ไม่กี่ปีก่อนหน้านี้ "เทคโนโลยีความเป็นจริงเสมือน" หรือ "เวอชวล เรียลลิตี้ (Virtual Reality - VR)" ที่ฟังดูแล้ว ให้ความรู้สึกเหมือนมันเป็นเทคโนโลยีในอนาคตที่ไม่น่าจะมาถึงในเร็ววันนี้ ถึงแม้ว่ามันจะถูกนำเสนอผ่าน ภาพยนตร์ Sci-Fi หรือในโลก Pop Culture ที่ทุกคนใช้เทคโนโลยีนี้ในชีวิตประจำวัน อย่างไรก็ตาม เทคโนโลยี Virtual Reality (VR) ที่ใช้งานได้จริงในปัจจุบันนี้ ก็ยังดูไม่ค่อยมีประโยชน์เท่าไหร่นัก สำหรับคนทั่วไป
แต่ในปัจจุบันนี้ อย่างที่เราเห็นกัน เทคโนโลยี VR มีการพัฒนาอย่างรวดเร็ว ตัวอุปกรณ์มีประสิทธิภาพสูงขึ้นจนอยู่ในระดับที่มันสามารถให้ประสบการณ์ที่ดีแก่ผู้ใช้ แถมราคาในการเป็นเจ้าของอุปกรณ์ VR ก็ถูกกว่าอดีตมาก เราจะเห็นได้ว่าบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่หลายแห่ง ได้ทุ่มงบประมาณเพื่อวิจัย และแข่งขันการพัฒนา VR กันอย่างดุเดือด นั่นทำให้เทคโนโลยี VR ถูกผลักดันให้เติบโตอย่างรวดเร็ว เช่น Quest 3 จากบริษัท Meta หรือ Vision Pro จากบริษัท Apple นั่นเอง
ภาพจาก : https://tech.hindustantimes.com/photos/vision-pro-headset-in-photos-apple-s-first-spatial-computer-71686049978538-5.html
หลายคนอาจจะรู้จัก หรือสัมผัสเทคโนโลยี VR ด้วยตัวเองกันมาแล้ว แต่หลายคนอาจจะยังไม่รู้จักมันเลย ในบทความนี้ เราเลยอยากที่จะหยิบความน่าสนใจของเทคโนโลยี VR ว่ามันคืออะไร ? มาเล่าให้ฟังกันในบทความนี้
จุดประสงค์หลักของ เทคโนโลยีความเป็นจริงเสมือน (VR) นั้น ถูกพัฒนาขึ้นมา เพื่อจำลองสภาพแวดล้อมต่าง ๆ ที่ผู้ใช้งานสามารถดื่มด่ำในโลกดิจิทัลที่ถูกสร้างขึ้นมาได้ ซึ่งประสบการณ์ที่ผู้ใช้งานได้สัมผัสจัดว่าเป็นโลกเสมือนจริง (Virutal) เพราะว่ามันเป็นโลกกราฟิกที่คอมพิวเตอร์เรนเดอร์มันขึ้นมา ถึงแม้ว่าสิ่งที่ผู้ใช้งานเห็นจะเหมือนจริงขนาดไหนก็ตาม
แต่สิ่งที่ทำให้โลก VR มีความน่าตื่นเต้นคือ สภาพแวดล้อมของโลกเสมือนไม่จำเป็นต้องมีความสมจริงเหมือนในชีวิตจริงก็ได้ ผู้พัฒนาสามารถจินตนาการสร้างโลกแบบใดขึ้นมาก็ได้ ? อาจจะเป็นโลกเวทมนตร์ที่เราเห็นในภาพยนตร์, โลกดึกดำบรรพ์ หรือจะเป็นต่างโลกก็ยังได้ ใครอยากสัมผัสความ Isekai เทคโนโลยี VR สามารถทำความฝันให้เป็นจริงได้ จากคุณสมบัติที่ว่ามาทำให้ การใช้ VR สามารถตอบโจทย์ได้ทั้งการทำงาน และความบันเทิง
อย่างไรก็ตาม มีเงื่อนไขอย่างไม่เป็นทางการอยู่เล็กน้อย ที่ตัดสินว่าโลกดิจิทัลที่ถูกสร้างขึ้นมา จะนับเป็นเทคโนโลยี VR หรือไม่ ดังนี้
