เชื่อว่าหลาย ๆ คนน่าจะเคยมีประสบการณ์คล้าย ๆ กันที่เล่นเกมหรือไถโซเชียลอยู่ดี ๆ ก็หมุนค้าง โหลดอะไรก็ไม่ไป ทั้งที่ต่อ Wi-Fi อยู่แต่ก็เหมือนจะใช้งานไม่ได้ขึ้นมาซะอย่างนั้น ? ซึ่งถ้าสมมติว่าเกิดปัญหานี้ในตอนที่ใช้งานลิฟต์ก็ยังพอเข้าใจได้ว่าเป็นจุดอับสัญญาณที่เมื่อออกจากลิฟต์สักระยะหนึ่งก็คงจะหาย
แต่ว่าหลาย ๆ ครั้งก็พบว่าปัญหานี้ดันเกิดในตอนนี้นอนเล่นมือถืออยู่บนโซฟาที่บ้านหรืออยู่ในห้างสรรพสินค้าใจกลางเมืองที่ไม่มีทางจะเป็นจุดอับสัญญาณไปได้อย่างแน่นอน และเมื่อเจอแบบนี้เข้าบ่อยก็เริ่มจะรู้แกวแล้วว่าควรจะทำยังไงให้มันกลับมาใช้งานได้ปกติ (เสียที) วันนี้ก็เลยลองเอา วิธีแก้ Wi-Fi ต่อ (ไม่) ติด มาฝากกัน !
แน่นอนว่าเป็นสิ่งที่หลาย ๆ คนทำกันอยู่เป็นประจำแน่นอนอยู่แล้ว ถ้ามีปัญหาเกี่ยวกับการใช้งานอินเทอร์เน็ตขณะที่เปิดใช้ Wi-Fi ก็มักจะกดเข้าไปเช็คใน "เมนู Wi-Fi" ว่าเกิดปัญหาการใช้งานในด้านใด
ซึ่งสำหรับใครที่ตั้งค่าการใช้งาน Wi-Fi เป็นแบบการเชื่อมต่ออัตโนมัติ (Auto-Connect) แล้วละก็ เราจะพบว่าหลาย ๆ ครั้งเมื่อเข้าไปเช็คการเชื่อมต่อ Wi-Fi ใน "เมนู Settings" และกดไปที่ "เมนู Wi-Fi" ก็พบว่าโทรศัพท์หรือแท็บเล็ตของเราไปเชื่อมต่อกับ Wi-Fi ของคนอื่นหรือ Wi-Fi ที่สัญญาณอ่อนเกินไปจนทำให้เกิดปัญหาในการใช้งานขึ้นมาได้นั่นเอง หรือบางครั้งอาจขึ้นข้อความว่า "No Internet Connection" เพราะอยู่นอกระยะสัญญาณ Wi-Fi แล้วแต่เครื่องยังเชื่อมต่อกับตัว Wi-Fi อยู่ทำให้เกิดปัญหานี้ขึ้นมา
ภาพจาก : https://www.makeuseof.com/iphone-ipad-wont-connect-to-wi-fi/
ดังนั้นวิธีแก้ปัญหาก็มีอยู่ 2 อย่างง่าย ๆ คือ
ภาพจาก : https://www.metageek.com/training/resources/band-steering.html
บางครั้งปัญหาการใช้งาน Wi-Fi ก็เกิดมาจากการเผลอไปกดใช้งาน โหมดเครื่องบิน (Airplane Mode) ที่จะตัดการเชื่อมต่อสัญญานทั้งหมดของสมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ตของเราเมื่อเปิดใช้งานโหมดนี้ ดังนั้นวิธีแก้ก็ได้แก่การกดปิดการใช้งานโหมดเครื่องบิน และดูให้แน่ใจว่าเปิดการใช้งาน Wi-Fi ไว้ก็น่าจะช่วยแก้ปัญหานี้ได้แล้ว
ภาพจาก : https://www.businessinsider.com/why-wont-my-android-phone-connect-to-wifi#make-sure-that-wi-fi-is-enabled-2
หากลองวิธีด้านบนแล้วยังไม่ได้ผลก็ลองทำตามขั้นตอนดังนี้
