ระบบค้นหาที่มีอยู่บนระบบปฏิบัติการ Windows 10 เป็นคุณสมบัติที่เรียกใช้งานได้อย่างง่ายดาย คุณแค่คลิกไปที่ "ปุ่ม Start" แล้วเริ่มต้น "พิมพ์" สิ่งที่ต้องการค้นหาได้ทันที แม้เดิมทีคุณสมบัตินี้มันจะทำมาไม่ค่อยดีเท่าไหร่ เนื่องจากการแสดงผลลัพธ์ที่มี Cortana เข้ามาด้วย ทำให้ผลลัพธ์ที่ได้มันชวนงงเป็นที่สุด แต่หลังจากที่ได้รับการอัปเดตแพทช์ของเดือนพฤษภาคม ปี ค.ศ. 2019 (พ.ศ. 2562) การทำงานของมันก็ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด สามารถแสดงรายละเอียดของการค้นหาได้อย่างแม่นยำตรงความต้องการมากขึ้นกว่าเดิมเยอะ
อย่างไรก็ตาม บางครั้งเจ้าระบบค้นหาในเมนู Start มันก็อาจมีปัญหา ไม่สามารถทำงานได้ ไม่ยอมแสดงผลลัพธ์ หรือพิมพ์เพื่อค้นหาไม่ได้ บทความนี้ก็จะมาแนะนำวิธีแก้ไขปัญหาดังกล่าวให้นำไปใช้กัน ซึ่งก็มีอยู่หลายวิธีการ ลองไล่ทำไปทีละขั้นตอน น่าจะมีสักวิธีที่สามารถช่วยแก้ไขปัยหาให้คุณผู้อ่านได้อย่างแน่นอน
วิธีการที่ง่ายที่สุดในการแก้ปัญหาระบบค้นหาในเมนู Start ไม่ทำงาน ก็คือการรีสตาร์ตคอมพิวเตอร์ แต่ถ้ามันไม่ได้ผลก็อาจจะลองสั่งรีสตาร์ตเฉพาะระบบค้นหาดูก่อน ว่าจะช่วยแก้ปัญหาให้คุณได้หรือไม่
ในเมื่อเมนู Start มีปัญหา การติดตั้งมันใหม่ย่อมสามารถช่วยแก้ปัญหาให้ได้ อย่างไรก็ตาม ติดตั้งเมนู Start ใหม่อีกครั้ง จะทำให้พวก แอป Windows ที่คุณเคยลบ ไปแล้ว กลับมาใหม่อีกครั้งด้วยเช่นกัน จึงไม่ต้องแปลกใจหากพบว่ามีแอปพลิเคชันแปลก ๆ โผล่ขึ้นมาด้วย สิ่งที่คุณต้องทำก็แค่ลบมันใหม่อีกครั้งเท่านั้นเอง
บ่อยครั้งที่ระบบค้นหาใน "เมนู Start" นั้นเกิดปัญหาขึ้นหลังจากที่คุณได้ติดตั้งแพทช์อัปเดต ของระบบปฏิบัติการ Windows ไป ซึ่งหากเป็นอย่างนั้น เราก็ขอแนะนำว่าคุณควรถอนการติดตั้งแพทช์อัปเดตล่าสุดออกไปก่อน
นับตั้งแต่ที่แพทช์ Creator Update ถูกปล่อยออกมาในปี ค.ศ. 2017 (พ.ศ. 2560) ก็มีผู้ใช้งานระบบปฏิบัติการ Windows 10 บางส่วนที่พบบั๊กที่เกี่ยวกับการทำงานของแอป Windows ที่ทำงานอยู่เบื้องหลัง (Background Apps) โดยบั๊กนี้จะทำให้เมื่อคุณปิดการทำงานของคุณสมบัติ "Let apps run in the background" จะทำให้ระบบค้นหาใน "เมนู Start" ไม่สามารถทำงานได้ไปด้วย
ซึ่งบั๊กดังกล่าวก็ยังมีอยู่มาจนถึงปัจจุบันนี้ ซึ่งปัญหาที่คุณพบอาจจะเป็นเพราะคุณเป็นหนึ่งในผู้ใช้งานที่ประสบกับบั๊กดังกล่าวอยู่ก็เป็นได้ ดังนั้นสิ่งที่ต้องทำ คือ ไปเปิดใช้งานคุณสมบัติ "Let apps run in the background"