ในการมีปฏิสัมพันธ์ภายในโลกเสมือนของ เทคโนโลยีความเป็นจริงเสมือน (VR) ก็อาจจำเป็นต้องมีอุปกรณ์เสริมเข้ามาช่วย โดยขึ้นอยู่กับว่า เราต้องการสัมผัสกับโลก VR ได้ลึกระดับไหน โดยมีตั้งแต่ Immersive, Semi-Immersive หรือ Non-Immersive
Immersive VR เป็นเทคโนโลยี VR ที่มีคุณภาพสูงที่สุด ผู้ใช้จะได้รับประสบการณ์ในโลกเสมือนที่มีความสมจริง โดย VR รูปแบบนี้ อย่างน้อยตัวผู้ใช้งานจะต้องสวมใส่แว่น VR (VR Headset), หูฟัง และถุงมือจับความเคลื่อนไหว รวมถึงต้องมีซอฟต์แวร์ และระบบที่ออกแบบมาเป็นพิเศษด้วย
ภาพจาก : https://learn.g2.com/virtual-reality
เทคโนโลยี VR มักถูกนำมาใช้ในฝึกฝนในสถานการณ์จำลองต่าง ๆ เช่น ฝึกบิน, ผ่าตัด, ฝึกรบ ฯลฯ ซึ่ง VR ชนิดนี้ มักจะทำงานร่วมกับระบบโปรเจคเตอร์เพื่อสร้างฉากขนาดใหญ่ และวัตถุของจริง เพื่อเพิ่มความสมจริงให้กับการสัมผัสมากยิ่งขึ้น
นี่เป็น เทคโนโลยี VR ที่แพร่หลายมากที่สุด เพราะเข้าถึงได้ง่าย แค่มีแว่น VR อันเดียว ก็เล่นได้แล้ว มีสื่อบันเทิงอย่างวิดีโอ และเกมคอมพิวเตอร์ถูกผลิตขึ้นมามากมาย
Beat Saber เกม VR ที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก
ภาพจาก : https://laughingsquid.com/beat-saber/
โดยเทคโนโลยีความเป็นจริงเสมือน (VR) นั้น อาศัยการทำงานร่วมกันระหว่าง ฮาร์ดแวร์ และ ซอฟต์แวร์ เพื่อสร้างประสบการณ์เสมือนจริงขึ้นมาเพื่อ "หลอก" สายตา และสมองของผู้ใช้งาน โดยฮาร์ดแวร์จะมีหน้าที่จับความเคลื่อนไหว, จำลองเสียง และสัมผัส ในขณะที่ซอฟต์แวร์จะทำหน้าที่เรนเดอร์โลกเสมือนขึ้นมา
ประสบการณ์แบบดำดิ่ง (Immersive Experience) ที่ VR สร้างขึ้น เกิดขึ้นได้ จากการลอกเลียนแบบวิธีการที่สมองสร้างภาพจากสิ่งที่ตามองเห็น หลักการพื้นฐานคือการใช้เทคนิค Stereoscopic โดยดวงตาของผู้ใช้จะอยู่ห่างจากจอแสดงผลที่อยู่ภายในแว่น VR Headset ในระยะใกล้ประมาณ 2-3 นิ้ว โดยมีหนึ่งหน้าจอต่อดวงตาแต่ละข้าง ซึ่งหน้าจอดังกล่าวจะมีองศาในการฉายภาพที่แตกต่างกันอยู่เล็กน้อย สมองของมนุษย์จะทำการรวม 2 ภาพ ดังกล่าวด้วยกันทำให้เห็นภาพที่มีมิติความลึกขึ้นมา
ตัวซอฟต์แวร์ของ VR อาศัยเทคนิคดังกล่าว แทนที่จะเป็นภาพเดียวที่แสดงผลเต็มหน้าจอ ก็นำภาพต้นฉบับ มาแยกออกเป็น 2 ภาพ แล้วเปลี่ยนมุมมองภาพให้แตกต่างกัน ส่งผลให้สมองถูกหลอก จากภาพ 2 มิติ ก็มองเห็นเป็นภาพ 3 มิติ อย่างไรก็ตาม นี่เป็นแค่หลักการพื้นฐานเท่านั้น VR ในปัจจุบันมีการใช้ชิ้นเลนส์หลายชิ้น และเทคโนโลยีอื่น ๆ อีกหลายอย่างเข้ามาช่วยด้วย
ภาพจาก : https://medium.com/predict/a-new-reality-how-vr-actually-works-663210bdff72
