ทุกเคยสงสัยกันไหม ว่าในยุคดิจิทัลที่เราใช้ชีวิตอยู่ทุกวันนี้ มีข้อมูลมหาศาลที่จากการที่เราใช้ชีวิตประจำวัน แต่มันถูกส่งถึงกันได้อย่างไรนะ ? ไม่ว่าจะเป็นข้อความ, รูปภาพ, วิดีโอ หรือข้อมูลต่าง ๆ ซึ่งทั้งหมดนี้ถูกส่งผ่านวิธีการที่ซับซ้อนนั่นก็คือ "การส่งข้อมูล" หรือ "Data Transmission" นั่นเอง
และในบทความนี้จะพาทุกคนไปเจาะลึกวิธีการในการส่งข้อมูล ตั้งแต่ความหมาย, หลักการทำงาน, ปัจจัยที่ส่งผลต่อการส่งข้อมูล, ประเภทการส่งข้อมูล และการเปรียบเทียบชนิดข้อมูลต่าง ๆ เพื่อให้ทุกคนเข้าใจว่าข้อมูลเดินทางจากอุปกรณ์สู่อีกอุปกรณ์ได้อย่างไร ?
การส่งข้อมูล (Data Transmission) คือ กระบวนการในการส่ง และรับข้อมูล ระหว่างอุปกรณ์ต่าง ๆ ซึ่งสามารถทำได้ผ่านวิธีการเชื่อมต่อหลายประเภทเช่น สายเคเบิล, ไฟเบอร์ออปติก หรือ เครือข่ายไร้สาย (Wi-Fi) การส่งข้อมูลเป็นสิ่งสำคัญในชีวิตประจำวันของเราไม่ว่าจะเป็นการส่งอีเมล, รับสายโทรศัพท์ หรือดูรายการทีวีโปรดของเรา และในเชิงธุรกิจการส่งข้อมูลก็มีบทบาทสำคัญ เช่น การประชุมผ่านวิดีโอ, สั่งซื้อสินค้าออนไลน์ และการสตรีมมิ่ง ซึ่งทั้งหมดนี้ช่วยให้การติดต่อสื่อสารทั่วโลกเป็นไปได้อย่างราบรื่นนั่นเอง
แต่ทุกคนเคยสังเกตไหมว่าบางครั้งเว็บไซต์ หรือแอปพลิเคชันมันอาจจะโหลดช้า ? ซึ่งปัญหานี้มักเกิดจากข้อจำกัดของการส่งข้อมูล เช่น แบนด์วิดท์ (Bandwidth) , ความหน่วง (Latency) และความเข้ากันได้ของฮาร์ดแวร์ ซึ่งปัจจัยเหล่านี้สามารถส่งผลต่อการดำเนินธุรกิจ และประสบการณ์ของผู้ใช้ได้อย่างมาก
ภาพจาก : https://www.raysync.io/news/everything-you-need-to-know-about-data-transfer/
การส่งข้อมูล (Data Transmission) เกิดขึ้นเมื่อมีอุปกรณ์ดิจิทัลสองเครื่อง หรือมากกว่าทำการสื่อสารกันผ่านระบบเครือข่าย ซึ่งต้องอาศัยองค์ประกอบสำคัญดังนี้
อุปกรณ์ที่เป็นผู้เริ่มต้นการส่งข้อมูล เช่น คอมพิวเตอร์ PC , สมาร์ทโฟน (Smartphone), หรือ เซิร์ฟเวอร์ (Server) เมื่ออุปกรณ์เหล่านี้ส่งข้อมูลออกไปจะถูกแปลงเป็นสัญญาณดิจิทัลเพื่อให้สามารถส่งผ่านเครือข่ายได้
อุปกรณ์ที่รับข้อมูลจากผู้ส่ง ซึ่งเป็นอุปกรณ์ใดๆ ที่สามารถถอดรหัสสัญญาณ และแปลงกลับเป็นข้อมูลที่เราเข้าใจได้ เช่น เมื่อเราเปิดอีเมลในโทรศัพท์ หรือดูวิดีโอในคอมพิวเตอร์ ข้อมูลจะถูกถอดรหัสเพื่อแสดงผลอย่างถูกต้อง