โดยวิธีนี้เหมาะสำหรับการเชื่อมต่อ Wi-Fi ส่วนตัวหรือขององค์กรที่สามารถถามถึงรหัส Wi-Fi ใหม่อีกรอบได้หากลืมรหัส Wi-Fi ขึ้นมา ซึ่งหากกรอกรหัสเดิมแล้วใช้งานไม่ได้อาจเป็นเพราะมีคนเปลี่ยนรหัสก็เป็นได้ ลองถามคนอื่น ๆ ถึงรหัส Wi-Fi ที่เปลี่ยนใหม่แล้วทำการเชื่อมต่อใหม่อีกครั้ง หรือหากยังเชื่อมต่อไม่ได้ก็ดูให้ดี ๆ ว่ากดรหัสถูกต้องทุกตัวอักษรแล้วหรือยัง (เช่น บางคนอาจใส่ตัว I (ตัวอักษร i พิมพ์ใหญ่) สลับกับ l (ตัวอักษร l พิมพ์เล็ก) ก็เป็นได้)
ภาพจาก : https://www.makeuseof.com/iphone-ipad-wont-connect-to-wi-fi/ และ https://www.technipages.com/android-authentication-error
สำหรับใครที่ไปห้างสรรพสินค้าหรือสนามบินที่ส่วนมากจะมีบริการ Wi-Fi ให้บริการอยู่แล้วนั้น ส่วนมากจะมีบริการ Wi-Fi มากกว่า 1 บริการ ให้เลือกเชื่อมต่อ Wi-Fi ที่ระยะสัญญาณใกล้บริเวณที่เรานั่งมากที่สุดโดยสังเกตที่จำนวนขีดของ Wi-Fi ที่มากที่สุด กดเชื่อมต่อการใช้งาน Wi-Fi นั้น ๆ จากนั้นระบบจะพาไปสู่หน้าเข้าสู่ระบบ (Login Page) ของ Wi-Fi นั้น ๆ เพื่อให้ทำการสมัครใช้งานหรือลงชื่อเข้าใช้งานบริการ Wi-Fi (หากเคยลงทะเบียนแล้ว)
แต่ในกรณีถ้ากดเชื่อมต่อแล้วยังไม่มีอะไรเกิดขึ้นก็ลองเปิด เว็บเบราว์เซอร์ ขึ้นมาและเข้าเว็บไซต์ใดก็ได้ ระบบจะขึ้นหน้าการลงทะเบียนใช้งาน Wi-Fi นั้น ๆ ขึ้นมาก่อนจึงจะสามารถใช้งานเว็บไซต์ได้ โดยในขั้นตอนนี้ผู้ใช้จะต้องยอมรับข้อกำหนดในการใช้งานก่อนจึงจะสามารถลงทะเบียนใช้งานได้
ภาพจาก : https://www.pulpconnection.net/2018/04/google-starbucks-wifi-since-when/
ซึ่งหากใครใช้งาน Wi-Fi สาธารณะของค่ายมือถือที่ใช้งานอยู่ก็ไม่น่ามีปัญหาอะไรมากนัก เพราะการลงทะเบียนใช้งานส่วนมากจะผูกกับเบอร์โทรศัพท์ของค่ายนั้น ๆ ที่มาพร้อมบริการ Wi-Fi แบบ Unlimited อยู่แล้ว สิ่งที่ต้องทำก็มีแค่การสมัครลงทะเบียนใช้งาน ตั้งชื่อผู้ใช้งาน (ส่วนมากจะบังคับตั้งเป็นเบอร์โทรศัพท์) และตั้งรหัสผ่านเพื่อเปิดใช้งานบริการ Wi-Fi นั้น ๆ ก็จะสามารถใช้งานได้แล้ว (บางค่ายมือถือจะมีรหัสผ่านกำหนดเอาไว้เป็นเลขท้ายเบอร์โทรศัพท์ที่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ภายหลัง แต่แนะนำว่าไม่ต้องเปลี่ยนจะง่ายต่อการจำมากกว่า)
แต่ในกรณีถ้าหากในบริเวณที่อยู่ไม่มีบริการ Wi-Fi ของค่ายมือถือที่ใช้งานอยู่และไม่มีบริการ Wi-Fi สาธารณะอื่น ๆ ก็คงต้องทำใจและใช้งานเน็ตมือถือของตัวเองกันต่อไป