หากเราให้น้ำหนักกับขอบเขตของ เทคโนโลยี VR ว่าเป็นการสร้างภาพลวงตาที่หลอกให้เรารู้สึกเหมือนอยู่ในสภาพแวดล้อมนั้นจริง ๆ ความพยายามในการทำ VR ก็อาจจะนับรวมภาพวาดแบบพาโนรามา 360 องศาด้วย ซึ่งภาพในลักษณะนี้ถือกำเนิดขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 19 โดยตัวภาพในรูปแบบนี้จะแสดงรายละเอียดในมุมกว้างให้กับผู้ชม ทำให้เหมือนกับว่า เราอยู่ในเหตุการณ์ในภาพ
ในภาพตัวอย่างด้านล่าง การชมผ่านหน้าอาจจะดูไม่ได้อารมณ์เท่าไหร่นัก แต่ภาพของจริงนั้น ตัวภาพมีขนาดสูงถึง 14 เมตร และยาว 115 เมตร เลยทีเดียว
Franz Roubaud Panorama - Siege of Sevastopol (1854–1855)
ในตอนที่เราได้อธิบายหลักการทำงานของ VR Headset เราได้มีการพูดถึงเทคนิค Stereoscopic เอาไว้ เทคนิคนี้ถูกคิดค้นขึ้นมาตั้งปี ค.ศ. 1838 (พ.ศ. 2381) โดยนักวิจัย Charles Wheatstone ได้ค้นพบว่า หากมองภาพ 2 ภาพที่มีองศาแตกต่างกันในเวลาเดียวกัน จะมองเห็นภาพที่มีความลึกได้ ซึ่งการค้นพบนี้ได้กลายเป็นพื้นฐานของการสร้างภาพ Stereoscopic
ภาพจาก : https://en.wikipedia.org/wiki/Charles_Wheatstone
หลายสิบปีต่อมา ก็ได้มีการพัฒนาเป็นอุปกรณ์ที่มีชื่อว่า "View-Master Stereoscope" มันได้รับการจดสิทธิบัตรอุปกรณ์ในปี ค.ศ. 1939 (พ.ศ. 2482) โดยถูกใช้เป็นแว่นสำหรับรับชมสถานที่ท่องเที่ยวแบบเสมือน (Virtual Tourism) ซึ่งหลักการทำงานของมันได้รับความนิยมมาจนถึงปัจจุบันในอุปกรณ์ VR ต้นทุนต่ำอย่าง Google Cardboard หรือแว่น VR อื่น ๆ ที่ต้องใช้สมาร์ทโฟนในการทำงาน
ภาพจาก : https://www.westporttechmuseum.com/products/sawyers-view-master-1939-present
ในปี ค.ศ. 1929 (พ.ศ. 2472) Edward Link นักประดิษฐ์ และวิศวกรชาวอเมริกัน ได้คิดค้น "Link Trainer" อุปกรณ์สำหรับใช้ในการฝึกการขับเครื่องบินที่วางจำหน่ายในเชิงพาณิชย์เป็นรุ่นแรกของโลก มันได้รับการจดสิทธิบัตรในปี ค.ศ. 1931 (พ.ศ. 2474)
ตัว Link Trainer นั้นทำงานแบบเชิงกลทั้งเครื่อง อาศัยระบบมอเตอร์, ฟันเฟือง และสายพานต่าง ๆ เพื่อจำลองระบบควบคุม และแรงสั่นสะเทือนของเครื่องบินจริง ซึ่งการฝึกฝนด้วย Link Trainer แทนที่จะฝึกด้วยเครื่องบินจริงเลย นั้นมีความเสี่ยง และต้นทุนต่ำกว่า
ว่ากันว่าในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ทางกองทัพสหรัฐอเมริกาได้สั่งซื้อเครื่อง Link Trainer จำนวน 6 เครื่อง ในราคาเครื่องละ $3,500 หรือประมาณ $50,000 (ประมาณ 1,850,000) ตามอัตราเงินเฟ้อในยุคนี้ เพื่อนำไปฝึกการบินเบื้องต้นให้แก่เหล่าทหารในกองทัพมากกว่า 500,000 คน
วิดีโอจาก https://www.youtube.com/watch?v=MEKkVg9NqGM
