การถ่ายโอนข้อมูลผ่าน USB เป็นเรื่องปกติที่คนใช้อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ สมาร์ทโฟนต่างๆ ใช้แลกเปลี่ยนถ่ายโอนซิงค์ข้อมูล (Sync) ระหว่างเครื่องได้ อย่างคัดลอกไฟล์ สำรองข้อมูล รูปภาพ วิดีโอต่างๆ ผ่านสาย USB Cable ก็ทำได้ง่ายๆ แต่ว่าจริงๆ แล้วสาย USB ไม่ได้มีแค่แบบเดียว หากใช้สายผิดก็ทำให้ชีวิตเปลี่ยนได้ ดังนั้นเรื่องการเลือกใช้สาย USB เลยเป็นเรื่องที่ ไม่ควรมองข้าม
ขอบคุณรูปภาพจาก : rawpixel.com, www.freepik.com
หากเราใช้สาย USB ผิดโดยไม่รู้ตัว มันอาจจะทำให้เราเสียเวลาในการใช้งานอุปกรณ์ ไม่ว่าจะเป็นเวลาในการถ่ายโอนข้อมูล เวลาในการชาร์จ หรือ ทั้งๆ ที่อุปกรณ์ในสมัยนี้มีประสิทธิภาพสูงกว่ายุคก่อนๆ มาก
เหตุผลที่เราควรเลือกใช้สาย USB ให้ถูกต้อง ก็เพราะว่า สาย USB บางเส้น ใช้งานได้ ไม่ได้แปลว่าใช้ได้ดี ทำให้อุปกรณ์ที่เราใช้งานอยู่ อย่าง คอมพิวเตอร์, อุปกรณ์เก็บข้อมูล หรือ สมาร์ทโฟน นั้น ทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ อย่างปัญหาที่พบเจอด้านล่างนี้
เรื่องมีอยู่ว่า ตอนที่ผู้เขียนกำลังทำงานอยู่ หันไปหยิบฮาร์ดดิสก์พกพา (External Harddisk) บนโต๊ะมาถ่ายโอนไฟล์จาก SD Card ในกล้องไปเก็บในฮาร์ดดิสก์ตัวนั้นตามปกติ แต่ปรากฏว่าถ่ายโอนข้อมูลไปได้สักพัก เครื่องก็ค้าง ! ไฟล์ข้อมูลที่คัดลอกมาก็เสีย มาไม่ครบ
เลยลองตรวจสอบว่าปัญหานั้นเป็นที่ ฮาร์ดดิสก์ หรือ สาย ที่ใช้พังหรือเปล่า ? แต่พอลองหยิบสายที่มีทั้งหมด กับยืมสายชาร์จของเพื่อนร่วมงานมาใช้ ก็พบว่าใช้งานได้ตามปกติ ฮาร์ดดิสก์ไม่พัง
แต่ปัญหาคือ ! ความเร็วรับส่งข้อมูลลดลง จากที่ปกติรับส่งข้อมูลได้ 400-500 MB/s แต่พอใช้ผ่านสายชาร์จทั่วไปกลับทำความเร็วในการเขียนและอ่านได้แค่ 34-38 MB/s เท่านั้น
ส่วนเวลาที่ใช้ คัดลอกไฟล์ขนาด 20 GB+ จากปกติ 2-5 นาที กลายเป็น 17-25 นาที เกือบๆ ครึ่งชั่วโมงเลย แต่ก็ต้องทนใช้ เพราะไม่มีสาย USB อื่นๆ สำรอง จนกว่าจะไปหาซื้อสายใหม่มาใช้ ทำให้เสียเวลาไปเยอะ
