ดาวน์โหลดโปรแกรมฟรี
       
   สมัครสมาชิก   เข้าสู่ระบบ
THAIWARE.COM | ทิปส์ไอที
 

เคล็ดลับ และเทคนิคการใช้งานใหม่ ๆ ที่ถูกเพิ่มมาใน iOS 15

เคล็ดลับ และเทคนิคการใช้งานใหม่ ๆ ที่ถูกเพิ่มมาใน iOS 15
ภาพจาก : https://www.apple.com/th/ios/ios-15/
เมื่อ :
|  ผู้เข้าชม : 10,667
เขียนโดย :
0 %E0%B9%80%E0%B8%84%E0%B8%A5%E0%B9%87%E0%B8%94%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%9A+%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%84%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%84%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%83%E0%B8%8A%E0%B9%89%E0%B8%87%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B9%88+%E0%B9%86+%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%96%E0%B8%B9%E0%B8%81%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B9%88%E0%B8%A1%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B9%83%E0%B8%99+iOS+15
A- A+
แชร์หน้าเว็บนี้ :

แนะนำเคล็ดลับ และเทคนิคการใช้งานใหม่ ๆ ที่ถูกเพิ่มมาใน iOS 15

ในตอนนี้ iOS 15 ก็ได้ถูกปล่อยออกมาอย่างเป็นทางการแล้วนะครับ ใครที่ต้องการใช้งานก็สามารถเข้าไปอัปเดตกันได้แล้ว

บทความเกี่ยวกับ Apple อื่นๆ

ข้อมูลเพิ่มเติม : วิธีอัปเดต iOS 15 และ iPadOS 15 ผ่าน OTA หรือ iTunes พร้อมลิงก์ดาวน์โหลดเฟิร์มแวร์ iOS โดยตรง

ผู้ที่อัปเดต iOS 15 แล้ว อาจจะมีความรู้สึกว่ามันแทบไม่แตกต่างไปจาก iOS 14 เลย ไม่เหมือนกับตอนที่ iOS 13 อัปเดตเป็น iOS 14 ที่มีการเพิ่มระบบอย่าง Widgets หรือ App Library เข้ามา ทำให้มันดูแตกต่างไปจากเดิมอย่างชัดเจน โดยส่วนตัวก็รู้สึกว่า ถ้ามองที่เปลือก มันก็ไม่แตกต่างกันจริง ๆ นั่นแหละ อย่างไรก็ตาม ในการทำงานของมัน iOS 15 ได้ขัดเกลาคุณสมบัติหลายอย่างให้ดียิ่งขึ้นกว่าเดิมมาก

ในบทความนี้เราก็จะมาแนะนำเคล็ดลับ และเทคนิคการใช้งานใหม่ ๆ ที่ถูกเพิ่มมาใน iOS 15 ให้ลองนำไปใช้งานกัน

1. FaceTime กับผู้ใช้งานระบบปฏิบัติการ Android และ Windows

ใน iOS 15 ตัว Facetime ได้รับการปรับปรุงระบบการทำงานแบบที่เรียกได้ว่าชุดใหญ่ไฟกะพริบเลยทีเดียวล่ะ นอกจากจะมีการเปลี่ยน หน้าจอผู้ใช้งาน (User Interface - UI) ใหม่แล้ว ยังอนุญาตให้เลือกใช้กล้องหลังตัวที่สองได้ด้วย (ถ้ามี) แล้วยังมีระบบ SharePlay สุดเจ๋งให้ใช้งานอีกด้วย แต่ที่น่าสนใจที่สุด คือ การที่ทาง Apple ได้เปิดให้ปัจจุบันนี้ FaceTime สามารถใช้งานร่วมกับผู้ที่ใช้ระบบปฏิบัติการ Android และระบบปฏิบัติการ Windows ได้แล้ว

ข้อมูลเพิ่มเติม : User Interface หรือ UI คืออะไร ?