เนื้อหาที่ถูกส่งจากอุปกรณ์หนึ่งไปยังอีกอุปกรณ์หนึ่ง ข้อมูลนี้สามารถอยู่ในหลายรูปแบบ เช่น ข้อความ (Message) , ภาพ (Image) , เสียง (Audio) , วิดีโอ (Video) , ไฟล์เอกสาร (Document File) หรือแม้กระทั่งข้อมูลเซนเซอร์จาก อุปกรณ์ IoT โดยข้อมูลจะถูกจัดเตรียม และแบ่งเป็นแพ็กเก็ต (Packets) เพื่อให้ส่งผ่านเครือข่ายได้อย่างรวดเร็ว และมีประสิทธิภาพ
ช่องทาง หรือเส้นทางที่ข้อมูลถูกส่งผ่าน ซึ่งสามารถเป็นทั้งสายเคเบิลเช่น สายทองแดง, สายไฟเบอร์ออปติก, หรือสัญญาณไร้สาย เช่น Wi-Fi, บลูทูธ (Bluetooth) , หรือสัญญาณโทรศัพท์มือถือ ประเภทของสื่อกลางจะส่งผลต่อความเร็ว และความเสถียรของการส่งข้อมูล
สำหรับ โปรโตคอล (Protocol) คือ ชุดของกฎที่ใช้ควบคุมการส่งข้อมูล เช่น การกำหนดรูปแบบของข้อมูล, เวลาในการส่ง และลำดับของการรับส่งข้อมูล ตัวอย่างโปรโตคอลที่ใช้กันมาก ได้แก่ TCP/IP ที่เป็นพื้นฐานของการสื่อสารใน อินเทอร์เน็ต (Internet) และ HTTP / HTTPS ที่ใช้สำหรับการเปิดเว็บเพจ โปรโตคอลเหล่านี้ทำให้มั่นใจได้ว่าข้อมูลจะถูกส่งไปถึงปลายทางอย่างถูกต้อง และปลอดภัย
การส่งข้อมูล (Data Transmission) นั้นสามารถทำได้หลายรูปแบบ โดยเราสามารถแบ่งโหมดของการส่งข้อมูลออกเป็นประเภทต่างๆ ได้ตามปัจจัยหลัก ๆ สามประการได้แก่
คือวิธีที่ข้อมูลไหลจากผู้ส่งไปยังผู้รับ โดยแบ่งออกเป็น 3 ประเภทหลัก ได้แก่ Simplex (การส่งทางเดียว), Half-Duplex (การส่งสองทางแบบสลับกัน), และ Full-Duplex (การส่งสองทางพร้อมกัน)
หมายถึงการประสานการทำงานระหว่างผู้ส่ง และผู้รับ แบ่งออกได้เป็นสองประเภท คือ Synchronous (การส่งข้อมูลแบบซิงโครไนซ์) ที่ผู้ส่งและผู้รับต้องทำงานพร้อมกัน และ Asynchronous ที่ไม่จำเป็นต้องซิงโครไนซ์กัน
หมายถึงจำนวนบิตที่ถูกส่งพร้อมกันผ่านเครือข่าย แบ่งออกเป็น Serial (การส่งข้อมูลแบบทีละบิต) และ Parallel (การส่งข้อมูลหลายบิตพร้อมกัน)
การส่งข้อมูลมีหลายรูปแบบที่สามารถแบ่งได้ตามปัจจัยที่เราได้พูดถึงไปก่อนหน้านี้ การส่งข้อมูลสามารถทำได้หลากหลายวิธีตามลักษณะ และความต้องการที่แตกต่างกัน ทีนี้เรามาดูรายละเอียดเกี่ยวกับวิธีการส่งข้อมูลระหว่างอุปกรณ์กัน
ภาพจาก : https://gcore.com/learning/data-transmission-guide-everything-you-need-to-know/
เป็นการสื่อสารที่ข้อมูลสามารถส่งได้เพียงทิศทางเดียว ผู้ส่งจะสามารถส่งข้อมูลได้ แต่ไม่สามารถรับข้อมูลกลับมาได้ ส่วนผู้รับเองก็จะรับข้อมูลได้อย่างเดียวไม่สามารถส่งกลับไปยังผู้ส่งได้ เปรียบเสมือนถนนที่เดินรถได้ทางเดียว
