สำหรับ เทคโนโลยี Augmented Reality (AR) เป็นหนึ่งในเทคโนโลยีที่กำลังมาแรง เห็นได้จากการที่มีทั้งเกม และการตลาดหลายแคมเปญที่หยิบมันมาใช้กัน แถมความนิยมในการใช้ AR ก็ยังมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งเป็นผลมาจากการที่สมาร์ทโฟนในยุคนี้มีสเปคที่แรงพอสำหรับการใช้งาน AR ได้อย่างสบาย ๆ
ความน่าสนใจของเทคโนโลยี AR คือการที่มันนำโลกดิจิทัลมาแสดงผลทับซ้อนอยู่บนโลกความเป็นจริงได้อย่างแนบเนียน ตัวอย่างเช่น การนำเฟอร์นิเจอร์ที่กำลังสนใจอยู่มาลองวางไว้ในห้อง เพื่อดูว่ามันจะเข้ากับบรรยากาศในห้องไหม ? หรือถ่ายรูปสัตว์เลี้ยงตัวโปรดของคุณเคียงคู่ไปกับตัวการ์ตูน ฯลฯ การใช้ AR ในตอนนี้ไม่ได้จำกัดแค่บนสมาร์ทโฟนเท่านั้น มีแว่นอัจฉริยะหลายรุ่นที่รองรับการใช้ AR ได้ถูกผลิตออกมาให้เลือกใช้
ถ้าให้ยกตัวอย่าง AR ที่ใกล้ตัว และประสบความสำเร็จมากที่สุด เชื่อว่าคุณผู้อ่านหลาย ๆ ท่านก็อาจจะเคยลองเล่นมันมาแล้วด้วยซ้ำไป ก็คือเกม Pokemon Go ที่เปิดตัวในปี ค.ศ. 2016 (พ.ศ. 2559) ซึ่งเกมนี้ได้มีการนำเทคโนโลยี AR มาใช้ในคุณสมบัติหลายอย่างที่อยู่ภายในเกมได้อย่างน่าสนใจในบทความนี้ เราก็อยากจะหยิบเรื่องราวที่น่าสนใจของเทคโนโลยี AR มาเล่าสู่กันฟัง
เทคโนโลยี Augmented Reality (AR) ช่วยให้ผู้ใช้งานได้รับประสบการณ์ที่ผสานโลกความจริง เข้ากับเนื้อหาดิจิทัลที่ถูกสร้างขึ้นมาด้วยคอมพิวเตอร์ โดยเนื้อหาดังกล่าวสามารถครอบคลุมประสาทสัมผัสได้หลายรูปแบบ แม้ว่าเนื้อหาส่วนใหญ่จะเป็นการมองเห็น และได้ยินเป็นหลัก แต่อันที่จริง เนื้อหาของ AR สามารถรวมไปถึงการสัมผัส และกลิ่นด้วย
องค์ประกอบที่สำคัญของเทคโนโลยี AR อาจกล่าวได้ว่าเกิดจากการประสานคุณสมบัติ 3 ประการเข้าด้วยกัน คือ
ภาพจาก : https://mobile-ar.reality.news/news/sneakerheads-can-use-augmented-reality-app-see-those-new-kicks-look-their-feet-0193167/
ประสบการณ์ที่ผู้ใช้ได้สัมผัสผ่านเทคโนโลยี AR จะทำให้เกิดความรับรู้ที่แปลกใหม่ ในขณะที่ Virtual Reality พาเราไปอยู่ในโลกเสมือนที่ทั้งโลกถูกสร้างขึ้นมาด้วยพลังดิจิทัล แต่ทว่าเทคโนโลยี AR จะเป็นการปรุงแต่งโลกจริงให้แตกต่างไปจากเดิมด้วยดิจิทัลแทน
เทคโนโลยี AR นั้นมีความหมาย และรูปแบบการทำงานหลายส่วนที่ทับซ้อนกับ Mixed Reality (MR) แต่ก็มีความแตกต่างมากพอที่ทำให้ 2 เทคโนโลยีนี้มีการแยกประเภทออกจากกัน
เทคโนโลยี Augmented Reality (AR) ถูกแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ Marker-based AR และ Marker-less AR
