ในยุคที่เทคโนโลยีก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันจนยากจะแยกออกไปได้ หนึ่งในนั้นคือ สมาร์ททีวี (Smart TV) ซึ่งปัจจุบันนี้ไม่เพียงแต่ใช้สำหรับดูรายการทีวีเท่านั้น แต่ยังเป็นศูนย์กลางในการเข้าถึงอินเทอร์เน็ต และบริการสตรีมมิ่งต่าง ๆ อีกด้วย
อย่างไรก็ตาม Smart TV เป็นอุปกรณ์ที่มีความหลากหลายของราคามาก ตั้งแต่ไม่กี่พันไปจนถึงหลักแสนบาท คำถามที่หลายคนอาจจะสงสัยคือ แล้วสมาร์ททีวีราคาถูก กับราคาแพงมันแตกต่างกันอย่างไร ? เพื่อช่วยให้คุณตัดสินใจได้อย่างมีเหตุผล และคุ้มค่าที่สุดในการเลือกซื้อ Smart TV ที่ตรงกับความต้องการของคุณ
เริ่มกันที่ความแตกต่างที่เห็นได้อย่างชัดเจนที่สุดระหว่างสมาร์ททีวีระดับไฮเอนด์ และสมาร์ททีวีระดับเริ่มต้น นั่นก็คือราคา สมาร์ททีวีระดับเริ่มต้นโดยทั่วไปในปัจจุบันนี้มีราคาเริ่มต้นเพียงไม่กี่พันบาท ส่วนระดับไฮเอนด์ หรือเรือธง ก็มีอยู่ที่หลายแสนบาทเลยทีเดียว ขึ้นอยู่กับยี่ห้อ และสเปคที่ใส่เข้ามา นอกจากนี้ ช่วงราคาที่ห่างกัน ยังสะท้อนถึงความแตกต่างในด้านวัสดุ, คุณภาพการประกอบ, ประสิทธิภาพ และลูกเล่นต่าง ๆ
สมาร์ททีวียี่ห้อเดียวกัน ยังมีระดับราคาที่แตกต่างกันมาก
ภาพจาก : https://shopee.co.th/lg_officialstore?order=desc&page=0&shopCollection=110289314&sortBy=price&tab=0
มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญ ในคุณภาพของการแสดงผลระหว่างสมาร์ททีวีระดับเรือธง และระดับเริ่มต้น โดยในรุ่นที่มีราคาถูก ส่วนใหญ่ผู้ผลิตจะเลือกใช้พาเนล หน้าจอ LED หรือ LCD แบบมาตรฐาน แม้ว่าจะมันก็เป็นพาเนลที่ให้คุณภาพการแสดงผลที่เหมาะสมสำหรับการใช้งานทั่วไป แต่ในด้านคุณภาพ หรือความสวยงามในการแสดงผลแล้ว มันทำได้ไม่ดีนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการแสดงผลสีดำ เมื่อเทียบกับสมาร์ททีวีระดับเรือธงที่เลือกใช้หน้าจอ OLED, QLED หรือใส่เทคโนโลยี Full Array เข้ามาช่วยให้แสดงผลโทนมืดในภาพให้ดียิ่งขึ้น นอกจากนี้ ในรุ่นราคาแพง ยังรองรับเทคโนโลยี เทคโนโลยี HDR ระดับสูงอย่าง Dolby Vision และ HDR10+ ได้อีกด้วย
ภาพจาก : https://www.tomsguide.com/reference/tv-backlights-explained-edge-lit-vs-full-array-vs-mini-led
คุณภาพของลำโพง และระบบเสียงที่ถูกใส่มาในสมาร์ททีวีระดับเรือธงมักจะมีความโดดเด่นความรุ่นราคาถูกด้วยเช่นกัน โดยมักจะมาพร้อมกับลำโพงที่มีกำลังขับสูงกว่า, มิติเสียงดี, เบสแน่น หรือแม้แต่สามารถจำลองระบบเสียงรอบทิศทางได้ รวมไปถึงรองรับเทคโนโลยีด้านเสียงอย่าง Dolby Atmos และ DTS:X ได้ด้วย ในขณะที่สมาร์ททีวีรุ่นประหยัดมักจะใส่มาแค่ลำโพงแบบสเตอริโอธรรมดา ๆ มาเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม ด้วยข้อจำกัดด้านฟิสิกส์ของตัวทีวีในยุคนี้ที่มีดีไซน์บางเฉียบ ทำให้การออกแบบลำโพงมีข้อจำกัดมาก ทำให้คนที่จริงจังด้านเสียง ก็จะลงทุนซื้อลำโพงอย่างซาวด์บาร์ และซับวูฟเฟอร์มาต่อเพิ่ม ซึ่งมันช่วยยกระดับคุณภาพเสียงของทีวีให้ดีขึ้นกว่าเดิมมาก
ภาพจาก : https://www.walmart.com/ip/TOPVISION-Dolby-Sound-Bar-TV-3D-Surround-2-1ch-Upgrade-120W-Subwoofer-Wired-Wireless-Opt-Aux-Bluetooth-Connection/5532223577
