Seagate Technology (ชื่อเดิมคือ Shugart Technology) เป็นบริษัทเก่าแก่ที่ผลิต และพัฒนาเทคโนโลยีด้านหน่วยความจำของคอมพิวเตอร์มาอย่างยาวนาน ก่อตั้งขึ้นมาตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน ค.ศ. 1979 (พ.ศ. 2522) เป็นผู้ผลิตรายแรกที่พัฒนา ST506 HDD ที่เป็น ฮาร์ดดิสก์ไดร์ฟ (Hard Disk Drive - HDD) สำหรับคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลตัวแรกของโลก โดยมันมีขนาด 5.25 นิ้ว ซึ่งภายหลังมันได้กลายเป็นมาตรฐานสากลที่ทุกคนยอมรับ และได้เป็นรากฐานในการออกแบบ HDD ขนาด 3.5 นิ้ว ที่เรายังใช้งานกันอยู่ถึงปัจจุบันนี้
Seagate ST506 HDD สำหรับคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลรุ่นแรกของโลก
ภาพจาก : https://sudonull.com/post/63991-The-evolution-of-hard-drives-how-have-hard-drives-changed-over-60-years-of-existence-Western-Digital
ด้วยฐานะของผู้บุกเบิกอุตสาหกรรม HDD มากว่า 40 ปี ทำให้ Seagate ได้ใช้ประสบการณ์ที่สั่งสมมาพัฒนา ออกแบบ HDD ที่เหมาะสมกับการใช้งานที่แตกต่างกันออกไปตามความต้องการของลูกค้าที่มีหลากหลายกลุ่ม
หากเราเข้าไปเลือกซื้อ HDD ของ Seagate ในตอนนี้ เราจะพบกับชื่อที่มีความแฟนตาซีอย่าง BarraCuda, FireCuda, IronWolf, SkyHawk, Exos และ Nytro แต่ละชื่อที่มีในแวบแรกที่อ่าน ให้ความรู้สึกราวกับว่ามันเป็นชื่อสัตว์แฟนตาซีจากนวนิยาย The Lord of the Rings ของ J. R. R. Tolkien อย่างไรอย่างนั้น แต่ความจริง นี่เป็นชื่อที่ทาง Seagate ใช้ในการแบ่งกลุ่มฮาร์ดไดร์ฟ HDD และ อุปกรณ์จัดเก็บข้อมูลแบบ SSD นะ
โดย Seagate ในตระกูลต่างๆ อย่าง BarraCuda, FireCuda, IronWolf, SkyHawk, Exos และ Nytro แต่ละแบบเหมาะสมกับการใช้งานในรูปแบบไหน ? มาทำความเข้าใจพวกมันกันเลย
BarraCuda เป็นฮาร์ดไดร์ฟระดับเริ่มต้นของ Seagate ออกแบบมาให้เหมาะสมกับการใช้งานทั่วไปทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นการใช้งานในคอมพิวเตอร์, โน้ตบุ๊ก, ฮาร์ดดิสก์พกพา (Portable Harddisk) หรือ Direct-Attached Storage (DAS)
Seagate BarraCuda : เหมาะสำหรับการใช้งานอเนกประสงค์ หรือการใช้งานทั่วไป
อย่างไรก็ตาม BarraCuda ไม่ได้ออกแบบมาให้รองรับการทำงานหนักแบบทั้งวันทั้งคืน (24/7) ถ้ามองหาฮาร์ดไดร์ฟเพื่อไปทำ RAID หรือ NAS มันก็ไม่ใช่ตัวเลือกที่เหมาะสมเท่าไหร่นัก