เป็น AR ที่สร้างขึ้นมาโดยใช้เทคนิคการจดจำรูปภาพ (Image recognition) ในการระบุวัตถุที่ถูกตั้งโปรแกรมเอาไว้ล่วงหน้าในอุปกรณ์ หรือแอปพลิเคชันที่รองรับ AR เมื่อส่องกล้องไปยังวัตถุดังกล่าว ตัววัตถุจะถูกใช้ในการอ้างอิงตำแหน่งในการแสดงผล และปรับมุมมองตามภาพที่ปรากฏอยู่บนกล้องให้มีความถูกต้อง ไม่ว่าจะมองจากทิศทางไหนก็ตาม
โดยหลักการพื้นฐานของเทคนิคนี้ ตัวกล้องจะทำงานในโหมด Grayscale เพื่อตรวจหาสัญลักษณ์ระบุตำแหน่ง (Marker) บนตัววัตถุ เพื่อนำมาเปรียบเทียบกับข้อมูลที่ถูกบันทึกไว้ในฐานข้อมูล เมื่อตรวจเจอข้อมูลที่ตรงกันแล้ว ก็จะนำข้อมูลมาคำนวณด้วยสมการคณิตศาสตร์เพื่อคำนวณตำแหน่ง และทิศทาง เพื่อเรนเดอร์กราฟิกภาพ AR ลงบนตำแหน่งที่กำหนดได้อย่างที่มันควรจะเป็น
ภาพจาก : https://medium.com/@pusalabhuvansaikrishna/augmented-reality-746893f64262
สำหรับ Marker-less AR จะเป็นเทคโนโลยีที่มีความซับซ้อนกว่า Marker-based AR เนื่องจากมันไม่ได้ใช้สัญลักษณ์ในการตำแหน่ง แต่จะใช้หลักอัลกอริทึมต่าง ๆ มาวิเคราะห์ตำแหน่งในการเรนเดอร์กราฟิก AR แทน ไม่ว่าจะเป็นค่าสี, ลวดลาย, ความเหมือนกัน, เวลา, อัตราเร่ง, GPS, เข็มทิศ ฯลฯ แม้ว่าการทำงานของเทคนิคนี้จะมีความยุ่งยาก และซับซ้อน แต่มันช่วยขยายขอบเขตการแสดงผลของ AR ให้หลอมรวมไปกับสภาพแวดล้อมในโลกจริงได้ดีกว่ามาก
อย่างเช่น การใช้ AR ในระบบ E-commerce ที่เราสามารถทดลองนำเฟอร์นิเจอร์มาทดลองวางในบ้านได้ เนื่องจากบ้านของลูกค้าแต่ละคนมีการตกแต่งที่แตกต่างกัน และทางร้านค้าก็ไม่สามารถเตรียม Marker ใส่ไว้ในบ้านของลูกค้าได้ การทำงานในลักษณะนี้จึงต้องเลือกใช้แบบ Marker-less AR เท่านั้น
ภาพจาก : https://arvrjourney.com/markerless-or-anchor-based-ar-choose-wisely-2417bac0e16d
เทคโนโลยี Augmented Reality (AR) สามารถมอบประสบการณ์ที่น่าตื่นตาตื่นใจให้กับผู้ใช้งานทุกคน แม้การใช้งาน AR ส่วนใหญ่ในปัจจุบันนี้จะเป็นการใช้งานผ่านสมาร์ทโฟน หรือแว่นอัจฉริยะ แต่อุปกรณ์ที่รองรับการทำงานของ AR ได้ก็กำลังอยู่ในช่วงการพัฒนาให้มีความหลากหลายมากยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม หลักการทำงานของเทคโนโลยี AR ในยุคนี้ จะมีอยู่ 5 องค์ประกอบสำคัญ ดังต่อไปนี้
เทคโนโลยี AR ส่วนใหญ่ที่ใช้งานกันในปัจจุบันนี้ ได้นำ เทคโนโลยี AI มาช่วยในการประมวลผลข้อมูลการทำงานของแอปพลิเคชัน AR