อีกวิธีง่าย ๆ สุดเบสิกที่หลายคนคงเคยทำกันมาแล้วอย่างการ "ปิดเครื่องแล้วเปิดใหม่" ก็เป็นอีกวิธีแก้ปัญหาที่ดีทีเดียว เพราะในหลาย ๆ ครั้งที่ไม่รู้จะทำยังไงกับมันดีแล้ว วิธีนี้ก็ช่วยได้มากแถมไม่ยุ่งยากอีกต่างหาก ซึ่งถ้าใครประสบปัญหาการเชื่อมต่อ Wi-Fi ไม่ติดในบ้านของตัวเองก็แนะนำว่าให้รีสตาร์ทมันทั้งตัว เราเตอร์กระจายสัญญาณ Wi-Fi และสมาร์ทโฟน / แท็บเล็ต (หรืออุปกรณ์อื่น ๆ) ไปพร้อม ๆ กันเลยน่าจะดีกว่า และถ้ารู้สึกว่า Router ร้อนเกินไปก็ทิ้งระยะประมาณ 5 - 10 นาทีให้เครื่องเย็นลงแล้วค่อยเปิดใหม่ก็น่าจะช่วยแก้ปัญหานี้ได้แล้ว
ภาพจาก : shorturl.at/jqvR3 และ shorturl.at/kqM16
ถ้าลองมาหลายวิธีแล้วยังไม่หายก็ให้ลองกดเชื่อมต่อ Wi-Fi อันอื่นที่นอกเหนือจากที่ใช้งานอยู่เป็นประจำดู หากไม่สามารถเชื่อมต่อเข้ากับ Wi-Fi ใด ๆ ได้เลยอาจเป็นปัญหาที่ตัวเครื่องของเราก็เป็นได้ ซึ่งหากเกิดปัญหานี้นอกจากการปิดเครื่องแล้วเปิดใหม่ก็มีอีกวิธีที่น่าจะช่วยแก้ปัญหาได้ นั่นก็คือการ "กด Reset Network Settings"
แต่วิธีนี้จะเป็นการล้างการเชื่อมต่อเครือข่าย (Reset Network Connection) ภายนอกทั้ง Wi-Fi, Bluetooth, VPN และการเชื่อมต่อของเครือข่ายมือถือทั้งหมดให้กลับไปยังค่าตั้งต้น ดังนั้นจึงไม่ค่อยแนะนำเท่าไรนัก
โดยสำหรับผู้ใช้ iOS
ภาพจาก : https://www.makeuseof.com/iphone-ipad-wont-connect-to-wi-fi/
ส่วนผู้ใช้สมาร์ทโฟน หรือ แท็บเล็ต Android
ถ้าหากทำการรีเซ็ต หรือล้างการตั้งค่าเครือข่าย (Reset Network Settings) แล้วยังไม่ได้ผลก็อาจต้องลอง ล้างการตั้งค่าเราเตอร์ (Reset Router) ใหม่ดู โดยการกดปิดเครื่อง ดึงปลั๊กและสายเชื่อมต่อออกประมาณ 30 วินาทีแล้วเสียบไฟใหม่อีกครั้งหนึ่ง หรือถอดปลั๊กออกแล้วกดค้างที่ "ปุ่ม Reset" ไว้ 5 - 10 วินาที จากนั้นทำการเปิดเครื่องและตั้งค่าการใช้งานเราเตอร์ และเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ต่าง ๆ ใหม่อีกครั้ง
แต่ถ้าหากทดลองหมดทั้ง 7 วิธีข้างต้นแล้วยังพบปัญหาการใช้งาน Wi-Fi อยู่ก็น่าจะเป็นปัญหาการใช้งานที่เราไม่สามารถแก้ไขได้เองและต้องพึ่งพาผู้เชี่ยวชาญโดยการเอาเครื่องเข้าศูนย์ซ่อม หรือใช้เงินแก้ปัญหาอย่างการซื้อเครื่องใหม่แทนแล้วล่ะ
|
ตัวเม่นผู้รักในการนอน หลงใหลในการกิน และมีความใฝ่ฝันจะเป็นนักดูคอนเสิร์ตแต่เหมือนศิลปินที่ชื่นชอบจะไม่รับรู้ว่าโลกนี้มียังประเทศไทยอยู่.. |