การเป็นผู้ประกอบการ นอกจากต้องรับมือกับระบบภาษีหลายประเภทแล้ว หนึ่งในภาษีที่เป็นภาระอันหนักอึ้งที่สุด ก็คือ "ภาษีหัก ณ ที่จ่าย" นั่นก็เพราะว่า จะต้องเผชิญกับเอกสารกองโต ต้องเสียค่าดำเนินการเอกสาร และต้องคอยยื่นแบบรายการให้กรมสรรพากรทุกเดือน และยังต้องจัดเก็บหลักฐานสำเนาที่เกี่ยวข้องไว้ เพื่อรอการยื่นตรวจสอบอีกครั้งในปลายปี ทุกอย่างนี้นอกจากจะทำให้ปวดหัวแล้ว ยังมีต้นทุนเข้ามาเกี่ยวข้องทั้งสิ้น
บทความนี้ เราจะมาพูดถึง ระบบภาษีหัก ณ ที่จ่ายอิเล็กทรอนิกส์ หรือ "e-Withholding Tax" นวัตกรรมใหม่แกะกล่องจากกรมสรรพากรกัน ระบบนี้คืออะไร มีผลกระทบอย่างไรกับผู้ประกอบการและผู้เสียภาษี มีใครบ้างที่เกี่ยวข้อง และต้องควรศึกษาเอาไว้
ก่อนจะพูดถึงเจ้าระบบ "e-Withholding Tax" คงมีหลายคนที่ไม่รู้จัก ว่า "ภาษีหัก ณ ที่จ่าย" คืออะไร ว่า หักอย่างไร หักเมื่อไหร่ ใครเกี่ยวข้องบ้าง แล้วใครจ่าย ในส่วนนี้อาจยาวหน่อยแต่ใครที่รู้แล้วสามารถข้ามไปได้
"ภาษีหัก ณ ที่จ่าย" ชื่อเต็มคือ "ภาษีเงินได้ หัก ณ ที่จ่าย" เป็น "เงิน" ที่ผู้ประกอบการต้อง "หัก" ไว้ก่อนจ่ายค่าตอบแทนให้ผู้รับเงิน และเงินที่ "หัก" นั้นต้องถูกส่งให้ กรมสรรพากรไม่เกิน 7 วันของเดือนต่อไป ส่วนผู้รับเงินพอถูกหักไป ก็จะไม่ได้รับเงินเต็มจำนวน แต่จะได้หนังสือรับรองการ "หัก ณ ที่จ่าย" ซึ่งออกให้โดยผู้ประกอบการ เพื่อนำไปใช้เป็นหลักฐาน ในการลดภาระผู้เสียภาษีเงินได้ช่วงปลายปี หรือ คนที่ถูกหักเงินส่วนนี้ไปแล้ว ก็สามารถขอคืนภาษีอากร กรณีเป็นผู้ถูกหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่ายไปแล้ว
โดยหลักการ ภาษีหัก ณ ที่จ่าย จะมีกำหนดอัตราไม่เท่ากัน ซึ่งจะแบ่งไปตามลักษณะของการว่าจ้าง หรือการทำธุรกรรมระหว่างผู้จ่ายเงิน และ ผู้รับเงิน เช่น
ยกตัวอย่าง "นาย อ" เป็นผู้ประกอบการ ต้องการซื้อโฆษณาสินค้าลงเว็บไซต์ของ "นาย ป" โดยตกลงราคา 100,000 บาท ก่อนจ่ายเงิน "นาย อ" มีหน้าที่หักเงิน ณ ที่จ่ายไป 2 % เพื่อนำส่งให้กรมสรรพากร ส่วน "นาย ป" ที่ถูกหักเงินไปก็จะได้รับเงินแค่ 98,000 บาท เพราะถูก "หัก ณ ที่จ่าย" ไปตามระเบียบ
ประเด็นคือนอกจาก "นาย อ" จะมีหน้าที่นำส่งเงินที่ถูกหักแล้ว ยังต้องทำเอกสารแบบแสดงรายการ ภาษีหัก ณ ที่จ่าย(ภ.ง.ด.3 / ภ.ง.ด.53) ให้กรมสรรพากร พร้อมออกหนังสือรับรอง การหัก ณ ที่จ่าย (ทวิ 50) ให้ "นาย ป" ซึ่งต้องทำสำเนาไว้หนึ่งฉบับ และเก็บตัวจริงไว้ เพื่อรอยื่นให้กรมสรรพากรอีกครั้ง นอกจากนี้ หากว่ากันตามตรง ธุรกิจหนึ่งธุรกิจ ก็ไม่ได้มีแค่ค่าใช้จ่ายเพื่อการโฆษณาเท่านั้น แต่ยังมีค่าบำรุงสำนักงาน ค่าขนส่ง และค่าอื่นๆ ซึ่งต้องมีการหักภาษี ณ ที่จ่ายก่อนทั้งนั้น ดังนั้นภาระของผู้ประกอบการก็จะทบไปตามขนาดธุรกิจ