อย่างไรก็ตาม ก็สไตล์ขนมของ Apple ล่ะนะ ถึงจะบอกว่า ผู้ใช้ Android กับระบบปฏิบัติการ Windows สามารถใช้งานได้ แต่ก็มีข้อจำกัดตรงที่ผู้สร้างห้องวิดีโอคอลจำเป็นต้องใช้อุปกรณ์ของ Apple อยู่ดี สรุปง่าย ๆ คือ Apple ไม่ได้ทำแอป FaceTime ให้กับ Android กับ Windows เพียงแต่เพิ่มระบบสร้างลิงก์เข้าร่วม FaceTime ขึ้นมา เมื่อผู้ใช้ iOS เริ่มวิดีโอคอลผ่าน FaceTime ก็สามารถเอาลิงก์ให้กับผู้ใช้ Android กับ Windows เพื่อให้พวกเขาสามารถเข้ามาร่วมวิดีโอคอลได้นั่นเอง

วิธีสร้างลิงก์ FaceTime เพื่อวิดีโอคอลกับ ผู้ใช้ Android และ Windows

  1. เข้า "แอป FaceTime"
  2. แตะที่ "ปุ่ม Create Link"
  3. สามารถตั้งชื่อห้องได้ โดยแตะที่ "เมนู Add Name"
  4. สามารถคัดลองลิงก์เพื่อส่งให้ผู้อื่นโดยการแตะที่ "เมนู Copy"

  วิธีสร้างลิงก์ FaceTime เพื่อวิดีโอคอลกับ ผู้ใช้ Android และ Windows ใน iOS

  วิธีสร้างลิงก์ FaceTime เพื่อวิดีโอคอลกับ ผู้ใช้ Android และ Windows ใน iOS

  1. ลิงก์จะมี URL ประมาณนี้ "https://facetime.apple.com/join/#v=1&p=aXVbpBxGEey1FsIifL+ufA&k=osXY2ji8SsgchWzytg3_JydvD_oA4RGIW9V0NuyAdKg"
  2. สามารถใช้เข้าผ่าน เว็บเบราว์เซอร์ ต่าง ๆ ได้เลย ภาพด้านล่างนี้ ทดสอบเข้าผ่านเว็บเบราว์เซอร์ Chrome บนระบบปฏิบัติการ Windows 10

เคล็ดลับ และเทคนิคการใช้งานใหม่ ๆ ที่ถูกเพิ่มมาใน iOS 15

2. Focus Mode โหมดห้ามรบกวนแบบใหม่ที่แจ่มกว่าเดิม

Focus เป็นคุณสมบัติใหม่ที่ถูกเพิ่มเข้ามาใน iOS 15 โดยมีเป้าหมายที่ต้องการช่วยให้ผู้ใช้งานมีสมาธิจดจ่อกับงานทีกำลังทำอยู่ได้มากขึ้น โดย "โหมด Focus" ใน iOS 15 เป็นสิ่งที่ถูกพัฒนาต่อจาก "โหมด Do Not Distub" ที่มีอยู่เดิม ให้ผู้ใช้สามารถกำหนดรายละเอียดการทำงานของมันได้อย่างละเอียดยิ่งขึ้น

ตัวอย่างเช่น Work-Focus คุณสามารถปิดแจ้งเตือนจากทุกคน ยกเว้นเพื่อนร่วมงานได้ รวมไปถึงปิดแจ้งเตือนจากแอปพลิเคชันต่างๆ  หรือแม้แต่การซ่อนหน้าจอโฮม (Home screen) เพื่อตัดสิ่งรบกวนสมาธิออกไปให้ได้มากที่สุด

นอกจากนี้แล้ว โหมด Focus ยังทำงานร่วมกับ iMessage ด้วย สามารถส่งข้อความบอกเพื่อน หรือครอบครัวให้รับรู้ว่า คุณกำลังทำงานอยู่ อย่าเพิ่งรบกวน ซึ่งทั้งหมดนี้จะ Sync การทำงานร่วมกับอุปกรณ์ทุกตัวของ Apple ด้วยนะ สะดวกมาก ไม่ต้องมาไล่เปิดโหมด Focus ในทุกอุปกรณ์ให้ยุ่งยาก

วิธีใช้งานโหมด Focus

  1. Focus จะมีทางลัดในการเข้าอยู่ที่ "Control Center" แค่เอานิ้วลากจอจากมุมขวาบนก็จะปรากฏขึ้นมา แตะที่ "ไอคอน ☾"
  2. จะมีตัวเลือกเริ่มต้นโผล่ขึ้นมา ดังต่อไปนี้
    1. Do Not Disturb : เหมือนใน iOS เวอร์ชันก่อนหน้า สามารถแตะที่ "..." เพื่อเลือกระยะเวลาได้
    2. Personal : จะให้เราตั้งค่าได้ว่า จะมีใครที่สามารถติดต่อเราได้อยู่บ้าง, แอปพลิเคชันไหนที่ยังแจ้งเตือนได้
    3. Work : เหมือนกับ Personal แต่จะเพิ่มการตั้งค่าเปิดใช้งานอัตโนมัติในช่วงเวลา หรือใช้แอปพลิเคชันที่กำหนดไว้
    4. Sleep : เหมือนกับ Personal แต่จะทำงานร่วมกับแอปสุขภาพ (Health) ด้วย