ในการสร้าง AR ก็ต้องมีซอฟต์แวร์ที่เป็นเครื่องมือในการสร้าง และแอปพลิเคชันที่รองรับการทำงานของ AR ได้ ซึ่งก็มีผู้ให้บริการอยู่หลายราย แต่บางบริษัทอาจจะเลือกพัฒนาเครื่องมือสร้าง AR ขึ้นมาใช้งานเองเลยก็ได้
AR เป็นเทคโนโลยีที่ไม่ใช่แค่ส่องกล้องไป แล้วภาพจะปรากฏขึ้นมาได้เลย เบื้องหลังการทำงานของมันต้องใช้ทรัพยากรในการประมวลผลด้วย นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมสมาร์ทโฟนบางรุ่นถึงไม่รองรับ AR สาเหตุพื้นฐานก็มาจากเครื่องไม่แรงพอ หรือไม่มีซอฟต์แวร์ที่จะประมวลผล AR ได้นั่นเอง
AR เป็นการแสดงผลกราฟิกดิจิทัลทับซ้อนลงบนโลกจริง สิ่งที่เรียกว่า Lenses ก็คืออุปกรณ์ที่ใช้ในการแสดงผลเนื้อหานั่นเอง ซึ่งมันต้องสามารถจับภาพของโลกจริง และมีหน้าจอแสดงผลในตัว ซึ่งสมาร์ทโฟนมีครบทั้งสองอย่างนี้ มันจึงกลายเป็นแพลตฟอร์มที่ AR ได้รับความนิยมมากที่สุดไปโดยปริยาย และยิ่งหน้าจอมีการแสดงผลที่คมชัดได้มากเท่าไหร่ ภาพที่เห็นก็ยิ่งสมจริงได้มากขึ้นเท่านั้น
ระบบการทำงานของ เทคโนโลยี AR จำเป็นต้องอาศัยข้อมูลจากสภาพแวดล้อมโดยรอบเพื่อกำหนดตำแหน่งในการแสดงผล เชื่อมโลกดิจิทัล ทับซ้อนไปบนโลกจริงได้อย่างแม่นยำ ดังนั้น กล้องที่ทำหน้าที่เก็บข้อมูลจึงมีความสำคัญมาก ในสมาร์ทโฟนบางรุ่นจะมีการใช้เซนเซอร์อื่น ๆ เข้ามาช่วยด้วย อย่างใน iPhone ก็จะมีการใส่เซ็นเซอร์ Light Detection And Ranging System (LiDAR) สำหรับวัดแสง และระยะความตื้นลึก ซึ่งมันช่วยให้การทำงานของ AR มีความแม่นยำสูงขึ้นกว่าเดิมมาก
ภาพจาก : https://www.inthepocket.com/blog/how-apples-new-ipad-pro-will-impact-ar
คุณอาจจะรู้สึกแปลกใจ หากรู้ว่าแนวคิดของ เทคโนโลยี Augmented Reality (AR) เกิดขึ้นเมื่อร้อยกว่าปีที่แล้ว แถมผลงานของผู้ที่คิดก็ยังมีชื่อเสียงในปัจจุบันนี้ บางท่านอาจจะเคยอ่านผลงานของเขามาด้วยซ้ำไป โดยเขาคือผู้แต่งนวนิยายสำหรับเด็กเรื่อง "พ่อมดมหัศจรรย์แห่งออซ (The Wonderful Wizard of Oz)"
ย้อนกลับไปในปี ค.ศ. 1901 (พ.ศ. 2444) L. Frank Baum นักเขียนระดับตำนาน เขาเป็นคนแรกที่เสนอแนวคิดหน้าจออิเล็กทรอนิกส์ที่สามารถแสดงผลข้อมูลดิจิตอล ทับซ้อนลงในโลกจริงได้ โดยในหนังสือ The Master Key จะมีอุปกรณ์ที่ชื่อว่า "Character marker" มันเป็นแว่นตาที่เมื่อสวมใส่ แล้วมองไปที่ใครก็ตาม จะมีตัวอักษรปรากฏบนหน้าผาก เพื่อบอกอุปนิสัยของคน ๆ นั้นได้ ถ้าเป็นคนที่มีความปรารถนาดีจะปรากฏเป็นตัว "G" (Good will), คนชั่วร้าย "E" (Evil), คนฉลาด "W" (Wise), คนโง่ "F" (Foolish), คนใจดี "K" (Kind) และคนอำมหิต "C" (Cruel)
ภาพจาก : https://www.gutenberg.org/files/45347/45347-h/45347-h.htm
