ่านสาย Lightning แต่ภายหลัง ในรถบางรุ่นก็รองรับการเชื่อมต่อแบบไร้สายได้เช่นกัน เมื่อเชื่อมต่อเสร็จสิ้น หน้าจอภายในรถจะสามารถเข้าถึงข้อมูลภายใน iPhone ได้ทันที อย่างเช่น ข้อมูลผู้ติดต่อไว้สำหรับรับสาย หรือส่งข้อความ, เล่นเพลงจาก Apple Music, Spotify หรือ YouTube Music, แผนที่นำทาง, ตารางนัดหมาย ฯลฯ โดยที่ผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องตั้งค่าอะไรเพิ่มเติม
รถส่วนใหญ่ที่ผลิตหลังจากปี ค.ศ. 2015 (พ.ศ. 2558) ที่มีหน้าจอภายในรถ ส่วนใหญ่ก็จะรองรับ CarPlay ได้จากโรงงาน แต่ถ้าไม่มี ผู้ใช้ก็สามารถซื้อหน้าจอมาติดตั้งด้วยตนเองจากผู้ผลิตอุปกรณ์เสริมภายในรถได้ เช่น Sony, Pioneer, Lenwood ฯลฯ แม้แต่ Porsche ยังผลิตอุปกรณ์เสริม เพื่อให้ผู้ขับรถ Porsche รุ่นเก่าที่ผลิตในปี ค.ศ. 1960 (พ.ศ. 2503) สามารถใช้งาน CarPlay ได้
Porsche Classic Communication Management systems
ภาพจาก : https://www.porsche.com/international/accessoriesandservice/classic/genuineparts/producthighlights/pccm/
CarPlay มีคุณสมบัติในการทำงานอยู่หลายอย่าง แต่คุณสมบัติหลักของมันก็จะมีดังนี้
Siri ถือว่าเป็นหัวใจหลักในการทำงานของระบบ CarPlay เนื่องจากมันช่วยให้ผู้ขับรถควบคุมทุกอย่างได้ด้วยเสียง ทำให้ไม่ต้องใช้มือ และละสายตาจากถนนไปมอง iPhone
ผู้ใช้งานสามารถใช้ Siri ในการรับสาย, โทรออก, อ่านข้อความที่ได้รับ, ส่งข้อความ, ถามเส้นทาง, เล่นเพลงที่อยากฟัง ฯลฯ
ภาพจาก : https://www.apple.com/th/ios/carplay/
การเปิดเพลงระหว่างขับน่าจะเป็นธรรมเนียมปฏิบัติที่ไม่ว่าใครก็นิยมทำ จากอดีตที่เราต้องฟังเพลงจากวิทยุ หรือแผ่น CD เดี๋ยวนี้เรานิยมฟังผ่านบริการสตรีมมิง Apple Music, Spotify ฯลฯ ซึ่ง CarPlay ก็รองรับคุณสมบัตินี้ ช่วยให้เล่นเพลงจาก iPhone ออกลำโพงภายในรถได้อย่างง่ายดาย
ทั้งนี้ CarPlay จะไม่รองรับการรับชมวิดีโอนะ ไม่ว่าจะเป็น YouTube, Netflix ฯลฯ จากเหตุผลด้านความปลอดภัย ที่ผู้จับควรจะมองไปที่ถนนเป็นหลัก ไม่ใช้ดูหนังจากจอภายในรถ
ภาพจาก : https://www.apple.com/th/ios/carplay/
ฟังก์ชันสำคัญ และเป็นจุดเริ่มต้นของระบบ Infotainment ภายในรถอย่างแผนที่นำทาง ย่อมเป็นคุณสมบัติที่ CarPlay ไม่สามารถขาดไปได้ โดยมันสามารถรองรับแผนที่ได้หลากหลายแอปพลิเคชัน สามารถเลือกใช้ทั้ง Apple Maps, Google Maps, Waze และ Sygic โดย Siri จะคอยแจ้งเตือนการนำทางให้ด้วยเป็นระยะ
อย่างไรก็ตาม หากเลือกใช้แผนที่ Apple Maps ก็จะมีข้อได้เปรียบกว่าบางอย่าง เช่น สามารถส่งข้อมูลเส้นทางไปยังรายชื่อผู้ติดต่อที่ต้องการผ่าน Siri ได้เลย เป็นต้น
ภาพจาก : https://www.apple.com/th/ios/carplay/
CarPlay อนุญาตให้คุณรับสาย, โทรกลับสายที่ไม่ได้รับ และฟัง Vociemails ได้ นอกจากนี้ยังสามารถสั่งให้ Siri ให้โทรหาได้อย่างง่ายดาย เวลาที่มีข้อความเข้ามา Siri ก็จะอ่านข้อความดังกล่าวให้เราฟัง และเราก็สามารถตอบกลับข้อความได้ด้วยเช่นกัน
CarPlay มาพร้อมกับระบบปฏิทิน ที่สามารถแสดงเหตุการณ์สำคัญ และตารางนัดหมายที่คุณมีในวันนั้นบนปฏิทินได้ และหากในหมายนัดมีสถานที่ระบุไว้ ก็สามารถสั่งให้มันนำทางไปยังสถานที่ดังกล่าวได้ทันที
ภาพจาก : https://www.apple.com/th/ios/carplay/
หากพูดถึงไอเดียการเชื่อมต่อ iPhone เข้ากับรถนั้น มีมานานตั้งแต่ก่อนที่ Apple จะเปิดตัว CarPlay เสียอีก
