ในปี พ.ศ. 2563 (ค.ศ. 2020) เราได้เห็นความเปลี่ยนแปลงของวงการสมาร์ทโฟนหลายอย่าง โดยเฉพาะ การมาของสมาร์ทโฟน ที่รองรับ 5G รวมไปถึงการบุกตลาดจากแบรนด์ใหญ่มากมาทั้งเปิดตัว รุ่นใหม่ ชิปใหม่ ซอฟต์แวร์ใหม่ ซึ่งทำให้การแข่งขันในตลาดสมาร์ทโฟนไม่เคยหยุดนิ่ง และบัลลังก์ของผู้ครองอันดับ 1 ก็ไม่เคยยั่งยืน มักเปลี่ยนแปลงไปตามค่านิยมของผู้ใช้ในแต่ละประเทศ
บทความนี้เราได้นำข้อมูลจาก "การ์ทเนอร์" ที่เป็นบริษัทวิจัยและให้คำปรึกษาชั้นนำของโลก ซึ่งการันตีความน่าเชื่อถือมาเปิดเผยยอดขายสมาร์ทโฟนในประเทศไทยของแต่ละแบรนด์ตลอด ปี พ.ศ. 2563 (ค.ศ. 2020) มาดูกันดีกว่าว่า เจ้าไหนครองใจคนไทยมากที่สุด ขอเริ่มจากที่อันดับ 5 กันก่อนเลย
สมาร์ทโฟน Apple ปี พ.ศ. 2563 (ค.ศ 2020) ได้อันดับที่ 5 ไปครอง ด้วยยอดขาย 1.29 ล้านเครื่องในประเทศไทย มีส่วนแบ่งตลาด 7.3 %
ส่วนปัจจัยที่ทำให้ Apple อยู่ในอันดับที่ 5 ได้ แม้จะไม่มีมือถือราคาประหยัดมาช่วยพยุงยอดขาย ก็น่าจะเกิดจากแรงส่งของ iPhone 12 ที่เปิดตัวในช่วงไตรมาส 4 พอดี จึงสามารถเร่งทำยอดขายเพิ่มมาได้ถึง 514,000 เครื่องและส่งให้ iPhone ขึ้นมาอยู่ในอันดับที่ 5 ได้นั่นเอง ซึ่งในระดับโลกนั้น Apple ก็มียอดขายรวม 199 ล้านเครื่องเลยทีเดียว รั้งตำแหน่งตามหลัง Samsung เป็นอันดับ 2 ของโลกเท่านั้น
ประเด็นคือด้วยจำนวนยอดนี้ก็พิสูจน์ได้ว่า ถึงแม้มือถือรุ่นประหยัดจะกินส่วนแบ่งในประเทศไทยค่อนข้างมาก แต่ iPhone ก็ยังสามารถครองใจคนไทยได้อยู่ไม่น้อย
เช็คโปรโมขัน iPhone 12 จาก AIS, dtac, TrueMove H ได้ที่นี่
Samsung แบรนด์ใหญ่จากเกาหลีสามารถทำยอดขายไปได้ 1.76 ล้านเครื่อง คิดเป็นสัดส่วน 10.7 % ในตลาดไทย รั้งอันดับ 4 ไว้ได้
แม้ของไทยจะอยู่ที่ 4 แต่ถ้าวัดในระดับโลก ปี พ.ศ. 2563 (ค.ศ. 2020) Samsung นั้นอยู่อันดับ 1 เลยทีเดียวด้วยยอดขาย 253 ล้านเครื่อง ซึ่ง Samsung ก็ถือเป็นแบรนด์ที่เจาะกลุ่มคนมีเงินอยู่แล้ว ด้วยยอดขายเครื่องเท่านี้ ก็คงไม่ต้องนับจำนวนเงิน
สมาร์ทโฟน Vivo แบรนด์จีนผู้ครองอันดับ 3 ในประเทศไทยนี้สามารถทำยอดขายในปี พ.ศ. 2563 (ค.ศ. 2020) ไปได้ 2.14 ล้านเครื่อง คิดเป็นส่วนแบ่งตลาด 13 % ในประเทศ ซึ่งกลุ่มเป้าหมายของ Vivo เป็นผู้ใช้ที่มีรายได้ระดับปานกลางถึงน้อย ซึ่งเป็นสัดส่วนตลาดใหญ่ในบ้านเรา ก็ไม่แปลกที่จะได้อันดับ 3 แซงแบรนด์ยักษ์ใหญ่ 2 เจ้าไปได้