FireCuda เป็นฮาร์ดไดร์ฟที่ทาง Seagate พัฒนาขึ้นมาเพื่อเจาะกลุ่มเกมเมอร์โดยเฉพาะ โดยออกแบบให้มีความเร็วในการอ่านเขียนข้อมูลเร็วขึ้น เพื่อให้การเปิดเกม หรือโปรแกรมต่าง ๆ ทำได้เร็วมากกว่าเดิม ลดปัญหาการโหลดข้อมูลไม่ทันที่ทำให้เกิดปัญหาภาพเป็นดินน้ำมัน
Seagate FireCuda : เหมาะสำหรับนักเล่นเกม หรือเกมเมอร์
ซึ่งในการเพิ่มความเร็วนี้ ทาง Seagate ได้ใช้เทคโนโลยีไดร์ฟแบบลูกผสม (Hybrid Drive) เรียกว่าไดร์ฟแบบ Solid-State Hybrid Drive (SSHD) โดยมันจะเป็น HDD ที่มีหน่วยความจำแบบ NAND (เทคโนโลยีเก็บข้อมูลความเร็วสูงคล้ายกับ SSD) ในตัวเพื่อทำหน้าที่เป็น Cache ในการเก็บข้อมูลบางส่วน ที่ต้องการความเร็วในการอ่านเขียนข้อมูลสูง
SSHD จะมีความเร็วในการอ่านเขียนข้อมูลเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 156 MB/s โดยที่การอ่านข้อมูลที่อยู่บน NAND Cache จะทำได้ถึง 210 MB/s เป็นความเร็วที่สูงกว่า HDD ทั่วไปเกือบเท่าตัวเลยทีเดียว
สำหรับ Seagate ตระกูล IronWolf และ IronWolf Pro นั้นทาง Seagate ได้ออกแบบมาใช้ในการทำเซิร์ฟเวอร์ NAS เพื่อเก็บข้อมูลภายในบ้าน หรือธุรกิจขนาดเล็ก โดยตัวไดร์ฟจะมีความทนทานสูง รองรับการใช้งานต่อเนื่องแบบ 24/7 โดยทาง Seagate ได้ระบุเอาไว้ว่าตัวไดร์ฟรองรับปริมาณงานได้มากถึง 180 TB ต่อปี และมีค่า Mean Time Between Failures (MTBF) หรือค่าเฉลี่ยเวลาก่อนที่ฮาร์ดไดร์ฟจะเริ่มมีปัญหาอยู่ที่ 1,000,000 ชั่วโมง
Seagate Ironwolf : เหมาะสำหรับการใช้งานกับอุปกรณ์เก็บข้อมูลที่เชื่อมต่อกับเครือข่าย หรือ NAS (Network-Attached Storage)
และเพื่อความปลอดภัยสูงสุด ในไดร์ฟ IronWolf (แล้วแต่รุ่น) จะมีเทคโนโลยีที่ช่วยป้องกันความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นกับตัวไดร์ฟใส่เข้ามาหลายอย่าง เช่น เซ็นเซอร์วัดการสั่นสะเทือนแบบหมุน, ระบบดูแลสุขภาพ, AgileArray ที่ช่วยป้องกันการเขียนซ้ำ เพื่อให้การกู้คืนไฟล์ทำได้ง่ายขึ้น, ระบบจัดการพลังงาน และมีการปรับแต่งให้เหมาะสมกับการนำไปใช้ทำ RAID โดยเฉพาะ
หากคุณมีระบกล้องวงจรปิด (CCTV System) หรือระบบกล้องรักษาความปลอดภัย (Surveillance System) ฮาร์ดดิสก์ Seagate ตระกูล SkyHawk ก็จัดว่าเป็นฮาร์ดไดร์ฟที่ออกแบบมาเพื่อรับมือกับ ข้อมูลวิดีโอจำนวนมากที่ส่งมาจากกล้องหลายตัว ที่ต้องมีการเขียนข้อมูลอยู่แทบตลอดเวลา และแน่นอนว่ามันรับมือกับการทำงานแบบ 24/7 ได้ โดยมันสามารถรองรับการเชื่อมต่อกับกล้องได้มากสุดถึง 64 ตัว และมีค่า MTBF อยู่ที่ 1,000,000 ชั่วโมง