การพัฒนา เทคโนโลยี AR ในช่วงยุคเริ่มต้นจะอยู่ในจักรวาลเดียวกันกับ เทคโนโลยี VR ไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยี The Sword of Damocles จากปี ค.ศ. 1968 (พ.ศ. 2511) หรือเทคโนโลยี Videoplace จากปี ค.ศ. 1975 (พ.ศ. 2518)
จนกระทั่งในช่วงยุค 90 ที่การพัฒนาเทคโนโลยี AR เริ่มมีความเป็นรูปธรรมมากขึ้น ซึ่งในหัวข้อนี้ เราจะเริ่มต้นขึ้นในช่วงเวลานี้
Tom Caudell และ David Mizell นักวิจัยของบริษัท Boeing Aerospace ได้ใช้คำว่า "Augmented Reality (AR)" เป็นครั้งแรก เนื่องจาก Boeing Aerospace เป็นบริษัทผลิตเครื่องบิน ซึ่งภายในเครื่องบินหนึ่งลำจะมีชิ้นส่วนที่มีความซับซ้อนอยู่เป็นจำนวนมาก ทำให้การประกอบเครื่องบินเป็นเรื่องที่ยากมาก ๆ
พวกเขาจึงพยายามพัฒนาเทคโนโลยีที่สามารถช่วยอำนวยความสะดวกในขั้นตอนการผลิตได้ จนกลายเป็นหน้าจอแบบสวมใส่ศีรษะที่ทำงานร่วมกับคอมพิวเตอร์ เพื่อแสดงแผนภาพข้อมูลการประกอบเครื่องบิน โดยสามารถเปลี่ยนการแสดงผลข้อมูลในจอ ตามทิศทางของศีรษะผู้สวมอุปกรณ์ได้ด้วย
ภาพจาก : https://reflectioncreativemedia.com/a-history-of-augmented-reality/
เทคโนโลยี AR ได้ถูกนำมาใช้ในอุตสาหกรรมบันเทิงเป็นครั้งแรกกับละครเวทีเรื่อง "การเต้นรำในไซเบอร์สเปซ" (Dancing in Cyberspace) ผลงานกำกับของ Julie Martin โดยมีนักแสดง, นักเต้น และนักยิมนาสติก ร่วมกันทำการแสดงคู่ไปกับวัตถุเสมือน (Virtual Objects) ซึ่งงานนี้ทางรัฐบาลของประเทศออสเตรเลียก็ได้เข้ามาส่งเสริมเพื่อช่วยผลักดันทั้งเทคโนโลยี AR และการแสดงศิลปะไปควบคู่กัน
ภาพจาก : https://www.timetoast.com/timelines/the-history-of-augmented-reality-12327e46-8ff0-488e-aab7-05e9a40c8e3e
NASA ได้สร้างยานอวกาศ X-38 ขึ้นมา ซึ่งภายในมีการติดตั้งระบบนำทางแบบ AR เอาไว้ เพื่อช่วยเหลือนักบินในช่วงทดสอบ นอกจากนี้ X-38 ยังเป็นยานอวกาศลำแรกที่ถูกออกแบบขึ้นมาเพื่อให้นำกลับมาใช้ใหม่ได้ ซึ่งระบบ AR ก็มีส่วนช่วยในการวิจัยวิธีช่วยเหลือให้นักบินสามารถกลับสู่พื้นโลกได้อย่างปลอดภัยในกรณีที่เกิดเหตุฉุกเฉิน
ภาพจาก : https://reflectioncreativemedia.com/a-history-of-augmented-reality/
สืบเนื่องจากการเติบโตอย่างต่อเนื่องของเทคโนโลยี AR ที่มีมาตลอด 10 กว่าปีที่ผ่านมา AR ไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป มันเป็นเทคโนโลยีที่ทุกคนเข้าถึงได้ง่าย ๆ กลายเป็นอีกหนึ่งช่องทางที่มักถูกนักการตลาดหยิบมาใช้ในการประชาสัมพันธ์