ระบบภาษีหัก ณ ที่จ่ายอิเล็กทรอนิกส์ (e-Withholding Tax) เป็น วิธีการใหม่ในการนำส่งเงินภาษีหัก ณ ที่จ่าย ผ่าน "สถาบันการเงิน" ผู้ให้บริการระบบ แทนที่แต่เดิม ผู้ประกอบการ จะต้องยื่นแบบเป็นกระดาษหรือผ่านอินเทอร์เน็ต (e-Filing) พร้อมนำส่งภาษีตามแบบต่อกรมสรรพากร ก็สามารถดำเนินการทั้งหมด ผ่านสถาบันการเงินแทนได้ โดยไม่ต้องเขียนแบบใบหักภาษี ณ ที่จ่าย และไม่ต้องออกใบหลักฐานให้ผู้รับเงิน ทั้งสะดวกและง่ายกว่าเดิม
ซึ่งหลักฐานต่างๆ สถาบันการเงินจะเป็นผู้ออกแทนให้ และผู้ประกอบการมีหน้าที่เพียงแค่จ่ายเงินพร้อมยื่นข้อมูลรายการผ่านระบบเท่านั้น นอกจากนี้หนังสือหลักฐานรวมถึงใบเสร็จก็จะเปลี่ยนไปเป็นรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์อยู่บนระบบ e-Withholding Tax ทั้งหมด ปัญหาที่ "ผู้จ่ายเงิน" และ "ผู้รับเงิน" กังวลว่าหลักฐานจะหายก็หมดไป และคุณยังสามารถตรวจสอบได้ตลอด 24 ชั่วโมง ผ่านเว็บไซต์ของ กรมสรรพากร ได้อีกด้วยเช่นกัน
ลิงก์ตรวจสอบ
การใช้งานเว็บไซต์ เพื่อตรวจสอบหลักฐานการหักภาษี ณ ที่จ่ายคุณสามารถสมัครใช้งานได้ด้วยรหัสทะเบียนผู้เสียภาษี ได้ทันที ซึ่งการที่เอกสารทั้งหมดอยู่บนระบบของกรมสรรพากรอยู่แล้ว ผู้ประกอบการ และผู้เสียภาษีก็เหมือนได้รับการรับรองจากกรมทันที การส่งแบบภาษีปลายปี ก็จะสะดวกและรวดเร็ว ถูกต้อง มีประสิทธิภาพกว่าเดิม
เริ่มแรก ผู้ประกอบการต้องสมัครใช้บริการ e-Withholding Tax กับธนาคารผู้ให้บริการระบบก่อน ถามว่าสมัครอย่างไร ขณะนี้มีธนาคารเปิดให้บริการพร้อมอำนวยความสะดวกในการสมัครอยู่ 12 แห่ง ประกอบด้วย
โดยกระบวนการของ ระบบภาษีหัก ณ ที่จ่าย อิเล็กทรอนิกส์ e-Withholding Tax เมื่อมีการทำธุรกรรม หรือทำสัญญาว่าจ้างแล้วมีการจ่ายเงินปกติ ก็จะมีการทำผ่านธนาคาร ซึ่งทันทีที่ผู้ประกอบการได้รับใบแจ้งหนี้ กระบวนการต่อไป ก็จะเป็นดังต่อไปนี้
การเปลี่ยนไปใช้ระบบภาษีหัก ณ ที่จ่ายอิเล็กทรอนิกส์ e-Witholding Tax ไม่เพียงแต่จะทำให้ผู้ประกอบการได้ประโยชน์หลายด้าน ในการจัดการภาษี ไม่ว่าจะเป็น
นอกจากนี้ การทำธุรกรรม หรือการจ่ายเงิน ตั้งแต่วันนี้ ถึงวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2564 (ค.ศ. 2021) ผู้รับเงินยังได้รับสิทธิ์ลดภาษีหัก ณ ที่จ่าย จาก 3% เหลือ 2% ได้อีก ดังนั้นถ้าผู้ประกอบการมีการเข้าระบบอยู่ ผลพลอยได้ก็จะตกอยู่ที่ผู้เสียภาษีด้วยเช่นกัน
|
งานเขียนคืออาหาร ปลายปากกา ก็คือปลายตะหลิว |