เป็นโหมดการส่งที่ไม่เป็นที่นิยมมากนักเพราะขาดความยืดหยุ่นในการสื่อสารสองทาง อย่างไรก็ตามการส่งข้อมูลแบบ Simplex ก็ยังมีประโยชน์ในบางกรณี เช่น การส่งสัญญาณวิทยุหรือโทรทัศน์ และอุปกรณ์ป้อนข้อมูลบนคอมพิวเตอร์ เช่น คีย์บอร์ด และเมาส์ ซึ่งการตอบกลับจากฝั่งผู้รับไม่ใช่สิ่งจำเป็น การส่งข้อมูลจากเครื่องส่งไปยังผู้รับก็เพียงพอแล้ว
ภาพจาก : https://gcore.com/learning/data-transmission-guide-everything-you-need-to-know/
เป็นการส่งข้อมูลที่สามารถส่งได้ทั้งสองทิศทาง แต่จะสลับกันส่งทีละฝั่งเท่านั้น ไม่เหมือนกับ Simplex ที่ข้อมูลไหลได้เพียงทางเดียว Half-Duplex อนุญาตให้ทั้งผู้ส่ง และผู้รับสามารถรับ และส่งข้อมูลได้ แต่ในเวลาหนึ่งจะมีเพียงฝั่งเดียวเท่านั้นที่สามารถส่งข้อมูลส่วนอีกฝั่งต้องรอรับ เปรียบเสมือนถนนสองเลนที่สามารถวิ่งสวนทางได้ แต่ในขณะหนึ่งจะมีเพียงเลนเดียวที่รถสามารถวิ่งได้
ซึ่งประเภทนี้มีประโยชน์ในกรณีที่ทั้งสองฝ่ายไม่จำเป็นต้องสื่อสารพร้อมกัน นอกจากนี้ยังช่วยในการตรวจจับข้อผิดพลาดในระหว่างการส่งข้อมูล หากเกิดปัญหาในกระบวนการส่ง หรือรับข้อมูล ผู้รับสามารถแจ้งผู้ส่งเพื่อส่งข้อมูลใหม่อีกครั้ง ตัวอย่างที่ชัดเจนของการส่งข้อมูลแบบ Half-Duplex คือการใช้วิทยุสื่อสาร (Walkie-Talkie) ผู้ใช้ทั้งสองฝ่ายไม่สามารถพูดพร้อมกันได้ แต่ต้องรอให้คนหนึ่งพูดจบก่อน
ภาพจาก : https://gcore.com/learning/data-transmission-guide-everything-you-need-to-know/
การส่งข้อมูลแบบ Full-Duplex เป็นประเภทที่ข้อมูลสามารถไหลได้ทั้งสองทิศทางพร้อมกัน ทำให้เกิดการสื่อสารแบบสองทางได้ในเวลาเดียวกัน ต่างจาก Half-Duplex ที่ต้องสลับกันส่งข้อมูลทีละฝั่ง Full-Duplex อนุญาตให้ทั้งผู้ส่ง และผู้รับสามารถส่ง และรับข้อมูลได้พร้อมกัน
ช่องทางการสื่อสารถูกแบ่งปันให้กับทั้งสองฝั่งทำให้สามารถสื่อสารได้พร้อมกัน ซึ่ง Full-Duplex เป็นตัวเลือกที่เหมาะสมเมื่อการสื่อสารสองทางเป็นสิ่งจำเป็น เช่น การสนทนาทางโทรศัพท์ ที่ผู้พูดทั้งสองฝ่ายสามารถพูด และฟังได้พร้อมกัน ต่างจากโหมด Half-Duplex ที่ต้องรอให้ฝั่งหนึ่งพูดเสร็จก่อนแล้วอีกฝั่งถึงจะตอบได้