  วิธีใช้งานโหมด Focus ใน iOS

  วิธีใช้งานโหมด Focus ใน iOS

  1. หากตัวเลือกที่มียังไม่พอใช้ สามารถเข้าไปที่แอป Settings แตะเข้าไปที่ "เมนู Focus" แล้วแตะที่ "+" เพื่อเพิ่มตัวเลือใหม่ตามพฤติกรรมในการใช้งานของตัวคุณได้ด้วย

  วิธีใช้งานโหมด Focus ใน iOS

  วิธีใช้งานโหมด Focus ใน iOS

3. สรุปการแจ้งเตือนด้วย Notification Summary

Notification Summary เป็นอีกหนึ่งลูกเล่นใหม่ที่ถูกเพิ่มเข้ามาใน iOS 15 แนวคิดในการทำงานของมัน คือ รวบรวมข้อความแจ้งเตือนที่ไม่สำคัญ หรือแจ้งเตือนที่ถูกส่งมาในช่วงเวลาที่ไม่เร่งด่วนมากนักมาสรุปแจ้งเตือนทีเดียวในช่วงเวลาที่ถูกกำหนดเอาไว้ มีประโยชน์ในการลดจำนวนแจ้งเตือนที่ไม่จำเป็นให้ลดลง

อย่างไรก็ตาม คุณสมบัติ Notification Summary จะถูกปิดการทำงานเอาไว้ หากต้องการใช้งานจำเป็นต้องเปิดใช้งานด้วยตนเองก่อนนะ

วิธีเปิดใช้งานคุณสมบัติ Notification Summary

  1. เปิด "แอป Settings" แตะไปที่ "เมนู Notifications" แล้วตามด้วย "Scheduled Summary" 
  2. แตะ "ปุ่ม Continue"

  สรุปการแจ้งเตือนด้วย Notification Summary

  สรุปการแจ้งเตือนด้วย Notification Summary

  1. เลือกแอปพลิเคชันที่เราต้องการให้แจ้งเตือนแบบสรุป
  2. เลือกช่วงเวลาที่จะให้รายงานสรุปการแจ้งเตือน

  สรุปการแจ้งเตือนด้วย Notification Summary

  สรุปการแจ้งเตือนด้วย Notification Summary

4. ใช้ Live Text เพื่อสแกนตัวอักษร ที่อยู่ในรูปภาพ

Live Text เป็นลูกเล่นใหม่ที่เพิ่มเข้ามาในกล้องของ iPhone โดยเมื่อเราส่องกล้องไปที่ใดก็ตามที่มีตัวอักษร ระบบจะทำการสแกนตัวอักษรในภาพให้เราอัตโนมัติ โดยเราสามารถที่จัดคัดลอก (Copy) เอาไปใส่ใน โน้ต (Notes) เพื่อเซฟบันทึกออกไปเป็นข้อความ หรือจะส่งให้เพื่อนใน แอป LINE ก็ได้ หรือจะใช้คำสั่ง Look Up เพื่อดูคำแปลก็สะดวก

อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ Live Text  รองรับแค่ภาษาอังกฤษ, จีน, ฝรั่งเศส, อิตาลี, เยอรมนี, โปรตุเกส และสเปน เท่านั้นนะครับ ยังไม่รองรับภาษาไทย และการจะใช้คุณสมบัตินี้ได้ จำเป็นต้องใช้ iPhone XS, iPhone XR หรือรุ่นที่ใหม่กว่าเท่านั้นนะครับ

สแกนตัวอักษรในภาพด้วย Live Text

  1. เปิดแอปกล้องขึ้นมา ส่อง Viewfinder ไปที่ที่มีตัวอักษร สังเกตว่าจะมีกรอบสีเหลืองปรากฏขึ้นมาครอบตัวอักษร แตะที่ "ไอคอนข้อความ" ตรงมุมขวาล่าง
  2. เลือกเมนูที่ต้องการ คัดลอก (Copy), เลือกทั้งหมด (Select All) หรือ มองขึ้นไป (Look Up)

