แชร์หน้าเว็บนี้ :
ถ้าเป็นก่อนหน้านี้ การเลือก iPhone อาจไม่ค่อยยากเท่าไหร่ เพราะมันมีแค่ 2 รุ่น จอเล็กกับจอใหญ่ แต่ในการเปิดตัว iPhone ครั้งล่าสุดของ Apple รอบนี้มีมาถึง 3 รุ่นเลยทีเดียว นั่นก็คือ iPhone 8, iPhone 8 Plus และ iPhone X หรือการที่ราคาของ iPhone 7 และ iPhone 7 Plus ที่มีการปรับราคาลง ทำให้หลายคนยังลังเลว่าจะจัด iPhone 8 เลยดีไหม และ iPhone X จะมีดีคุ้มค่าตัวของมันหรือเปล่า ลองมาหาเหตุผลไปด้วยกันในบทความนี้ครับ โดยเราจะบอกทั้งเหตุผลที่ควรซื้อ และสาเหตุที่ไม่ควรซื้อ หวังว่าจะพอช่วยให้การตัดสินใจของคุณง่ายขึ้นก็เป็นได้
บทความเกี่ยวกับ Apple อื่นๆ
ทำไมเราถึงควรซื้อ iPhone 8?
iPhone 8 เป็น iPhone รุ่นแรกที่รองรับการชาร์จแบบไร้สาย Apple ได้ปรับหน้าตาของ iPhone รุ่นใหม่เพียงเล็กน้อย ด้วยการเปลี่ยนฝาหลังให้เป็นกระจกแทนที่จะใช้แต่อลูมิเนียม และทำให้มันรองรับเทคโนโลยีไร้สาย Qi wireless charger ซึ่งร้านคาเฟ่หลายแห่งได้มีการติดตั้งแท่นชาร์จมาตรฐานนี้ไว้ให้บริการลูกค้าอยู่แล้ว อย่างเช่น Starbuck (ในอเมริกา) หรือในรถยนต์บางรุ่น มันมาพร้อมกับหน่วยประมวลผลตัวใหม่ A11 Bionic เหมือนกับที่ใช้ใน iPhone X ซึ่งชิปตัวนี้มีความเร็วในการทำงานสูงมาก (เว็บ Geekbench ได้ทดสอบแล้วพบว่าคะแนนสูงกว่า Core i5-7360U ใน Macbook 2017 เสียอีก) และชิป A11 Bionic นี้ยังมีการปรับแต่งให้ทำงานร่วมกับ Augmented reality ได้เป็นอย่างดีอีกด้วย กล้องหลังมีความละเอียดเท่ากับ iPhone 8 Plus และ iPhone X มันมีความละเอียด 12MP f/1.8 ซึ่งเซ็นเซอร์เป็นแบบใหม่ที่ใหญ่และทำงานได้เร็วกว่ากล้อง iPhone 7 มีระบบกันสั่น OIS ในตัว สามารถบันทึกวิดีโอแบบ 4K ได้ที่ความละเอียด 24, 30 และ 60fps หน้าจอรองรับเทคโนโลยี Apple True Tone ที่สามาถรปรับค่าสี และอุณหภูมิสีให้มีความแม่นยำในสภาวะแสงทุกแบบ หน้าจอ 4.7 นิ้ว ใช้งานด้วยมือเดียวได้สะดวกกว่า iPhone 8 Plus ซึ่งจุดนี้ iPhone X ก็น่าจะใช้งานได้มือเดียวสะดวกเหมือนกัน แต่ราคามันต่างกันเกือบหมื่นเลยนะ ใช้เคสอันเดียวกับ iPhone 7 ได้ iPhone 7 มีขนาด 138.3 X 67.1 X 7.1 มม. และหนัก 138 กรัม iPhone 8 มีขนาด 138.4 X 67.3 X 7.3 มม. และหนัก 148 กรัม iPhone 7 Plus มีขนาด 158.2 X 77.9 X 7.3 มม. และหนัก 188 กรัม iPhone 8 Plus มีขนาด 158.4 