ในช่วงปี ค.ศ. 1930 (พ.ศ. 2473) Stanley G. Weinbaum ได้เขียนนวนิยายไซไฟเรื่อง "Pygmalion’s Spectacles" มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับชายที่ชื่อว่า Haskel ศาสตราจารย์ที่ได้คิดค้นแว่น VR ที่เรียกว่า "Pygmalion’s Spectacles" ขึ้นมา ในเรื่องได้กล่าวว่าผู้ที่สวมใส่แว่นนี้จะเข้าสู่โลกจำลองที่มีความเสมือนจริง สามารถมองเห็น, สัมผัส, รับรู้รสชาติ และได้กลิ่น ซึ่งประสบการณ์ที่ Stanley G. Weinbaum ได้บรรยายเอาไว้ในนวนิยายเรื่องนี้นั้นได้ตรงกับแนวทางการพัฒนาเทคโนโลยี VR ในปัจจุบันนี้ กล่าวได้ว่าเขาเป็นผู้ที่มีแนวคิดแบบ "มาก่อนกาล"
ภาพจาก : https://www.studiogiggle.co.uk/extended-reality/a-brief-history-of-augmented-and-virtual-reality/
ในยุค ค.ศ. 1950 (พ.ศ. 2493) Morton Heilig ช่างถ่ายภาพยนตร์ได้คิดค้นอุปกรณ์ที่เรียกว่า Sensorama ขึ้นมา มันได้รับการจดสิทธิบัตรในปี ค.ศ. 1962 (พ.ศ. 2505) เจ้าเครื่อง Sensorama มันเป็นโรงหนังแบบส่วนตัว ที่มีการออกแบบที่คล้ายคลึงกับตู้เกมอาเขต (Arcade Games Machine)
โดย Sensorama มาพร้อมกับหน้าจอ 3 มิติ แบบ Stereoscopic, ลำโพงสเตอริโอ, พัดลม, เครื่องสร้างกลิ่น และเก้าอี้แบบสั่นได้ ซึ่งอุปกรณ์ทั้งหมดถูกใช้เพื่อให้ผู้ที่รับชมภาพยนตร์ผ่าน Sensorama ได้รับประสบการณ์ที่สมจริงที่สุด โดยตัว Morton Heilig ก็ได้ถ่ายทำภาพยนตร์สั้นขึ้นมา 6 เรื่อง ถ่ายทำ และตัดต่อเอง เพื่อฉายกับเครื่องนี้โดยเฉพาะ มีเรื่อง Motorcycle, Belly Dancer, Dune Buggy, Helicopter, A date with Sabina และ I’m a coca cola bottle!
ภาพจาก : https://www.vrs.org.uk/virtual-reality/history.html
ยังคงเป็นผลงานการประดิษฐ์จาก Morton Heilig ได้รับการจดสิทธิบัตรในปี ค.ศ. 1960 (พ.ศ. 2503) จัดว่าเป็นอุปกรณ์ประเภท Head-Mounted Display (HMD) ตัวแรกของโลก ถึงแม้ว่ามันจะไม่รองรับการโต้ตอบปฏิสัมพันธ์ และไม่มีระบบตรวจจับความเคลื่อนไหว แต่มันก็มาพร้อมกับหน้าจอ 3 มิติ แบบ Stereoscopic และลำโพงสเตอริโอ
ภาพจาก : https://www.dsource.in/course/virtual-reality-introduction/evolution-vr/telesphere-mask
ในปี ค.ศ. 1961 (พ.ศ. 2504) Comeau และ Bryan สองวิศวกรจากบริษัท Philco Corporation ได้พัฒนาอุปกรณ์ที่เรียกว่า Headsight โดยมันมีหน้าจอสำหรับดวงตาแต่ละข้าง แต่ที่พิเศษคือ มันมีระบบตรวจจับความเคลื่อนไหวด้วยแม่เหล็กใส่เข้ามาด้วย