การสแกนตัวอักษรในภาพด้วย Live Text ใน iOS

  1. นอกจากสแกนผ่าน Viewfinder แล้ว รูปในอัลบัมก็สามารถสแกนได้เช่นกัน โดยเปิดรูปที่มีตัวอักษรในภาพขึ้นมา
  2. แตะที่ "ไอคอนข้อความ" ตรงมุมขวาล่าง

  การสแกนตัวอักษรในภาพด้วย Live Text ใน iOS

  การสแกนตัวอักษรในภาพด้วย Live Text ใน iOS

5. ดูค่า EXIF ข้อมูลจำเพาะของรูปภาพได้แล้ว

ในที่สุด iOS 15 ก็อนุญาตให้เราสามารถตรวจสอบ ค่า EXIF (Exchangeable image file format จะบอกรายละเอียดของไฟล์ภาพ, กล้องที่ถ่าย, เลนส์ที่ใช้ ฯลฯ) ของภาพผ่านแอป Photos ได้สักที ทำให้เราไม่จำเป็นต้องใช้ แอปพลิเคชันบุคคลที่สาม (3rd-Party Application) อีกต่อไป

วิธีดูค่า EXIF ของรูปภาพผ่านแอป Photos

  1. เลือกรูปภาพที่เราต้องการดูค่า EXIF
  2. แตะที่ "ไอคอน i" ที่ด้านล่าง

  การดูค่า EXIF ของรูปภาพผ่านแอป Photos ใน iOS 15

  การดูค่า EXIF ของรูปภาพผ่านแอป Photos ใน iOS 15

6. เพิ่มภาพพื้นหลังใน เว็บเบราว์เซอร์ Safari

ก่อนหน้านี้ใน macOS Big Sur ทาง Apple ได้เพิ่มความสามารถในการตั้งภาพพื้นหลัง (Wallpaper) ให้กับ Safari ไปแล้ว ซึ่งใน iOS 15 ตอนนี้ก็สามารถทำได้แล้วเช่นกัน ใครที่เบื่อพื้นหลังสีขาว/สีดำ ก็ลองเปลี่ยนพื้นหลังกันดูได้

วิธีเพิ่มภาพพื้นหลังใน Safari

  1. เปิด "แอป Safari" ที่เป็นเว็บเบราว์เซอร์ ที่ติดมากับ iOS ขึ้นมา เลื่อนลงไปด้านล่างสุดของหน้าจอ
  2. แตะที่ "ปุ่ม Edit" แล้วแตะที่ "เมนู Background image" เลือกภาพที่ต้องการ ถ้าอยากได้ภาพที่หามาเองก็แตะที่ "+"

  วิธีเพิ่มภาพพื้นหลังในแอป Safari บน iOS

  วิธีเพิ่มภาพพื้นหลังในแอป Safari บน iOS

7. ใช้งานส่วนขยาย (Extension) ใน เว็บเบราว์เซอร์ Safari

ปฎิเสธไม่ได้เลยว่า ส่วนขยายของเว็บเบราว์เซอร์ (Web Browser Extensions) นั้นมีหลายตัว ที่น่าใช้งานมาก ๆ อย่าง เว็บเบราว์เซอร์ Chrome จาก Google ส่วนหนึ่งที่ทำให้มันประสบความสำเร็จได้อย่างในปัจจุบัน ส่วนหนึ่งก็มาจากการที่มันมีส่วนขยายให้เลือกใช้งานเป็นจำนวนมาก ซึ่งใน iOS 15 ตัว เว็บเบราว์เซอร์ Safari ก็รองรับการทำงานของส่วนขยายแล้วเช่นกัน หลังจากที่ก่อนหน้านี้มีแค่ Ad-Blockers เท่านั้น

แต่ก็ต้องยอมรับว่า ในขณะนี้ส่วนขยายที่มีให้ดาวน์โหลดมาใช้งานยังมีน้อยอยู่นะ ก็ต้องรอทางผู้พัฒนาเขาพัฒนากันสักพักใหญ่ ๆ แหละ

วิธีใช้งาน Extensions ใน Safari

  1. เปิดแอป App Store 
  2. ค้นหาว่า "safari extension"
  3. เลือกติดตั้งส่วนขยายที่ต้องการ