สำหรับบางคนอาจจะเจอปัญหานี้ เมื่อใช้สาย USB ที่แถมมาให้ หรือ สายชาร์จตามตลาดทั่วไปราคาไม่ถึงร้อย คิดว่าใช้ชาร์จได้ปกติ แต่พอลองเอามาใช้เสียบถ่ายโอนข้อมูลจริงกลับพบว่า "สายที่ใช้รับส่งข้อมูลได้ช้า" คัดลอกไฟล์ใหญ่ๆ จากมือถือ หรือ อุปกรณ์เก็บข้อมูล (Storage) ใช้เวลาหลายสิบนาที หรือ เป็นชั่วโมง ซึ่งเวลาใช้ชาร์จมือถือ อุปกรณ์ต่างๆ ก็ใช้เวลานานโดยไม่ทันได้สังเกต
และถ้าสมาร์ทโฟนที่ใช้อยู่รองรับการชาร์จเร็ว (Fast Charging) แต่ ใช้สายชาร์จแบบธรรมดา ที่เป็นของเก่า หรือ สายที่ไม่ได้แถมมาให้ตั้งแต่แรก ถึงจะชาร์จกับอะแดปเตอร์ที่จ่ายไฟสูง ก็ อาจจะเจอปัญหาชาร์จช้าชาร์จนาน หลายชั่วโมง ชาร์จไม่เร็ว เท่าที่เครื่องหรืออุปกรณ์รองรับได้โดยไม่ทันรู้ตัว และถ้าหากใช้สายที่ไม่ได้รับมาตรฐาน ก็อาจจะเจอปัญหาชาร์จไม่เข้า หรือ ไฟเกิน ทำให้อุปกรณ์ที่ใช้งานเกิดความเสียหายตามมาได้
จากปัญหาที่กล่าวมาเมื่อสักครู่ เราจะรู้ได้ไงว่าสายที่เราใช้อยู่ หรือ สายแบบไหนมันใช้งานรับส่งข้อมูลได้เร็ว ?
คำตอบคือ ให้ดูสีที่พอร์ต USB
มันสามารถบอก ประเภทของพอร์ต และ ความเร็วสูงสุด ที่สายรองรับได้
(แต่ไม่สามารถใช้บอกความเร็วของ USB-C ได้ ต้องทดสอบเอง)
สังเกตความแตกต่างของพอร์ตแต่ละสีแต่ละรูปแบบได้ที่สีในรูปด้านล่างนี้
ขอบคุณรูปภาพจาก : www.sweetwater.com
สี | มาตรฐาน | ชื่อเรียก | ปีเปิดตัว | ความเร็วสูงสุด | รูปแบบพอร์ต | ความยาว* | จ่ายไฟสูงสุด |
| USB 1.1 | Basic Full Speed USB | 1995 | 12 Mbps | USB-A USB-B | 3 ม. | 2.5 W |
| USB 2.0 | Hi-Speed USB | 2000 | 480 Mbps | USB-A USB-B USB Micro-A USB Micro-B USB Mini-A USB Mini-B | 5 ม. | 2.5 W |
(น้ำเงิน)
| USB 3.2 Gen1 | USB 3.0 | 2008 | 5 Gbps | USB-A USB-B USB Micro-B USB-C* | 3 ม. | 4.5 W |
(สีแดง) | USB 3.2 Gen 2 | USB 3.1 USB 3.1 Gen 2 SuperSpeed USB 10Gbps | 2013 | 10 Gbps | USB-A USB-B USB Micro-B USB-C* | 3 ม. | 100 W |
- | USB 3.2 Gen 2x2 | SuperSpeed USB 20Gbps | 2017 | 20 Gbps | USB-C* | 3 ม. | 100 W |
- | USB 4 | USB4 Gen 2×2 USB4 20Gbps | 2019 | 20 Gbps | USB-C* | 0.8 ม. | 100 W |
- | USB 4 | USB4 Gen 3×2 USB4 40Gbps | 2019 | 40 Gbps | USB-C* | 0.8 ม. | 100 W |
| USB 2.0 | รับกำลังไฟสูงกว่า หรือ ชาร์จไฟได้ขณะอยู่ในโหมด Sleep, ปิดเครื่อง | |||||
(ส้ม) | USB 3.0 | ส่วนใหญ่ใช้สำหรับจ่ายไฟอย่างเดียว ไม่สามารถรับส่งข้อมูลได้ |