ซึ่งล่าสุดก็เพิ่งมีการเปิดตัว Vivo Y31 รุ่นใหม่ ราคาประหยัด ออกมาพร้อมกับชิปเซ็ตทรงพลัง Qualcomm® Snapdragon™ 6 Series Mobile Platform ที่ตอบโจทย์สำหรับสายเล่นเกม รวมถึงสเปคกล้องก็ยังคงเทพเกินราคา ใครสนใจก็ลองไปศึกษาดูได้ ส่วนราคาก็แค่ 7,499 บาท (ณ วันที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2564)
สมาร์ทโฟน Oppo ได้เป็นอันดับ 2 ในประเทศไทยด้วยยอดขาย 2.56 ล้านเครื่อง ที่ครองส่วนแบ่งตลาดไปถึง 15.5 % ซึ่งจุดที่ทำให้ Oppo ขึ้นแท่นอันดับ 2 คาดว่านอกจากปัจจัยเรื่องมือถือราคาประหยัดแล้ว ก็คงหนีไม่พ้นฟังก์ชันกล้องที่เป็นตัวดึงดูดลูกค้า
เพราะถ้าพูดถึงสมาร์ทโฟนกล้องสวย ถ่ายคนชัดเป๊ะ เด่นทะลุจอ ในราคาประหยัด ที่ผ่านมา Oppo ถือว่าโดดเด่นมาก ในย่านน้ำนี้ เพราะเข้าใจถึงวัฒนธรรมชอบถ่ายภาพของคนสมัยนี้เป็นอย่างดี และเป็นแบรนด์แรก ๆ ที่เริ่มอวดสเปคกล้อง มากกว่าพวกชิปเทพ จอสวย หรือซอฟต์แวร์ต่าง ๆ
นอกจากกล้องจะดีแล้วโหมดถ่ายภาพของ OPPO ก็มีเยอะจนเลือกใช้ไม่ถูก ที่เห็นเด่น ๆ ก็คือโหมด HDR และ โหมดถ่ายภาพ Portrait ในที่แสงน้อย ตัวอย่างเห็นได้จาก OPPO Reno 4 และ OPPO Find X2 ที่เปิดตัวปีที่แล้ว ถ้ามีภาพที่ถ่ายตัวอย่างให้ดูก็อยากโชว์เหมือนกัน แต่เราไม่มีเครื่องครับท่านผู้อ่าน
มาถึงอันดับ 1 ของเหล่า ซึ่งกลายเป็นสมาร์ทโฟน Xiaomi ที่มียอดขายสูงสุดในประเทศไทย ด้วยยอด 2.63 ล้านเครื่องที่ขายไปในปี พ.ศ. 2563 (ค.ศ. 2020) ครองส่วนแบ่งตลาดไปถึง 16 %
หากมองเผิน ๆ ในบ้านเราคงไม่ค่อยเห็นคนใช้สมาร์ทโฟน Xiaomi กันเท่าไหร่ "แต่การไม่เห็น ก็ไม่ได้แปลว่าไม่มี" เพราะอย่าลืมว่าเสี่ยวหมี่มีทั้งแบรนด์ย่อย Redmi และ POCO รวมถึง Xiaomi รุ่นประหยัด ที่บุกตลาดออนไลน์อย่างหนัก ทั้ง Shopee, Lazada หรือค้าปลีกอื่น ๆ แม้จะเกิดสถานการณ์โควิด-19 แต่ความซื้อง่ายจ่ายคล่องผ่านออนไลน์ก็ช่วยผลักดัน Xiaomi ได้ไม่น้อย
แถมนอกจากนี้สายผลิตภัณฑ์ของ Xiaomi ที่เปิดตัวเมื่อปีที่แล้ว แต่ละรุ่นนอกจากจะมีราคาถูก แล้วยังมาพร้อมสเปคเทพเหมาะสมกับราคา ได้ทั้งสายเกม และสายถ่ายรูป ให้ความคุ้มค่าแบบนี้คงทำให้ผู้ใช้เกิดการบอกต่อ แบบปากต่อปาก และทำให้ Xiaomi ขึ้นแท่นเป็นอันดับ 1 ในด้านยอดขายเครื่องในไทย ก็เป็นได้