เมื่อเรารู้จักโหมดการส่งข้อมูลต่าง ๆ แล้ว ทีนี้เรามาดูปัจจัยสำคัญอีกอย่างหนึ่งที่เกี่ยวกับการซิงโครไนซ์ระหว่างผู้ส่ง และผู้รับ ซึ่งก็คือการส่งข้อมูลแบบซิงโครนัส (Synchronous) และอะซิงโครนัส (Asynchronous) มีรายละเอียดดังนี้
การส่งข้อมูลแบบซิงโครนัสเป็นการส่งข้อมูลแบบ Full-Duplex ที่ข้อมูลถูกส่งอย่างต่อเนื่องโดยไม่มีการหยุดพัก ข้อมูลจะถูกซิงโครไนซ์ระหว่างผู้ส่ง และผู้รับผ่านสัญญาณนาฬิกาเดียวกัน ทำให้การส่งข้อมูลเกิดขึ้นอย่างราบรื่น และต่อเนื่อง ข้อมูลจะถูกส่งเป็นบล็อก หรือเป็นกลุ่มของบิต ซึ่งจะถูกจัดการโดยสัญญาณนาฬิกาเดียวกันระหว่างผู้ส่งและผู้รับ
ภาพจาก : https://gcore.com/learning/data-transmission-guide-everything-you-need-to-know/
ข้อมูลถูกส่งมาเป็นกลุ่มบิตไปยังผู้รับ และผู้รับจะจัดกลุ่มบิตเหล่านี้ให้ถูกต้องเพื่อให้สามารถถอดรหัส และเข้าใจข้อความได้ วิธีนี้ช่วยให้ข้อมูลถูกส่งได้รวดเร็ว โดยที่ผู้รับจะคอยนับจำนวนบิตที่เข้ามา และจัดกลุ่มเป็นชุดของ 8 บิต (หรือ 1 ไบต์) เพื่อนำไปประมวลผล นอกจากนี้ผู้รับยังคอยติดตามสัญญาณข้อมูลอยู่ตลอดเวลา แม้ในขณะที่ไม่มีข้อมูลถูกส่ง ก็ยังคงรับสัญญาณจากผู้ส่งได้ในอัตราเดียวกัน
การส่งข้อมูลแบบนี้มีประโยชน์ในการถ่ายโอนข้อมูลแบบเรียลไทม์ในเครือข่ายคอมพิวเตอร์ เช่น อีเทอร์เน็ต (Ethernet) และการสื่อสารผ่านไฟเบอร์ออปติก หรือระบบภายในคอมพิวเตอร์เช่น การสื่อสารระหว่าง หน่วยประมวลผลกลาง (CPU) และ หน่วยความจำหลัก (RAM) ที่ต้องการการส่งข้อมูลที่รวดเร็ว และแม่นยำ
การส่งข้อมูลแบบอะซิงโครนัสเป็นการส่งข้อมูลแบบ Half-Duplex ที่มีการเพิ่มบิตเริ่มต้น (Start Bit) และบิตหยุด (Stop Bit) ลงในข้อมูลที่ถูกส่ง เพื่อให้แน่ใจว่าข้อมูลถูกถ่ายโอนอย่างถูกต้องจากผู้ส่งไปยังผู้รับ แตกต่างจากการส่งข้อมูลแบบซิงโครนัสที่ต้องอาศัยสัญญาณนาฬิกาในการควบคุมความเร็วในการส่งและรับข้อมูล การส่งข้อมูลแบบอะซิงโครนัสไม่มีสัญญาณนาฬิกานี้ แต่ยังคงใช้งานได้อย่างน่าเชื่อถือ เพราะความเร็วในการส่งข้อมูลจะถูกปรับตามความสามารถของอุปกรณ์ทั้งสองฝั่ง
ภาพจาก : https://gcore.com/learning/data-transmission-guide-everything-you-need-to-know/
การส่งข้อมูลแบบอะซิงโครนัสเหมาะสำหรับการส่งข้อมูลที่ความเร็วไม่สูงมาก แต่สามารถบีบอัดข้อมูลเพื่อเพิ่มความเร็วในการส่งได้ ตัวอย่างที่พบบ่อยของการส่งข้อมูลแบบนี้คือการพิมพ์ข้อมูลจากแป้นพิมพ์คอมพิวเตอร์ เมื่อเรากดปุ่มข้อมูลจะถูกส่งไปยังคอมพิวเตอร์ในรูปแบบอะซิงโครนัส ซึ่งมีบิตเริ่มต้น และบิตหยุดเพื่อช่วยในการระบุจุดเริ่มต้น และสิ้นสุดของข้อมูลแต่ละชุด