  วิธีใช้งาน Extensions ใน Safari ของระบบปฏิบัติการ iOS

  วิธีใช้งาน Extensions ใน Safari ของระบบปฏิบัติการ iOS

8. การลากแล้ววาง (Drag & Drop) วัตถุต่างๆ

ใน iOS 15 คุณสามารถ "จิ้มหน้าจอค้าง" เพื่อเลือกรูปภาพ, วิดีโอ, ข้อความ หรือไฟล์ จากแอปพลิเคชันหนึ่ง แล้วลากไปใส่ในอีกแอปพลิเคชันหนึ่งได้ทันทีเลยนะครับ อธิบายอาจจะไม่ค่อยเห็นภาพ ลองดูตัวอย่างการใช้งาน โดยเราจะlสาธิตการลากตัวอักษร และรูปภาพจาก แอป Safari ไปยังแอป Notes ให้ดูเป็นตัวอย่าง และลากจากแอป Photos ไปยัง แอป LINE ได้อีกด้วยเช่นกัน

 การลากแล้ววาง (Drag & Drop) ใน iOS

 การลากแล้ววาง (Drag & Drop) ใน iOS

9. ใช้งานโหมด Portrait ในแอป 3rd-Party

โหมด Portrait หรือ โหมดที่คนไทยบางคนนิยมเรียกว่า "โหมดหน้าชัดหลังเบลอ" เป็นโหมดที่มีอยู่ในกล้องของ iPhone ที่เปิดตัวเป็นครั้งแรกใน iPhone X โดยความเจ๋งของโหมดนี้คือ ทำให้ภาพดูเหมือนถ่ายด้วยเลนส์ระดับสูง มีโบเก้ (ปลอม) ที่สวยงาม ซึ่งใน iOS 15 โหมด Portrait ก็ได้การปรับปรุงคุณสมบัติการทำงานให้ดีขึ้นด้วยเช่นกัน

สำหรับในเรื่องความฉลาดในการเบลอ หรือสีสัน ความคมชัดของกล้องเราคงไม่ต้องพูดถึง เพราะสิ่งเหล่านั้นมันเป็นของตายที่ต้องดีขึ้นอยู่แล้ว แต่สิ่งที่น่าสนใจที่ถูกเพิ่มเข้ามาใน iOS 15 คือ ในที่สุดทาง Apple ก็อนุญาตให้ใช้ โหมด Portrait ในแอปพลิเคชันบุคคลที่สาม (3rd-Party) ที่ไม่ได้พัฒนาโดย Apple ได้แล้วอีกด้วยเช่นกัน

วิธีใช้งานโหมด Portrait ในแอป 3rd-Party

  1. ในการใช้งานโหมด Portrait นั้น ไม่ต้องรอให้เจ้าของแอป 3rd-Party อัปเดตตัวแอปก่อนแต่อย่างใด
  2. ผู้ใช้แค่เพียงเปิดใช้งานแอปพลิเคชันที่ต้องการตามปกติ
  3. จากนั้นเวลาที่เราใช้งานคุณสมบัติกล้อง ให้เอานิ้วลากที่มุมขวาบนจอลงมาด้านล่าง เพื่อเปิด " Control Center"
  4. แตะที่ "ไอคอน Video Effects"
  5. ปรับ Portrait ให้เป็น "On"

  วิธีใช้งานโหมด Portrait ในแอป 3rd-Party ของ iOS

  วิธีใช้งานโหมด Portrait ในแอป 3rd-Party ของ iOS

10. ปิดการแจ้งเตือนใน Notification Center ชั่วคราว

บางเวลา แอปพลิเคชันที่เรายินยอมให้ส่งแจ้งเตือนเข้าศูนย์แจ้งเตือน (Notification Center) ได้ มันก็เกิดคึก ส่งแจ้งเตือนมาถี่ผิดปกติจนเราอาจเกิดความรำคาญได้ แล้วอยากปิดแจ้งเตือนของแอปดังกล่าวเพียงแค่ชั่วคราว หากต้องการ ใน iOS 15 สามารถทำแบบนั้นได้นะ