แบรนด์ | ยอดขาย ปี พ.ศ.2563 (ค.ศ. 2020) | ส่วนแบ่งการตลาด (%) ปี พ.ศ. 2563 (ค.ศ. 2020) | ยอดขาย ปี พ.ศ. 2562 (ค.ศ. 2020) | ส่วนแบ่งการตลาด (%) ปี พ.ศ. 2562 (ค.ศ. 2019) |
|
Xiaomi | 2,634,000 | 16.0 | 3,025,000 | 15.0 | -12.9 |
Oppo | 2,565,000 | 15.5 | 2,719,000 | 13.5 | -5.7 |
Vivo | 2,143,000 | 13.0 | 2,126,000 | 10.6 | 0.8 |
Samsung | 1,763,000 | 10.7 | 1,996,000 | 9.9 | -11.7 |
Apple | 1,290,000 | 7.8 | 1,452,000 | 7.2 | -11.2 |
Other | 6,112,000 | 37.0 | 8,828,000 | 43.8 | -30.8 |
รวม | 16,507,000 | 100.0 | 20,146,000 | 100.0 | -18.1 |
*ยอดขาย คิดหน่วยเป็นเครื่อง ตัวเลขมีการปัดเศษ*
ที่มา : การ์ทเนอร์ (กุมภาพันธ์ 2564)
นี่ก็คือตารางสรุปยอดขายทั้งหมดของแบรนด์มือถือต่าง ๆ ในประเทศไทย โดยรวมแล้ว 5 แบรนด์นี้ครองส่วนแบ่งตลาดในปี พ.ศ. 2563 (ค.ศ. 2020) มากถึง 63 % และยังพบว่าตลอดทั้งปี พ.ศ. 2563 (ค.ศ. 2020) ประเทศไทยมียอดขายสมาร์ทโฟนตกลงถึง 18 % เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ด้วยยอดขายรวม 16.5 ล้านเครื่อง ซึ่งสาเหตุหลักก็มาจาก 'โควิด-19'
การ์ทเนอร์คาดว่า ในปี พ.ศ. 2564 หากสมาร์ทโฟน 5G มีความพร้อมมากขึ้นในกลุ่มสมาร์ทโฟนรุ่นประหยัด ก็จะเป็นแรงส่งให้ยอดขายในตลาดเติบโตมากขึ้นได้ และอีกปัจจัยคือการได้แรงหนุนจากตลาดจีนด้วยนั่นเอง
ส่วนแบรนด์ใหญ่อย่าง Huawei ไม่ติดอยู่ใน 5 อันดับของไทย สาเหตุหลักน่าจะมาจากประเด็นการติดแบล็คลิสต์ที่ทำให้คนไทยเริ่มถอยห่าง แสดงให้เห็นว่าการที่ Huawei ไม่สามารถใช้แอปพลิเคชันของ Google ได้ ก็ส่งผลเสียต่อยอดขายในไทยไม่น้อย เช่นเดียวกับในระดับโลก Huawei ก็อยู่ในอันดับ 3 ตามหลังคู่แข่งนอกสายเลือดอย่าง Samsung กับ Apple
แต่ทุกอย่างล้วน 'มีขึ้น มีลง' ดั่งคำโบราณกล่าวว่า "เวลาเปลี่ยน ใจคนเปลี่ยน" ไม่มีสิ่งใดอยู่กับเราตลอดไป เหมือนตำแหน่งอันดับที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา และอนาคตคนอาจยอมรับ Huawei Mobile Service มากขึ้นก็เป็นได้
ที่มาข้อมูลจาก ข่าวประชาสัมพันธ์ บริษัท การ์ทเนอร์ (Gartner, Inc.) (NYSE: IT)
|
งานเขียนคืออาหาร ปลายปากกา ก็คือปลายตะหลิว |