ขอบคุณรูปภาพจาก : www.sweetwater.com
* ความยาวสายที่สเปกครอบคลุม | ** USB Type C ไม่มีสีพอร์ต
สีที่เห็นดังกล่าวเป็นสัญลักษณ์ที่ทางผู้ผลิตสายใช้เพื่อบ่งบอกมาตรฐานของสายให้เป็นไปในทางเดียวกัน เราอาจจะเห็นพอร์ตที่มีสีรูปแบบอื่นๆ ได้เช่นกัน ทางที่ดีควรตรวจสอบสเปกของสายที่ระบุไว้บนแพ็กเกจ หรือ ทดลองใช้งานจริงจะเห็นผลมากที่สุด
xxx
ตัวอย่างของ สาย USB แต่ละรูปแบบ
ขอบคุณรูปภาพจาก : http://www.supportict.co.uk/usbconnectors/usbcon1/
นอกจากสีที่ใช้ระบุสเปกของพอร์ต USB แต่ละรูปแบบแล้ว USB บางเส้นอาจจะใช้สีที่ไม่ตรงตามที่ระบุ ซึ่งในตรงนี้เราสามารถดูจากจุดสังเกตอีกจุดนึงได้นั่นก็คือ การอ่านสัญลักษณ์ที่มีบนพอร์ต หรือ ข้างช่องเสียบบนอุปกรณ์ต่างๆ จะมีสัญลักษณ์เหล่านี้ระบุไว้ เช่นตัวอย่างด้านล่างนี้
ตัวอย่างสัญลักษณ์เทคโนโลยี USB
มาตรฐาน | USB 2.0 | USB 3.0 | USB 3.2 Gen 1 | USB 3.2 Gen 2 | Thunderbolt 3 | USB 4 | USB 4 |
ความเร็ว | 480 Mbps | 5 Gbps | 10 Gbps | 20 Gbps | 40 Gbps | 20 Gbps | 40 Gbps |
สัญลักษณ์ |
สายชาร์จทั่วไป ส่วนใหญ่ จะเป็น USB 2.0 ซึ่งมีความเร็วต่ำ
ส่วนสายที่ใช้เทคโนโลยี USB 3.0 ขึ้นไป จะเร็วและมีราคาแพงกว่าสายชาร์จทั่วไป
ตัวอย่างสัญลักษณ์บนสาย USB
USB 2.0 | USB 3.2 | USB-C 3.2 | USB-C Thunderbolt 3 |
ขอบคุณรูปภาพจาก : Belkin.com
สุดท้ายนี้ ตัวเลือกที่ดีที่สุด คือ การเลือกใช้สายที่รองรับการทำงานกับอุปกรณ์ที่เรามีอยู่
หากเราใช้งานคอมพิวเตอร์ที่รองรับพอร์ต USB แบบ 3.2 (สีแดง) หรือ USB-C เราก็ควรใช้สายที่รองรับ USB 3.2 (สีแดง) และ USB-C ที่มีความเร็วในการรับส่งระดับ 10 Gbps เช่นกัน เพื่อให้การรับส่งข้อมูลที่ต้นทางและปลายทางทำความเร็วได้สูงสุด
เพราะถ้าเราใช้งานสายที่มีความเร็วต่ำ เช่น สาย USB แบบ 1.1 (สีขาว) หรือ 2.0 (สีดำ) ต่อให้เครื่องคอมพิวเตอร์เราใช้ SSD รับส่งข้อมูลได้เร็วแค่ไหน ข้อมูลที่รับส่งก็จะใช้งานได้สูงสุดเท่าที่สายเราทำได้ และในกรณีที่เครื่องรับส่งข้อมูลได้ต่ำ ต่อให้ใช้สายที่รองรับความเร็วสูง ตัวเครื่องก็จะทำความเร็วได้เท่าที่เครื่องทำได้เช่นกัน
|
It was just an ordinary day. |