สมาร์ททีวีสามารถเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้ด้วย ทำให้มันสามารถใช้ประโยชน์จากคุณสมบัตินี้ได้หลายประการ ไม่ว่าจะเป็นการเข้าถึงบริการสตรีมมิ่งต่าง ๆ อย่าง YouTube, Netflix ฯลฯ รวมถึงแอปพลิเคชัน และคุณสมบัติต่าง ๆ ที่ที่ต้องอาศัยอินเทอร์เน็ตในการทำงาน
อย่างไรก็ตาม ตัวซอฟต์แวร์ของพวกมันมีความแตกต่างกัน ในสมาร์ททีวีรุ่นประหยัด มักจะให้ซอฟต์แวร์เวอร์ชันเก่า ใช้ ชิปประมวลผล (SoC) ประสิทธิภาพต่ำ ทำให้การเปิดปิด หรือแอปพลิเคชันค่อนข้างช้ามีอาการหน่วง ในขณะที่สมาร์ททีวีที่มีราคาสูงขึ้นมา จะใช้ชิปที่มีประสิทธิภาพสูงกว่า ทำให้รองรับซอฟต์แวร์เวอร์ชันใหม่ รันแอปพลิเคชัน กดสลับไปมาได้อย่างลื่นไหลกว่ามาก
นอกจากนี้ ในสมาร์ททีวีระดับบน ๆ ยังมักจะมีการใส่ลูกเล่นอัจฉริยะเพิ่มเติมเข้ามาอีกหลายอย่าง ที่ช่วยอำนวยความสะดวกให้กับผู้ใช้งาน เช่น รองรับการสั่งงานด้วยเสียง, มี Voice Assistant, รองรับ Smart Home, Mirror Screen, โหมดเกม และรองรับการเชื่อมต่อกับอุปกรณ์อื่น ๆ ได้หลากหลายกว่า
ภาพจาก : https://blog.google/products/google-tv/new-content-pages/
สำหรับ อัตราการรีเฟรช (Refresh Rate) ภาพของหน้าจอ อาจไม่ใช่สิ่งแรกที่คนส่วนใหญ่นึกถึงเมื่อต้องซื้อทีวี อย่างไรก็ตาม หากคุณเป็นนักเล่นเกม มีแผนที่จะใช้ทีวีในการเล่นเกมด้วย อัตราการรีเฟรช และการตอบสนองของอินพุต (Input lag) ก็เป็นปัจจัยสำคัญที่ควรพิจารณา
สมาร์ททีวีพื้นฐานส่วนใหญ่มักมีอัตราการรีเฟรชภาพอยู่ที่ 60Hz ซึ่งเพียงพอสำหรับการดูภาพยนตร์ และรายการทีวีทั่วไป แต่เนื่องจากเกมบางเกมบนเครื่องคอนโซลยุคใหม่สามารถรองรับการเล่นเกมที่ 120FPS อัตราการรีเฟรชมาตรฐานที่ 60Hz จึงอาจไม่ตอบโจทย์การเล่นเกมที่มีการเคลื่อนไหวรวดเร็วได้ดี นอกจากนั้น สมาร์ททีวีรุ่นพื้นฐานมักมีการตอบสนองของอินพุตที่สูง ทำให้การตอบสนองเวลาเล่นเกมรู้สึกติดขัด
ในขณะที่สมาร์ททีวีรุ่นที่มีความพรีเมียมขึ้นมาหน่อย จะมาพร้อมกับหน้าจอที่มีอัตราการรีเฟรชภาพสูงกว่า ตั้งแต่ 120Hz ไปจนถึง 240Hz และค่า Inpu Lag ที่ต่ำกว่ามาก อีกทั้ง ยังมักจะมาพร้อมกับพอร์ต HDMI 2.1 ซึ่งมีความสำคัญมาก หากว่าคุณมีเครื่องเกมรุ่นใหม่อย่าง PlayStation 5 หรือ Xbox Series X เพราะมันจำเป็นต่อการแสดงผลที่ ความละเอียด 4K 120FPS
ภาพจาก : https://www.hellotech.com/blog/what-is-a-good-refresh-rate-for-a-tv
ทีวีเป็นหนึ่งในอุปกรณ์ไฟฟ้าที่มีราคาแพงที่สุดที่เรามีอยู่ในบ้าน ดังนั้น นอกเหนือจากคุณสมบัติที่ระบุไว้ข้างต้นแล้ว การพิจารณาความคุ้มค่าในระยะยาว จึงเป็นสิ่งสำคัญเช่นกัน ในการตัดสินใจว่าจะจ่ายเงินเท่าไรกับค่าสมาร์ททีวี
ตามปกติแล้ว สมาร์ททีวีราคาสูงมักรองรับการอัปเกรดในอนาคตได้ยาวนานกว่า อันเป็นผลมาจากฮาร์ดแวร์ที่มักจะมีประสิทธิภาพสูงกว่า ในทางตรงกันข้าม สมาร์ททีวีราคาประหยัดมักจะมีปัญหากับการอัปเดตซอฟต์แวร์เมื่อเวลาผ่านไป หรือติดข้อจำกัดของฮาร์ดแวร์ทำให้ไม่สามารถอัปเดตเพื่อรองรับคุณสมบัติใหม่ ๆ ได้ นอกจากนี้ สมาร์ททีวีราคาถูกจากแบรนด์รองในตลาดอาจไม่มีการปล่อยอัปเดตให้ด้วยซ้ำไป
ภาพจาก : https://www.lg.com/th/support/product-support/troubleshoot/help-library/cs-CT52000120-20153380254771/
|
แอดมินสายเปื่อย ชอบลองอะไรใหม่ไปเรื่อยๆ รักแมว และเสียงเพลงเป็นพิเศษ |