การที่ระบบค้นหาใช้งานไม่ได้ มีความเป็นไปได้ว่าเกิดจากการที่ระบบดัชนีข้อมูล (Search Index) ของตัว Windows มีความเสียหายเกิดขึ้น ส่งผลให้ไม่สามารถค้นหาข้อมูลได้ ซึ่งก็มีผู้ใช้หลายคนที่รายงานเรื่องนี้บนเว็บบอร์ดต่าง ๆ ตั้งแต่แพทช์อัปเดตเวอร์ชัน 1903 เป็นต้นมา
ทางแก้ก็คือ คุณจะต้องสร้างฐานดัชนีข้อมูลขึ้นมาใหม่
ทางแก้ที่ทำได้ง่ายที่สุด คือ การใช้เครื่องมือซ่อมแซมอัตโนมัติที่มีอยู่แล้วในตัว ระบบปฏิบัติการ Windows นั่นเอง อย่างไรก็ตาม ที่เราไม่แนะนำวิธีนี้เป็นลำดับแรก ๆ ก็เพราะ มันไม่ค่อยจะได้ผลลัพธ์ที่ดีสักเท่าไหร่ แต่ลองดูสักตั้งก็ไม่เสียหาย
System File Checker เป็นสุดยอดเครื่องมือในการแก้ปัญหาคอมพิวเตอร์ที่เราได้เอ่ยถึงไปหลายครั้งแล้ว อย่างที่เราเคยบอกไป ไม่ว่า Windows จะมีปัญหาอะไร ให้ลองใช้ System File Checker ดูก่อน มันอาจจะช่วยแก้ปัญหาให้คุณได้อย่างไม่น่าเชื่อ
ก่อนอื่นต้องขออธิบายให้ชัดเจนก่อนว่า เราไม่แนะนำให้คุณปิด หรือลบ โปรแกรมแอนตี้ไวรัส (Antivirus Software) แบบ บุคคลที่สาม (3rd-Party) ออกจากเครื่องไปจนหมดจดเลยนะครับ แต่ก็มีรายงานหลายฉบับที่ระบุว่าโปรแกรมแอนตี้ไวรัสมีส่วนที่ทำให้ Windows Search เกิดความผิดปกติได้ อย่าง โปรแกรม Avast นี่ก็ตกเป็นจำเลยอยู่บ่อยครั้ง (ขอโทษแฟน Avast ไว้ ณ ที่นี้ด้วย) คุณอาจจะลองลบมันออกไปก่อน แล้วเลือกใช้งานโปรแกรมแอนตี้ไวรัสตัวอื่นแทน (ในกรณีที่ต้องการใช้) ซึ่งอันที่จริง Windows Defender ที่มีติดตัวมากับระบบปฏิบัติการก็ทำงานได้ดีมากแล้วนะ
คุณอาจจะเริ่มที่หยุดการทำงานของ โปรแกรมแอนตี้ไวรัส 3rd-Party ไปก่อนชั่วคราว ถ้าปิดแล้วระบบค้นหากลับมาใช้งานได้ คุณก็คงต้องยอมตัดใจลบมันทิ้งแล้วล่ะ
ในขณะเดียวกัน มีผู้ใช้หลายคนระบุว่าการเปิดใช้งาน Windows Firewall สามารถช่วยแก้ไขปัญหานี้ได้ด้วยเช่นกัน ดูเหมือนว่าระบบค้นหา และการทำ Index ของระบบปฏิบัติการ Windows จะมีความอ่อนไหวต่อการตั้งค่าต่าง ๆ ของตัวระบบรักษาความปลอดภัย
บางทีปัญหาอาจจะมีเหตุผลพื้น ๆ มากกว่าที่คิด คือ มาจากตัว Windows Search Service หยุดทำงาน โดยตามปกติ Windows Search Service เริ่มต้นทำงานอัตโนมัติในทันทีที่ระบบถูกบูตขึ้นมา
หวังว่าวิธีที่เราได้รวบรวมมาจะสามารถช่วยแก้ไขปัญหาให้คุณผู้อ่านที่ไม่สามารถใช้งานคุณสมบัติค้นหาในเมนู Start ได้นะครับ
|
แอดมินสายเปื่อย ชอบลองอะไรใหม่ไปเรื่อยๆ รักแมว และเสียงเพลงเป็นพิเศษ |