ในปี ค.ศ. 2000 (พ.ศ. 2543) ศาสตราจารย์ Hirokazu Kato จากสถาบันวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีนารา (Nara Institute of Science and Technology (NAIST)) ได้พัฒนา ARToolKit ขึ้นมา มันเป็น Library แบบ Open-source ที่เปิดให้นักพัฒนา AR ที่สนใจสามารถใช้เป็นเครื่องมือในการพัฒนาได้
นอกจากนี้ Hirokazu Kato ยังได้สร้างซอฟต์แวร์ที่มีคุณสมบัติ Video Tracking ในการแสดงผลกราฟิกดิจิทัล ทับลงไปบนวัตถุในวิดีโอได้อีกด้วย ผลลัพธ์คือ ทำให้กราฟิกเข้ามาโลดแล่นในโลกจริงได้อย่างมีชีวิตชีวา ซึ่งในปัจจุบันนี้ ARToolKit ก็ได้รับการพัฒนามาโดยตลอด และยังคงเป็นหนึ่งในซอฟต์แวร์ AR ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดตัวหนึ่ง
ในยุคนี้สมาร์ทโฟนมีประสิทธิภาพสูงขึ้นมาก เพื่อโชว์พลังของฮาร์ดแวร์ Nokia ได้พัฒนา AR Tennis เกมตีเทนนิส โดยเปิดตัวเป็นครั้งแรกบน Nokia 6600 และ Nokia 6630 ซึ่งผู้เล่นสามารถเล่นกับเพื่อนได้ผ่านการเชื่อมต่อด้วย Bluetooth เพื่อซิงค์ตำแหน่งการเคลื่อนไหวของลูกเทนนิส
ภาพจาก : https://www.youtube.com/watch?v=LPvo2HWY9BA
BMW ผู้ผลิตรถยนต์ชื่อดังเป็นแบรนด์แรกที่หยิบเทคโนโลยี AR มาใช้ในงานโฆษณาบนสื่อสิ่งพิมพ์เพื่อโปรโมตรถ MINI Convertible รุ่นใหม่ของค่าย โดยผู้บริโภคสามารถใช้กล้องเว็บแคม (Webcam) ส่องไปที่ใบปลิว จะมีโมเดลรถแบบ 3 มิติ แสดงผลขึ้นมาแทนที่ภาพ 2 มิติ ที่ถูกพิมพ์ลงบนกระดาษในทันที
แหล่งที่มาวิดีโอ : https://www.youtube.com/watch?v=dBser6_gToA
ในประเทศไทย Snapchat อาจจะไม่ใช่แพลตฟอร์มที่ได้รับความนิยมเท่าไหร่ แต่ในต่างประเทศมันค่อนข้างเป็นที่นิยม และมันก็เป็นโซเชียลเน็ตเวิร์กแรกของโลกที่นำเทคโนโลยี AR มาใช้สร้างจุดขาย โดยทำเป็นฟิลเตอร์ให้ใบหน้า (AR Face Flitter) ซึ่งประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก มีผู้ใช้ และคนดังนิยมเล่นฟิลเตอร์ AR จนได้รับการยอมว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของ Pop Culture
ความสำเร็จของ Snapchat ทำให้แพลตฟอร์มอื่น ๆ เลียนแบบตามมาติด ๆ Facebook, Instagram, TikTok ฯลฯ ต่างใส่คุณสมบัตินี้มาให้ผู้ใช้งานได้เล่นกันทุกแอปพลิเคชัน
ภาพจาก : https://destinationksa.com/these-10-snapchat-filters-are-kind-of-the-best/
บริษัท Volkswagen ได้พัฒนาแอป Mobile Augmented Reality Technical Assistance (MARTA) ขึ้นมา มันเป็นแอปพลิเคชันสำหรับช่วยเหลือช่างเทคนิคในการซ่อมแซมรถของ Volkswagen