วิธีปิดแจ้งเตือนใน Notification Center ชั่วคราว

  1. ที่แอปพลิเคชันที่ต้องการปิดแจ้งเตือน ให้ทำการปัดหน้าจอไปทางซ้าย แล้วแตะที่ "ปุ่ม Options"
  2. จะมีตัวเลือก "Mute for 1 Hour" (ปิดแจ้งเตือน 1 ชั่วโมง) และ "Mute for Today" (ปิดแจ้งเตือนวันนี้) ก็เลือกที่ต้องการใช้งานได้เลย

  การปิดการแจ้งเตือนของ Notification Center ชั่วคราวใน iOS

  การปิดการแจ้งเตือนของ Notification Center ชั่วคราวใน iOS

11. สร้างบรรยากาศด้วยเสียงพื้นหลัง (Background Sound)

มีใครรู้สึกว่าการฟังเสียงคลื่นทะเล, เสียงฝนตก หรือฟังเพลงคลอไปกับเสียงธรรมชาติเหล่านี้ ทำให้รู้สึกผ่อนคลายได้มากขึ้นบ้างหรือเปล่า หากใช่ เราอยากบอกว่าใน iOS 15 มีลูกเล่นในการเล่นเสียงธรรมชาติเหล่านั้นซ่อนอยู่ด้วยนะ แถมสามารถตั้งให้เล่นไปพร้อมกับการฟังเพลงผ่านแอปพลิเคชันต่าง ๆ ไปพร้อมกันได้ด้วย

วิธีเปิดใช้งาน Background Sounds

  1. เข้าไปที่แอป Settings แล้วแตะไปที่ "เมนู Accesibility"
  2. ใต้ "หัวข้อ HEARING" ให้แตะเข้าไปที่ "เมนู Audio/Visual"
  3. แตะเข้าไปที่ "เมนู Background Sounds"

  การสร้างบรรยากาศด้วยเสียงพื้นหลัง (Background Sound) ใน iOS

  การสร้างบรรยากาศด้วยเสียงพื้นหลัง (Background Sound) ใน iOS

  1. แตะเข้าไปที่ "Sound" เพื่อเลือกเสียงที่ต้องการ สามารถปรับความดังของเสียงได้ในหน้าจอนี้
  2. หากต้องการให้เล่นเสียงไปด้วยระหว่างฟังเพลงจาก แอปพลิเคชันบุคคลที่สาม (3rd-Party Application) ให้แตะเปิดใช้งานที่ "เมนู Use When Media is Playing"

  การสร้างบรรยากาศด้วยเสียงพื้นหลัง (Background Sound) ใน iOS

  การสร้างบรรยากาศด้วยเสียงพื้นหลัง (Background Sound) ใน iOS

12. ปรับแต่งการเล่นเสียงใน Voice Memos

หลายคนนิยมใช้ Voice Memos ในการบันทึกเสียงระหว่างประชุม หรือการเลคเชอร์ ของ ครู/อาจารย์ ใน iOS 15 ได้ปรับปรุงระบบการเล่นเสียงที่ถูกบันทึกไว้ ให้สามารถฟังได้สะดวกขึ้น และช่วยลดระยะเวลาที่ต้องใช้ในการฟังได้อีกด้วย

วิธีปรับแต่งการเล่นเสียงใน Voice Memos

  1. แตะเลือกไฟล์ที่ต้องการฟัง
  2. แตะที่ "ไอคอนเครื่องมือ" ที่อยู่ด้านซ้ายสุด
  3. ปรับความเร็วในการเล่นได้ที่แถบ "เต่า-กระต่าย"
  4. ถ้าตรงการให้ข้ามช่วงที่เงียบอัตโนมัติ ให้แตะที่ "Skip Silence"

  วิธีปรับแต่งการเล่นเสียงใน Voice Memos ใน iOS

  วิธีปรับแต่งการเล่นเสียงใน Voice Memos ใน iOS

13. ค้นหาชื่อเพลงที่ได้ยินด้วย Shazam

อันที่จริง นี่ก็ไม่เชิงคุณสมบัติใหม่สักเท่าไหร่ เพราะ Apple ได้ใส่ Shazam เข้ามาใน iOS นานแล้วล่ะ แต่ก่อนหน้านี้จะเป็นการเรียกใช้งานผ่าน Siri ด้วยการพูดกับ Siri ว่า "เฮ้ Siri นี่คือเพลงอะไร ?" อะไรประมาณนี้ แต่มันก็มีปัญหาอยู่บ้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาที่เราอยู่ในที่ที่มีเสียงรบกวนค่อนข้างดัง อาจจะทำให้การคุยกับ Siri ไม่สะดวกสักเท่าไหร่ แต่ใน iOS 15 เราสามารถใช้งาน Shazam ผ่าน Control Center ได้แล้วนะ