X 78.1 X 7.5 มม. และ 202 กรัม ด้วยขนาดที่ต่างกันเพียงเล็กน้อย และตำแหน่งของกล้องและช่องทุกอย่างยังเหมือนเดิม เคสของ iPhone 7 "ส่วนใหญ่" จึงสามารถใช้งานกับ iPhone 8 ได้โดยไม่มีปัญหา ทำไมเราถึงไม่ควรซื้อ iPhone 8? ยุคนี้เป็นยุคของกล้องคู่ แต่ iPhone 8 มีกล้องหลังแค่ตัวเดียว ทำให้ไม่รองรับ Portrait mode (หน้าชัดหลังเบลอ) และ Portrait Lighting (เปลี่ยนแสงบนใบหน้า) หน้าจอ 4.7 นิ้ว มีขนาดที่เล็กและความละเอียดต่ำ (1334x750) กว่า iPhone 8 Plus และ iPhone X ถ้าเราชอบรับชมวิดีโอหรืออ่าน E-Book บน iPhone หน้าจอของ iPhone 8 อาจจะเล็กเกินไป แบตเตอรี่มีขนาดเล็กที่สุดในบรรดา iPhone รุ่นใหม่ทั้งหมดที่เปิดตัว คนที่ใช้งานหนักๆ อาจไม่สามารถใช้งานได้เต็มวัน ทำไมเราถึงควรซื้อ iPhone 8 Plus?
นอกเหนือจากขนาดของหน้าจอที่ใหญ่กว่าแล้ว สิ่งที่สำคัญ คือ iPhone 8 Plus สามารถทำงานได้ "เกือบ" ทุกอย่างเหมือนกับที่ iPhone X ทำได้ ซีพียูเหมือนกัน, กล้องหลังคู่เหมือนกัน รองรับ Portrait Lighting ได้เช่นกัน ขนาดของหน้าจอต่างกันแค่นิดเดียว (iPhone 8 Plus จอ 5.5 นิ้ว / iPhone X จอ 5.8 นิ้ว) มันมีปุ่ม Home ที่เราคุ้นเคย และยังมีระบบปลดล็อกหน้าจอด้วย Touch ID อยู่ สำหรับคนที่ไม่เชื่อมั่นใน Face ID หรือรู้สึกกลัวว่าแฟนจะเอา iPhone X มาแอบส่องหน้าตอนเรานอนอยู่แล้วปลดล็อกได้ ก็คงต้องเลือก iPhone 8 Plus นี่แหละ ใน iPhone ทั้งหมด 3 รุ่น iPhone 8 Plus มีแบตเตอรี่ที่อึดที่สุด เหมือนกับ iPhone 8 เคสของ iPhone 7 Plus ที่เรามีอยู่ ส่วนใหญ่สามารถนำมาใช้กับ iPhone 8 Plus ได้ด้วย ทำไมเราถึงไม่ควรซื้อ iPhone 8 Plus? ในตอนนี้มือถือระดับเรือธงนิยมทำเป็นหน้าจอแบบไร้ขอบกันหมดแล้ว ไม่ว่าจะ Samsung, LG, Xiaomi หรือ Essential รวมถึง iPhone X แต่ iPhone 8 ยังคงใช้ดีไซน์เดิมอยู่ มันก็จะให้ความรู้สึกที่ล้าสมัยเล็กๆ แม้ว่าขนาดหน้าจอจะใกล้เคียงกับ iPhone X แต่การแสดงผลของ iPhone 8 Plus ก็ยังไม่สามารถสู้กับหน้าจอ OLED แบบใหม่ใน iPhone X ได้อยู่ดี ราคาไม่ได้แตกต่างจาก iPhone X มากนัก หากเราซื้อ iPhone 8 Plus ความจุ 256GB ราคาจะต่างจาก iPhone X ความจุ 64GB แค่นิดเดียว ถ้าไม่ใช่คนที่เก็บอะไรไว้ในเครื่องเยอะแยะ iPhone X ก็ดูจะน่าสนใจกว่า ในการจ่ายเงินที่พอๆ กัน ทำไมเราถึงควรซื้อ iPhone X?
