Apple Vision Pro เป็นแว่นตาไฮเทคด้วย เทคโนโลยี MR (Mixed Reality) คือมีการผสานระหว่าง เทคโลยี AR (Augmented Reality) และ เทคโนโลยี VR (Virtual Reality) เข้าด้วยกัน ทำให้วัตถุในโลกเสมือนจริงซ้อนทับกับวัตถุโลกความจริง โดยที่เราสามารถมองเห็น และมีปฏิสัมพันธ์กับวัตถุเหล่านั้นได้ หลังจากที่เปิดตัวตั้งแต่ปีที่แล้ว ตอนนี้ทาง Apple ก็ได้วางจำหน่ายเป็นที่เรียบร้อย มันดูเป็นอุปกรณ์ที่ล้ำสมัย และแตกต่างไปจากแว่น VR ที่แพร่หลายอยู่เดิมไปอย่างสิ้นเชิง
สำหรับผู้ที่สงสัยว่า Apple Vision Pro คืออะไร ? มีความสามารถอะไรบ้าง ? เราจะมาเล่าให้ฟังในบทความนี้ครับ
วิดีโอจาก : https://youtu.be/TX9qSaGXFyg?si=NxhEnAz8BbtZALD2
Apple Vision Pro เป็นอุปกรณ์ Headset แบบ Mixed Reality ที่บริษัท Apple Inc. ได้เปิดตัวตั้งแต่วันที่ 5 มิถุนายน ค.ศ. 2023 (พ.ศ. 2566) ภายในงาน Apple's Worldwide Developers Conference (WWDC2023) แต่เพิ่งจะเปิดให้จองสั่งซื้อล่วงหน้าได้เมื่อวันที่ 19 มกราคม ค.ศ. 2024 (พ.ศ. 2567) ที่ผ่านมานี่เอง โดย Apple Vision Pro ถือว่าเป็นอุปกรณ์ชนิดใหม่จากบริษัท Apple ที่ไม่มีการเปิดตัวมานาน โดยการเปิดตัวไลน์สินค้าใหม่ครั้งล่าสุดของ Apple ก็ต้องย้อนกลับไปในปี ค.ศ. 2015 (พ.ศ. 2558) เลยทีเดียว
ซึ่งในขณะที่คุณผู้ชมกำลังอ่านบทความนี้อยู่ บางท่านก็อาจมีในครอบครองแล้ว หรือได้รับชมการรีวิวจากสื่อสำนักอื่น ๆ
ถึงเราจะเกริ่นว่า Apple Vision Pro เป็นอุปกรณ์ประเภท Headset แต่ในความเป็นจริงมันเป็นคอมพิวเตอร์สำหรับสวมใส่นะครับ ตามปกติแล้วในการใช้งานคอมพิวเตอร์ เราจะต้องมองภาพผ่านหน้าจอแสดงผล แต่สำหรับ Apple Vision Pro จะแสดงผลเข้าดวงตาของเราโดยตรงเลย ผ่านหน้าจอความละเอียดสูงขนาดเล็กที่อยู่ภายในตัวแว่นตา ในส่วนของการควบคุมแทนที่จะต้องทำผ่านคีย์บอร์ด, เมาส์ หรือหน้าจอสัมผัส ก็จะใช้การติดตามความเคลื่อนไหวของดวงตา ร่วมกับ Gestures control จับความเคลื่อนไหวของมือ
Apple ทำตลาด Vision Pro ในฐานะของ "คอมพิวเตอร์เชิงพื้นที่ (Spatial Computer)" ที่เป็นการผสานการทำงานระหว่างโลกดิจิทัล กับในความเป็นจริง หากเราสังเกตดี ๆ จะเห็นว่าทาง Apple ไม่เคยใช้คำว่า "Virtual Reality (VR)" และ "Augmented Reality (AR)" ตอนที่ทำการตลาดเลย