Seagate SkyHawk : เหมาะสำหรับการใช้งานกับกล้องวงจรปิด (CCTV)
นอกจากนี้ ทาง Seagate ยังมี SkyHawk AI ฮาร์ดไดร์ฟที่ได้ใช้ เทคโนโลยี AI ในตัวเพื่อช่วยในการบันทึกวิดีโอได้อย่างชาญฉลาด โดยรองรับกล้องได้สูงสุด 64 ตัว เท่ากับ SkyHawk แต่จะรองรับระบบ AI Streams ได้ด้วย 32 ช่อง และมีค่า MTBF สูงถึง 1,500,000 ชั่วโมง
SkyHawk
SkyHawk AI
ถึงแม้ว่า Seagate ตระกูล IronWolf Pro เป็นไดร์ฟที่ออกแบบมาเพื่อใช้ในงานธุรกิจได้ก็จริง แต่ทาง Seagate ก็ยังไม่หยุดเพียงเท่านั้น โดยยกระดับขึ้นไปอีกขั้นด้วยตระกูล Exos ซึ่งเป็นฮาร์ดไดร์ฟระดับเรือธงของค่าย
Seagate Exos : เหมาะสำหรับการใช้งานในระดับองค์กรขนาดใหญ่ (Enterprise)
โดย Seagate ตระกูล Exos นั้นมีแบ่งออกเป็น Exos E และ Exos X ในหัวข้อนี้เราจะพูดถึง Exos X เป็นหลัก มันมาพร้อมกับความจุสูงสุดถึง 20 TB. มันรองรับการเก็บข้อมูลได้อย่างมหาศาล ออกแบบมาให้ใช้ในงานธุรกิจระดับ Enterprise ได้อย่างครบคลุม ไม่ว่าคุณจะทำศูนย์ข้อมูล (Data Center), การประมวลผลแบบกลุ่มเมฆ (Cloud Computing), ระบบสำรองข้อมูลขององค์กร (Enterprise Backup System), ศูนย์รวมกล้องวงจรปิด หรือระบบ RAID ขนาดยักษ์
มันรองรับปริมาณงานได้มากถึง 550 TB. ต่อปี ค่า MTBF ที่ 2,500,000 ชั่วโมง และรองรับการเชื่อมต่อได้ทั้ง SATA III 6 Gb/s และ SAS-3 12 Gb/s
ถ้ามองหา SSD ระดับ Enterprise ทาง Seagate เขาก็มีตระกูล Nytro ให้เลือก มันเป็นไดร์ฟ SSD ระดับเรือธง จุดประสงค์ในการใช้งานก็เหมือนกับ Exos นี่แหละ โดยทำออกมา 3 รูปแบบคือ SSD SATA, SSD SAS และ SSD NVMe โดยเป็นไดร์ฟ SSD ที่ทำงานได้แบบตลอดเวลา (24/7) และมีค่า MTBF สูงสุดถึง 2,500,000 ชั่วโมงเลยทีเดียว
Seagate Nytro : เหมาะสำหรับการใช้งานในระดับองค์กรขนาดใหญ่ (Enterprise) ที่ต้องการประสิทธิภาพที่สูงขึ้นไปอีก
และทั้งหมดนี้ ก็คือฮาร์ดไดร์ฟตระกูลต่าง ๆ ที่ทาง Seagate เขาผลิตออกมาวางจำหน่ายนะ ก็หวังว่าคุณผู้อ่านน่าจะเลือกซื้อฮาร์ดไดร์ฟได้ง่ายขึ้นแล้ว ทั้งนี้ การที่เราบอกว่าแต่ละรุ่นเหมาะกับงานแบบนั้น แบบนี้ ไม่ได้หมายความว่า คุณจะเอาไปใช้งานอย่างอื่นไม่ได้นะ เช่น ถ้าคุณอยากจะซื้อ Nytro 5550 SSD มาใช้เล่นเกม มันก็ทำได้ ทำได้ดีด้วย เพียงแต่มันอาจจะไม่คุ้มค่าเงินสักเท่าไหร่นะ แม้มันจะทนกว่า แต่ข้อมูลที่คุณเก็บมันอาจไม่ได้มีมูลค่าสูงขนาดนั้น
|
แอดมินสายเปื่อย ชอบลองอะไรใหม่ไปเรื่อยๆ รักแมว และเสียงเพลงเป็นพิเศษ |