หน้าตา Apple ได้ออกแบบ iPhone X ให้ต่างไปจากเดิม พื้นที่ด้านหน้าเกือบทั้งหมดเป็นจอแสดงผลแบบ OLED ขนาด 5.8 นิ้ว รวมกับกรอบด้านข้างที่เป็นสแตนเลสสตีลอย่างลงตัว แม้ว่าหน้าจอจะใหญ่กว่า iPhone 8 Plus แต่ตัวเครื่องของ iPhone X ใหญ่กว่า iPhone 8 เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ทำให้เราใช้งานด้วยมือข้าวเดียวได้อย่างสะดวก หน้าจอ OLED ของ iPhone X ให้ค่าคอนทราสต์ที่สูงกว่า iPhone 8 Plus มาก และแสดงสีดำได้ดีกว่า อีกทั้งยังรองรับ HDR Video อีกด้วย สามารถปลดดล็อกได้ด้วยใบหน้า เพียงแค่มองไปที่ iPhone X เท่านั้น รองรับ Animoji และใช้งาน Portrait mode, Portrait Lighting ในการถ่ายเซลฟี่ได้ด้วย ซึ่ง iPhone รุ่นอื่นไม่สามารถทำได้ ค่ารูรับแสงของเลนส์เทเลในกล้องคู่ของ iPhone X ดีกว่า iPhone 8 Plus (f/2.4 vs F/2.8) ทำให้เก็บภาพในที่มืดได้ดีกว่า กล้องคู่ด้านหลังมีระบบกันสั่น OIS ในตัว ในขณะที่ iPhone 8 Plus มีกันสั่นเฉพาะในเลนส์ไวด์ ทำไมเราถึงไม่ควรซื้อ iPhone X? แพงมาก เป็น iPhone ที่แพงที่สุดที่เคยมีมา ด้วยราคา $999 คาดว่าเข้าไทยน่าจะราวๆ 36,000 - 39,000 บาท เลยทีเดียว ไม่มีปุ่ม Home และ Touch ID การปลดล็อกทุกครั้ง เราต้องมองไปที่หน้าจอ นอกเสียจากว่าเราจะนั่งพิมพ์รหัสผ่านบนจอด้วยตนเอง การใช้ Gestures ในการกลับไปยังหน้า Home หรือ Multitask ให้ความรู้สึกแปลกๆ ในช่วงแรก และการกดปุ่ม Home น่าจะเป็นอะไรที่ง่ายกว่ามาก ติ่งด้านบนกินพื้นที่แสดงผลไปเล็กน้อย ในแอปฯ มันน่าจะทำงานได้อย่างสมบูรณ์แบบ แต่การเล่นวิดีโอ หรือเล่นเกมส์ มันจะบังเนื้อหาไปส่วนหนึ่ง (ผู้เขียน : คาดว่าน่าจะมีการทำซอฟต์แวร์ให้กดเพื่อครอปการแสดงผลลงมาให้ไม่กินขอบ) สำหรับคนที่ซื้อ AppleCare+ มันมีราคาแพงกว่า iPhone รุ่นอื่น สิ่ง iPhone 8, iPhone 8 Plus และ iPhone X มีเหมือนกัน
ใช้ชิป A11 Bionic กล้องหลัก 12MP f/1.8 กล้องหน้า 7MP การบันทึกวิดีโอ 4K ที่ 60/30/24fps และ Slo-mo 1080p ที่ 240fps รองรับการชาร์จไร้สาย กระจกที่แข็งแกร่งที่สุด (Apple เขาว่างั้น) ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง กันน้ำและฝุ่นมาตรฐาน IP67 ความสว่างหน้าจอสูงสุด 625 cd/m2 รองรับ 3D Touch ชาร์จแบตฯ เร็ว หน่วยความจำ 64GB หรือ 256GB อ่านมาถึงบรรทัดนี้ คิดว่าคุณผู้อ่านคงน่าจะได้คำตอบในใจแล้วนะ ว่าจะเลือก iPhone รุ่นไหนดี :)
ที่มา : www.theverge.com