ถ้าย้อนกลับไปในปี ค.ศ. 2008 (พ.ศ. 2551) เพียงปีเดียวหลังจากที่ Apple ได้เปิดตัว iPhone บริษัท Mercedes ผู้ผลิตรถชื่อดังได้เป็นผู้ผลิตรถรายแรกที่ใช้ระบบเครื่องเสียงในรถ ที่มีพอร์ตแบบ 30-พิน (พอร์ต iPhone แบบดั้งเดิมก่อนหน้าพอร์ต Lightning) โดยเป็นชุดเครื่องเสียงของ Harman Kardon รุ่น NTG 2.5 มันรองรับการเปิดเพลงจาก iPhone และ iPod สามารถเปลี่ยนเพลง และเพิ่มลดเสียงได้จากพวงมาลัย
ระบบที่ว่านี้ถือเป็นระบบเสียงภายในรถรุ่นแรก ๆ ที่พัฒนาให้ iPod และ iPhone สามารถทำงานร่วมกับเครื่องเสียงภายในรถได้ ซึ่งกลายเป็นรากฐานให้กับการพัฒนา CarPlay และทำให้ผู้ผลิตรถรายอื่น ๆ ทำตาม นำระบบเชื่อมต่อกับ iOS มาใส่ในรถของตนเองบ้าง
ภาพจาก : https://www.beyond.ca/ipod-out-car-integration-with-the-iphone-5/18109.html
แนวคิดของ CarPlay พัฒนาต่อยอดมาจากคุณสมบัติ "iPod Out" ที่มีใน iOS 4 ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่ Apple กับ BMW ร่วมมือกันพัฒนามานานหลายปี โดย iPod Out ช่วยให้รถที่รองรับการทำงาน สามารถทำหน้าที่เป็น "Host" ในการเล่นวิดีโอ และเสียงจากอุปกรณ์ iOS ได้ คุณสมบัตินี้เปิดตัวเป็นครั้งแรกในงาน WWDC 2010 และมาพร้อมกับรถ BMW รุ่นที่เปิดตัวในปี ค.ศ. 2011 (พ.ศ. 2554) โดยในขณะนั้น BMW เรียกมันว่าคุณสมบัติ PlugIn มันได้ปูทางแนวคิดการออกแบบหน้าตาของระบบ Infotainment ให้สามารถเปลี่ยนรูปแบบการแสดงผลให้เหมาะสมกับแอปพลิเคชันที่กำลังใช้งานอยู่ได้
จากความนิยมดังกล่าว Apple ก็ทำให้ความสำคัญกับระบบเชื่อมต่อ iOS กับรถมากขึ้น จึงกลายเป็นโครงการใหม่ภายใต้ชื่อ Stark โดย Eddy Cue รองประธานอาวุโสฝ่ายบริการของ Apple ได้ประกาศเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่นี้ที่งาน WWDC 2013 ในชื่อ "iOS in the Car" แต่ก็เกิดความล่าช้าในการพัฒนาจนทำให้กว่าจะได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการ ก็ต้องรอไปถึงหนึ่งปี พร้อมกับเปลี่ยนชื่อใหม่ให้สั้นลงเป็น "CarPlay" โดยมันเปิดตัวที่งานมหากรรมยานยนต์ Geneva Motor Show ในเดือนมีนาคม ค.ศ. 2014 (พ.ศ. 2557) โดยค่ายรถรุ่นแรกที่รองรับ CarPlay ในเวลานั้น ก็จะมี Ferrari, Mercedes-Benz และ Volvo
Ferrari FF รถรุ่นแรกที่รองรับ CarPlay
ภาพจาก : https://www.carwow.co.uk/guides/running/what-is-apple-carplay#gref
นับตั้งแต่ปี ค.ศ. 2016 (พ.ศ. 2559) เป็นต้นมา Apple CarPlay เหมือนเป็นมาตรฐานเริ่มต้น หรือก็เป็นตัวเลือกหนึ่งที่ผู้ผลิตรถส่วนใหญ่มีให้เลือกซื้อ
ในปัจจุบันนี้ จากข้อมูลอ้างอิงที่ Apple ได้ระบุไว้ มีรถมากกว่า 600 รุ่น ที่รองรับระบบ CarPlay โดยผู้ผลิตรถที่เข้าร่วมระบบนี้ ประกอบไปด้วยยี่ห้อดังรายการด้านล่างนี้ หากคุณซื้อรถยี่ห้อดังกล่าวหลังปี ค.ศ. 2016 (พ.ศ. 2559) ก็มีโอกาสที่รถที่คุณใช้จะสามารถใช้งาน CarPlay ได้
|
|
ข้อสังเกต เราจะเห็นว่าในลิสต์ไม่มีชื่อ Tesla รถไฟฟ้าที่มีระบบสุดทันสมัยนะ อาจจะรู้สึกแปลกที่รถระดับ Tesla ไม่รองรับ CarPlay (รวมไปถึง Android Automotive ด้วย) แต่ในความเป็นจริง ซอฟต์แวร์ของรถ Tesla ก็ทำได้ทุกอย่างอยู่แล้วด้วยตัวของมันเอง ทำให้มันไม่จำเป็นต้องใช้ CarPlay เลย
|
|
|
แอดมินสายเปื่อย ชอบลองอะไรใหม่ไปเรื่อยๆ รักแมว และเสียงเพลงเป็นพิเศษ |