โดยช่างสามารถใช้งานแอป MARTA ผ่าน iPad โดยเมื่อส่องกล้องไปที่ตัวรถ หน้าจอจะแสดงข้อมูลชิ้นส่วนรถแบบ 3 มิติ ขึ้นมาแสดงผลแบบเรียลไทม์ พร้อมให้คำแนะนำในการบำรุงรักษา หรือซ่อมแซม
ภาพจาก : https://www.youtube.com/watch?v=NVl6aE8WG3o
ในปีนี้ Google ได้เปิดตัว Google Glass แว่นตาอัจฉริยะ มันช่วยให้ผู้สวมใส่สัมผัสกับ เทคโนโลยี AR ได้ในวิธีการใหม่ โดยทาง Google ได้ผสมผสาน AR กับแว่นตาเข้าด้วยกัน ทำให้ได้ประสบการณ์การใช้งาน AR ที่ดำดิ่งมากยิ่งขึ้น ตัว Google Glass สามารถใช้งานแอปพลิเคชันของ Google ได้หลายอย่าง เช่น Google Maps
ภาพจาก : https://medium.com/@davgit/at-the-google-i-o-2014-google-introduced-a-new-design-language-called-the-material-design-the-new-b25d8ca6dade
Pokémon อนิเมะ และเกมที่หลายคนหลงรัก ถูกพัฒนาเป็นเกมสำหรับสมาร์ทโฟนในชื่อ "Pokémon GO" ตัวเกมประสบความสำเร็จเป็นอย่างสูง มีความไวรัลแบบที่ว่าเดินไปที่ไหน ก็เจอแต่คนหยิบสมาร์ทโฟนมาเปิดจับโปเกมอนไปทั่วทั้งโลก
Pokémon GO ใช้ GPS ในการจับตำแหน่ง มีระบบจับโปเกมอน, ฝึกฝนเก็บเลเวล และระบบต่อสู้เหมือนกับเกมโปเกมอนที่เคยมีมา แต่ด้วยเทคโนโลยี AR ตัวโปเกมอนทั้งหมดที่มีภายในเกม จะปรากฏขึ้นในโลกจริงได้ และมีพื้นที่ในการปรากฏตัวแยกกันด้วย
ภาพจาก : https://www.vogue.com/article/travel-pokemon-go-game-app
IKEA ร้านขายเฟอร์นิเจอร์ระดับโลก ได้เปิดตัวแอปพลิเคชัน IKEA Place มีคุณสมบัติน่าสนใจคือ สามารถนำเฟอร์นิเจอร์ของ IKEA ไปทดลองวางในบ้านในตำแหน่งที่ต้องการได้ ในตอนแรกใช้งานได้แค่บน iOS เนื่องจากทำงานด้วยเทคโนโลยี ARKit ของ Apple แต่ในภายหลังก็พัฒนาเวอร์ชัน Android ออกมาให้ใช้งานได้ด้วย
ความเจ๋งคือ ตัวเฟอร์นิเจอร์จะเรนเดอร์เป็นโมเดล 3 มิติ ที่มีขนาดเท่าของจริง และปรับหมุนจัดวางได้อย่างอิสระ
ภาพจาก : https://jorgensibbern.com/ikea-place
Art Gallery of Ontario (AGO) หอศิลป์แห่งออนแทรีโอ เป็นพิพิธภัณฑ์ศิลปะในโตรอนโต ออนแทรีโอ ประเทศแคนาดา ได้จัดนิทรรศการศิลปะในรูปแบบ AR เป็นครั้งแรกในปี ค.ศ. 2017 (พ.ศ. 2560) โดยใช้ชื่องานว่า "ReBlink" ซึ่งกระแสตอบรับดีจนต้องขยายเวลาจัดแสดงยาวไปจนถึงปี ค.ศ. 2018 (พ.ศ. 2561)
โดยภาพศิลปะที่ถูกนำมาจัดแสดงภายในนิทรรศการนี้ เป็นการผสานผลงานศิลปะในยุคก่อน หลอมรวมเข้ากับเทคโนโลยี AR ได้อย่างน่าสนใจ
แหล่งที่มาวิดีโอ : https://www.youtube.com/watch?v=AQn0lamEtPc