หลังจากที่เราได้พูดถึงระดับการซิงโครไนซ์ในการส่งข้อมูลแล้ว หลังจากนี้เรามาดูวิธีการส่งข้อมูลที่แบ่งตามจำนวนบิตที่ถูกส่งผ่านเครือข่ายกัน แบ่งออกเป็น 2 ประเภทดังนี้
ภาพจาก : https://techdifferences.com/difference-between-serial-and-parallel-transmission.html
การส่งข้อมูลแบบอนุกรมจะส่งข้อมูลทีละบิตต่อเนื่องกันไปตามช่องทางการส่ง ซึ่งผู้ส่ง และผู้รับต้องซิงโครไนซ์กันเพื่อให้รับข้อมูลได้อย่างถูกต้อง แม้จะใช้เวลาส่งข้อมูลนานกว่า แต่สามารถรักษาลำดับ และความถูกต้องของข้อมูลได้ดี เหมาะสำหรับการส่งข้อมูลปริมาณน้อยหรือส่งข้อมูลระยะไกล เช่น การเชื่อมต่อระหว่างคอมพิวเตอร์สองเครื่องผ่านพอร์ตอนุกรม
การส่งข้อมูลแบบขนานจะส่งหลายบิตพร้อมกันผ่านหลายช่องทาง เหมือนกับถนนหลายเลนที่แต่ละเลนส่งข้อมูลต่างกัน การส่งแบบนี้ช่วยให้ถ่ายโอนข้อมูลปริมาณมากได้อย่างรวดเร็ว แต่เหมาะสำหรับระยะทางสั้น ๆ หากช่องทางการส่งอยู่ใกล้กันมากเกินไป อาจทำให้คุณภาพสัญญาณลดลง อีกทั้งยังมีค่าใช้จ่ายสูงเพราะต้องใช้ช่องทางมาก ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือการส่งข้อมูลจากคอมพิวเตอร์ไปยังเครื่องพิมพ์
ภาพจาก : https://techterms.com/definition/data_transfer_rate
อัตราการถ่ายโอนข้อมูล Data Transfer Rate หรือ DTR คือความเร็วในการส่งข้อมูลจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง มีสูตรคำนวณง่าย ๆ ดังนี้
อัตราการถ่ายโอนข้อมูล (DTR) = ขนาดของข้อมูลที่ส่ง / เวลา
โดย
อัตราการถ่ายโอนข้อมูลมักจะแสดงเป็น บิตต่อวินาที (Bps), กิโลบิตต่อวินาที (Kbps), เมกะบิตต่อวินาที (Mbps) หรือ กิกะบิตต่อวินาที (Gbps) ขึ้นอยู่กับความเร็วของการถ่ายโอนข้อมูล
อัตราการถ่ายโอนข้อมูลมีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับทั้งผู้ใช้ทั่วไป และองค์กร
ความเร็วในการถ่ายโอนข้อมูลที่สูงช่วยให้ทีม และกลุ่มต่าง ๆ ทำงานร่วมกันได้อย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในองค์กรที่ต้องการแชร์ข้อมูลเพื่อทำงานให้เสร็จตรงเวลา
ในยุคดิจิทัลผู้ใช้คาดหวังประสบการณ์ที่รวดเร็ว และราบรื่นในการใช้งานเว็บไซต์, แอปพลิเคชัน และบริการออนไลน์ หากการถ่ายโอนข้อมูลช้า ผู้ใช้อาจเลิกใช้บริการได้