Apple Vision Pro มาพร้อมกับระบบปฏิบัติการ visionOS ที่ถูกพัฒนาต่อยอดมาจาก Frameworks ของ iOS โดยมีการนำเอา ส่วนประสานงานกับผู้ใช้ (User interface) แบบ 3 มิติ เข้ามาใช้ สามารถทำงานได้แบบหลาย ๆ งานพร้อม ๆ กัน (Multitasking) ผ่านหน้าต่าง Windows ที่จะลอยอยู่รอบตัวของผู้ใช้งาน
ตัว visionOS ยังรองรับระบบ Avatars หรือที่ทาง Apple ใช้ชื่อว่า "Personas" มันเป็นระบบที่จะสแกนใบหน้าของผู้ใช้งานเพื่อนำไปแสดงผลบนหน้าจอด้านหน้าของตัวแว่นตา หรือที่ Apple เรียกว่า "EyeSight" ซึ่งช่วยให้ผู้ที่สวมใส่ Apple Vision Pro อยู่ สามารถสื่อสารกับผู้อื่นที่อยู่รอบตัวได้สะดวกโดยที่ไม่ต้องถอดแว่นตาออก
Apple ได้นิยาม "Apple Vision Pro" ให้มันเป็นคอมพิวเตอร์รูปแบบใหม่เรียกว่า "Spatial Computer" หรือว่า "คอมพิวเตอร์เชิงพื้นที่" โดยมันเป็นคอมพิวเตอร์แบบสวมใส่บนใบหน้า ซึ่งคอมพิวเตอร์ทั่วไปเราจะต้องมองภาพผ่านหน้าจอมอนิเตอร์ แต่ Apple Vision Pro จะแสดงผลภาพไปที่ดวงตาของเราโดยตรงผ่านหน้าจอขนาดเล็กที่มีความละเอียดสูงเป็นพิเศษ
ภาพจาก : https://medium.com/@keerthan630/design-for-spatial-user-interfaces-apple-vision-pro-4ea154ac1f39
การควบคุมก็เหมือนกับครั้งที่ Apple เปิดตัว iPhone เป็นครั้งแรก ครั้งนั้นได้มีการปฏิวัติวิธีการควบคุมจอสัมผัสจากเดิมที่ต้องใช้ปากกาสไตลัสมาเป็นการใช้นิ้ว ครั้งนี้ก็เช่น จากเดิมที่ต้องมีเมาส์ และคีย์บอร์ด Apple Vision Pro เปลี่ยนมาใช้ดวงตา และมือแทน เราแค่มองไปที่จุดที่ต้องการเลือก และจีบนิ้วเพื่อควบคุม
อันที่จริง เทคโนโลยีที่ Apple Vision Pro ใช้ก็ไม่ใช่นวัตกรรมใหม่แต่อย่างใด การฉายภาพไปที่ตาของเราโดยตรงก็เหมือนกับเทคโนโลยีที่ Google Glass ส่วนการควบคุมด้วยการจับความเคลื่อนไหวของมือก็เหมือนกับ Leap Motion หรือ Myo Armband แต่ไม่เคยมีใครนำพวกมันมาผสมผสานการทำงานร่วมกันได้แบบที่ Apple ทำได้ใน Vision Pro
ดังนั้นการที่ Apple ระบุว่า Apple Vision Pro เป็น Spatial Computer ก็เป็นชื่อที่เหมาะสมแล้ว เพราะผู้ใช้สามารถสร้างหน้าจอดิจิทัลขึ้นมาได้อย่างอิสระ โดยสามารถจัดวางตำแหน่งจอโดยอ้างอิงกับสภาพแวดล้อมรอบตัวผู้ใช้ได้ โดยไม่จำเป็นต้องมีโต๊ะ หรือชั้นวางอยู่จริง ๆ นอกจากนี้ ยังปรับขนาดหน้าจอได้อย่างอิสระ นั่นหมายความว่าต่อให้คุณอยู่ในสถานที่ที่มีพื้นที่จำกัด เช่น ขณะที่นั่งอยู่บนเคลื่อนบิน แต่คุณยังสามารถรับชมภาพยนตร์บนหน้าจอขนาดยักษ์เหมือนอยู่ในโรงภาพยนตร์ได้
ภาพจาก : https://www.linkedin.com/pulse/apple-vision-pro-future-augmented-reality-muhammad-hamid-yaqoob/