สำหรับ เทคโนโลยี 5G จัดว่าเป็นเทคโนโลยีการสื่อสารแบบล่าสุด ที่กำลังเริ่มเข้ามามีบทบาทแทนเทคโนโลยี 4G มันเพิ่มความเร็วในการรับส่งข้อมูลให้สูงกว่าเดิมมาก ซึ่งเทคโนโลยี AR ก็ได้รับประโยชน์ไปด้วยโดยปริยาย สามารถแสดงผลโมเดลได้รวดเร็วมากยิ่งขึ้น
เหตุเนื่องจากวิกฤตโรคระบาด COVID-19 ที่ส่งผลกระทบให้ผู้คนส่วนใหญ่ต้องใช้ชีวิตอยู่ในที่พักอาศัยไม่สามารถออกเดินทางไปไหนได้ ภาคธุรกิจจึงต้องปรับตัวกันขนานใหญ่ เพราะคนไม่สามารถมาเดินชอปปิ้งได้ ทำให้บรรยากาศซบเซายอดขายหน้าร้านตกต่ำลงเป็นอย่างมาก
แบรนด์ใหญ่ ๆ ที่มีทุนทรัพย์อย่างเช่น Sephora, Adidas, Nike, American Apparel ฯลฯ จึงเร่งพัฒนาแอปพลิเคชัน AR เพื่อให้ลูกค้าใช้เลือกซื้อสินค้าได้ ซึ่งการใช้ AR ช่วยเพิ่มคุณภาพของประสบการณ์ให้กับลูกค้าได้เป็นอย่างดี สามารถหมุนดูสินค้าได้ทุกมุม หรือแม้แต่จำลองการสวมใส่เสื้อผ้า รองเท้า ได้โดยไม่ต้องไปถึงร้านค้า มีการคาดการณ์ว่า อุตสาหกรรมร้านค้าที่ใช้เทคโนโลยี AR เข้ามาช่วยจะมีมูลค่าสูงถึง $10,00,00,00,000 (ประมาณ 370,500,000,000) ในปี ค.ศ. 2027 (พ.ศ. 2570)
ทุกวันนี้ กิจวัตร หรือแม้แต่งานหลายอย่าง เราต้องพึ่งพาสมาร์ทโฟนด้วยไม่มากก็น้อย สมาร์ทโฟนจึงเหมือนปัจจัย 5 ที่เราแทบจะขาดมันไปไม่ได้เลย เทคโนโลยี AR ที่สามารถทำงานได้ดีบนสมาร์ทโฟนจึงพลอยได้รับอานิสงส์ไปด้วย เพราะทุกคนมีสมาร์ทโฟน และพกติดตัวไปด้วยกันทุกที่
บางคนอาจจะรู้สึกว่าเทคโนโลยี AR กำลังใกล้เข้ามา หรือคิดว่ายังเป็นเรื่องไกลตัว แต่อันที่จริง ทุกวันนี้ มีการนำเอา เทคโนโลยี AR มาใช้โดยทั่วไปอย่างแพร่หลายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เพียงแต่คุณอาจไม่รู้ว่ามันเป็น AR เท่านั้นเอง พวกฟิลเตอร์เติมกราฟิกเปลี่ยนหน้าที่อยู่ในแอปถ่ายรูปในยุคนี้ ก็ล้วนแต่ใช้ AR ในการทำงานทั้งสิ้น
สิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต จึงเป็นเรื่องของการรับรู้เทคโนโลยีมากกว่า ตอนนี้ปัญหาของ เทคโนโลยี AR คือ ฮาร์ดแวร์ยังตามซอฟต์แวร์ไม่ทัน มันสามารถทำอะไรได้มากมาย แต่ส่วนใหญ่เราก็ใช้มันผ่านสมาร์ทโฟนได้เพียงอย่างเดียว หากในอนาคตอุปกรณ์สวมใส่อัจฉริยะจำพวกแว่นตา หรือหมวก มีขนาดที่เล็กลงจน สามารถสวมใส่ใช้งานในชีวิตประจำวันได้ การประยุกต์ใช้งาน เทคโนโลยี AR ก็จะก้าวกระโดดไปไกลกว่านี้มาก ซึ่งตอนนี้ก็มีแว่นอัจฉริยะเปิดตัวออกมาหลายรุ่นแล้ว เพียงแต่ยังไม่ได้รับความนิยมมากเท่านั้นเอง
ภาพจาก : https://www.rayneo.com/products/tcl-rayneo-x2
|
แอดมินสายเปื่อย ชอบลองอะไรใหม่ไปเรื่อยๆ รักแมว และเสียงเพลงเป็นพิเศษ |