บริษัทที่สามารถให้บริการด้วยการถ่ายโอนข้อมูลที่เร็วกว่า จะมีโอกาสดึงดูด และรักษาลูกค้าได้มากกว่า โดยเฉพาะในธุรกิจที่ความเร็วเป็นสิ่งสำคัญ
ความเร็วในการถ่ายโอนข้อมูลเป็นสิ่งสำคัญในการสำรองข้อมูล หรือกู้คืนข้อมูลที่สูญหาย หากการถ่ายโอนช้าอาจทำให้กระบวนการนี้ใช้เวลานานมากขึ้น
การสตรีมวิดีโอหรือเสียงต้องอาศัยอัตราการถ่ายโอนข้อมูลที่สูงเพื่อป้องกันการกระตุก เช่น การชมภาพยนตร์ใน Netflix หรือฟังเพลงใน Spotify
หากมีผู้ใช้มากเกินไปที่แชร์เครือข่าย อาจทำให้ความเร็วในการส่งข้อมูลลดลง เช่น การแชร์ไฟล์ผ่านเครือข่ายที่มีผู้ใช้งานมาก
ระยะเวลาที่ข้อมูลเดินทางจากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่ง ยิ่งการเชื่อมต่อมีความหน่วงสูง อัตราการถ่ายโอนก็จะช้าลง
แบนด์วิดท์เป็นตัวกำหนดปริมาณข้อมูลที่สามารถส่งได้ในแต่ละวินาที การเชื่อมต่อที่มีแบนด์วิดท์สูงจะถ่ายโอนข้อมูลได้เร็วกว่า
การเชื่อมต่อแบบใช้สายมักเร็วกว่าการเชื่อมต่อแบบไร้สาย เช่น สายไฟเบอร์ออปติกมีความเร็วในการถ่ายโอนสูงกว่าสายทองแดง
อุปกรณ์หรือซอฟต์แวร์ที่ไม่เพียงพอ เช่น การประมวลผลช้า ฮาร์ดไดรฟ์ที่ทำงานช้า หรือแอปพลิเคชันที่ไม่ได้รับการปรับแต่ง อาจทำให้อัตราการถ่ายโอนข้อมูลลดลง
เมื่อมีข้อมูลจำนวนมาก การกระจายโหลดสามารถช่วยป้องกันการโอเวอร์โหลดได้ แต่หากมีการตั้งค่าผิดพลาด อาจทำให้เกิดการเชื่อมต่อขาด การส่งซ้ำ หรือการสูญหายของแพ็กเก็ตข้อมูล ซึ่งเพื่อที่จะจัดการปัญหาเหล่านี้ก็มีทางเลือกคือ เครือข่ายการกระจายเนื้อหา (CDN) ในการเพิ่มความเร็วการถ่ายโอนข้อมูล ซึ่งเราจะเอาไว้มาลงรายละเอียดในบทความต่อ ๆ ไป
การส่งข้อมูลเป็นกระบวนการที่ซับซ้อน และมีองค์ประกอบหลายอย่างที่ทำให้การสื่อสารในยุคดิจิทัลเป็นไปได้อย่างราบรื่น ไม่ว่าจะเป็นการส่งข้อความ, รูปภาพ, วิดีโอ หรือข้อมูลอื่น ๆ ทั้งในชีวิตประจำวันและในธุรกิจ การส่งข้อมูลมีรูปแบบและปัจจัยที่หลากหลาย การเข้าใจหลักการทำงาน และปัจจัยที่ส่งผลต่ออัตราการถ่ายโอนข้อมูลจะช่วยให้เราสามารถเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานระบบเครือข่ายได้ดียิ่งขึ้น ผู้เขียนหวังว่าบทความนี้จะช่วยให้ทุกคนเข้าใจวิธีการในการส่งข้อมูล และปัจจัยต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องได้อย่างดียิ่งขึ้น
|