นอกจากนี้ เรารู้กันดีอยู่แล้วว่า Apple นั้นออกแบบ Ecosystem ได้ดีขนาดไหน ? การทำงานร่วมกันระหว่างอุปกรณ์ต่าง ๆ เป็นไปอย่างไร้รอยต่อ เชื่อมต่อง่าย และรวดเร็วมาก ๆ ซึ่ง Apple Vision Pro ก็เช่นกัน มันได้รับการออกแบบมาให้ทำงานร่วมกับอุปกรณ์อื่น ๆ ของ Apple ได้อย่างชาญฉลาด เช่น หากมองไปยัง MacBook จะมีให้เลือกเชื่อมต่อ หากเรายืนยันก็จะมีหน้าจอแสดงผลปรากฏขึ้นมาให้ทันที พร้อมสามารถใช้มือปรับยืดขนาดหน้าจอได้ตามต้องการ
ภาพจาก : https://thefuturefeed.medium.com/apple-vision-pro-the-future-is-in-sight-and-its-expensive-c087fa4d5d25
ต้องถามก่อนว่า เราคาดหวังที่จะได้อะไรจากการใช้งาน Spatial Computer บ้าง ? ในขณะนี้ Apple ได้แสดงให้เห็นการใช้ของ Apple Vision Pro ในหลากหลายด้าน แต่ส่วนใหญ่จะเน้นไปที่การแสดงผลข้อมูลหน้าจอแบบ 2 มิติ เป็นหลัก เราสามารถสร้างหน้าจอแสดงผลที่ไหนก็ได้ ? และจะขยายขนาดหน้าจอเท่าไหร่ก็ได้ ? มันก็ดูเจ๋งแหละ แต่ด้วยราคา $3,500 (ประมาณ 130,000 บาท) มันก็เป็นราคาที่ค่อนข้างสูงสำหรับการเป็นแค่จอแสดงผลหรือเปล่า ? (แต่จะว่าไป Apple ก็ขาย Pro Display XDR หน้าจอ ความละเอียด 6K ขนาด 32 นิ้ว ราคาเริ่มต้นที่ 155,000 บาท แพงกว่า Apple Vision pro เสียอีก)
ในทางฮาร์ดแวร์แล้ว Apple Vision Pro สามารถแสดงผล 3D ได้อย่างสบาย ๆ แต่ปัญหาคือจะพัฒนาตัว AR และ VR ออกมาได้สร้างสรรค์ และใช้ประโยชน์จริงได้อย่างไร ? ตอนที่ Apple เปิดตัวก็พูดถึงเรื่องนี้แค่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ทาง Apple เน้นว่านี่คือ Spatial Computer
และถ้าหากจะต้องการใช้งาน AR และ VR มันจะเป็นแอปพลิเคชันที่ทำงานบน Spatial Computer ฟังดูแล้วก็คล้ายกับตอนที่ Apple เปิดตัว iPad รุ่นแรกออกมานะ หากใครยังจำกันได้ iPad ตัวแรก ทำอะไรแทบไม่ได้เลย ไม่มีแอปพลิเคชันรองรับ ซึ่ง Apple ก็คงต้องการให้ Apple Vision Pro เป็นแพลตฟอร์มใหม่ ที่ให้นักพัฒนาช่วยกันสร้างสรรค์แอปพลิเคชัน AR และ VR มาลงมากกว่า
Apple Vision Pro ยังมีข้อจำกัดด้านอื่นอีก ตรงที่สามารถใช้งานร่วมกับอุปกรณ์ของ Apple ได้เท่านั้น ซึ่งเป็น Ecosystem แบบปิด และยังไม่รองรับมาตรฐาน การเปิดเผยซอร์สโค้ด หรือ โอเพนซอร์ส (Open-Source) อย่าง OpenXR ด้วย
|
แอดมินสายเปื่อย ชอบลองอะไรใหม่ไปเรื่อยๆ รักแมว และเสียงเพลงเป็นพิเศษ |