สำหรับคนที่ไม่รู้ว่ามันเอาไว้ทำอะไร คือ มันจะ "ฟังเพลง" แล้วบอกชื่อเพลง กับศิลปินให้กับเรา เป็นลูกเล่นที่ผู้เขียนใช้บ่อยมาก เวลาไปร้านกาแฟ, คาเฟ่ หรือคลับที่เปิดเพลง แล้วอยากรู้ว่าที่ฟังอยู่ คือ เพลงอะไร ?

วิธีค้นหาชื่อเพลงที่ได้ยินด้วย Shazam

  1. ก่อนอื่นเราต้องเพิ่ม "เมนู Shazam" เข้ามาในศูนย์ควบคุม (Control Center) ก่อนเป็นลำดับแรก เพราะมันไม่ได้ตั้งค่าใส่มาให้ตั้งแต่แรก
  2. ไปที่แอป Settings แล้วแตะไปที่ "เมนู Control Center"
  3. ใต้หัวข้อ "MORE CONTROLS" แตะ "+" เพื่อเพิ่มตัวเลือก "Music Recognition" 

  วิธีค้นหาชื่อเพลงที่ได้ยินด้วย Shazam บน iOS

  วิธีค้นหาชื่อเพลงที่ได้ยินด้วย Shazam บน iOS

  1. เวลาอยากรู้ชื่อเพลงก็เข้า Control Center แล้วแตะที่ "ไอคอน Shazam"
  2. รอให้มันฟังเพลงสักครู่ แล้วจะมีหน้าต่างแจ้งเตือนชื่อเพลงแสดงผลขึ้นมาที่ด้านบน

  วิธีค้นหาชื่อเพลงที่ได้ยินด้วย Shazam บน iOS

  วิธีค้นหาชื่อเพลงที่ได้ยินด้วย Shazam บน iOS

  1. สามารถดูรายการค้นหาเพลงย้อนหลังด้วยการแตะ "ไอคอน Shazam" ค้างเอาไว้

วิธีค้นหาชื่อเพลงที่ได้ยินด้วย Shazam บน iOS

14. รีเฟรชด้วยการดึงหน้าจอลงใน Safari

การดึงหน้าจอลงมาด้านล่าง เป็นท่า Gesture ที่ในหลายแอปพลิเคชันใช้ในการสั่ง "รีเฟรช" และในที่สุด Safari บน iOS 15 ก็รองรับคำสั่ง Gesture นี้สักที วิธีใช้งานก็ไม่มีอะไรมาก แค่จิ้มจอแล้วลากลงมาแค่นั้นแหละ คุณจะเห็นสัญลักษณ์รีเฟรชหมุนอยู่ที่ด้านบนเป็นการบ่งบอกว่ากำลังรีเฟรชข้อมูลอยู่

  รีเฟรชด้วยการดึงหน้าจอลงใน Safari ใน iOS

  รีเฟรชด้วยการดึงหน้าจอลงใน Safari ใน iOS


หากใครมีเคล็ดลับอื่นๆ  แนะนำก็ลองทิ้งความเห็นไว้ได้นะครับ เพื่อน ๆ คนอื่นจะได้มาลอกการบ้านไปใช้งานตามดูบ้าง


วิดีโอประกอบจาก Youtube

ที่มา : www.techadvisor.com , www.iphonehacks.com , support.apple.com

0 %E0%B9%80%E0%B8%84%E0%B8%A5%E0%B9%87%E0%B8%94%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%9A+%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%84%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%84%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%83%E0%B8%8A%E0%B9%89%E0%B8%87%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B9%88+%E0%B9%86+%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%96%E0%B8%B9%E0%B8%81%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B9%88%E0%B8%A1%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B9%83%E0%B8%99+iOS+15
แชร์หน้าเว็บนี้ :
Keyword คำสำคัญ »
เขียนโดย
ระดับผู้ใช้ : Admin    Thaiware
แอดมินสายเปื่อย ชอบลองอะไรใหม่ไปเรื่อยๆ รักแมว และเสียงเพลงเป็นพิเศษ
 
 
 

ทิปส์ไอทีที่เกี่ยวข้อง

 


 

แสดงความคิดเห็น