อย่างไรก็ตาม Headsight ไม่ได้ถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อใช้งานกับ Virtual Reality (ในยุคนั้นไม่มีการใช้คำนี้ด้วยซ้ำ) แต่มันถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อใช้ทางการทหาร เพื่อใช้สอดแนมในพื้นที่เสี่ยงภัย โดยมันจะเชื่อมต่อกับระบบกล้องวงจรปิดเพื่อดูภาพผ่าน Headsight เมื่อผู้ใช้ขยับหัว เซ็นเซอร์จับความเคลื่อนไหวก็จะปรับองศากล้องตามมุมมองให้ ซึ่งเทคโนโลยีนี้ได้เป็นพื้นฐานให้กับการพัฒนา VR Headset
ภาพจาก : https://www.virtual-reality-shop.co.uk/philco-headsight-1961/
Ivan Edward Sutherland เป็นนักวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ชาวอเมริกัน และผู้บุกเบิกอินเทอร์เน็ต รวมถึงยังได้รับการยกย่องอย่างกว้างขวางว่าเป็นผู้บุกเบิกคอมพิวเตอร์กราฟิก ได้เสนอนิยามของสุดยอดหน้าจอ "Ultimate display" เอาไว้ในปี ค.ศ. 1965 (พ.ศ. 2508) ว่า
"ltimate Display จะแสดงผลโลกเสมือน ที่ถูกสร้าง และควบคุมด้วยคอมพิวเตอร์ได้อย่างอิสระ ทุกอย่างถูกแสดงผลเป็น 3 มิติ อย่างสมจริง และผู้ใช้สามารถสัมผัสสิ่งต่าง ๆ ในโลกนั้นได้ มันเหมือนโลก Wonderland ที่เราเป็น Alice เดินเล่นอยู่ภายในโลกนั้น"
แนวคิดของ Ivan Edward Sutherland ได้กลายเป็นพิมพ์เขียวในการพัฒนา เทคโนโลยี AR ในปัจจุบันนี้
ดอกเตอร์ Thomas Furness เป็นผู้ที่รับฉายาว่าคุณปู่แห่ง Virtual Reality (Grandfather of VR) จากการที่เขาเป็นผู้บุกเบิกการพัฒนาระบบจำลองการบินแบบโมเดิร์น โดยเขามีบทบาทสำคัญในการพัฒนาระบบจำลองการฝึกบินให้กับกองทัพ และริเริ่ม Human Interface Technology ที่ใช้ใน VR อีกด้วย
ในปี ค.ศ. 1968 (พ.ศ. 2511) Ivan Edward Sutherland ผู้นำเสนอแนวคิด Ultimate Display ได้ร่วมมือกับ Bob Sproull ลูกศิษย์ของเขา พัฒนา VR แบบ Head-Mounted Display (HMD) ที่สามารถเชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์ได้เป็นตัวแรกของโลกออกมา (ก่อนหน้านี้เป็นแบบต่อกล้อง) มันมีชื่อว่า Sword of Damocles
อย่างไรก็ตาม ถึงจะบอกว่าเป็นแว่น VR แบบสวมหัว แต่เอาจริง ๆ Sword of Damocles มันมีขนาดใหญ่ และหนักมาก เพื่อให้ผู้ใช้รู้สึกสบายในขณะที่สวมใช้งาน ตัวอุปกรณ์จึงต้องมีการแขวนกับเพดาน เพื่อช่วยผ่อนน้ำหนัก ในส่วนของกราฟิก ด้วยข้อจำกัดของฮาร์ดแวร์ในยุคนั้น มันจึงภาพเป็นแค่ลายเส้นของห้อง และวัตถุเท่านั้น
ภาพจาก : https://www.researchgate.net/figure/Sword-of-Damocles-Sutherland-1968_fig4_356638451
ในปี ค.ศ. 1969 (พ.ศ. 2512) Myron Krueger ศิลปินคอมพิวเตอร์ ได้รังสรรค์ผลงานที่ผู้ชมสามารถโต้ตอบกันได้ในสภาพแวดล้อม ที่เขาเรียกมันว่า "Artificial Reality" โดยมีผลงานออกมา 3 ชิ้น GLOWFLOW, METAPLAY และ PSYCHIC SPACE ซึ่งในภายหลังมันได้กลายเป็นรากฐานให้กับเทคโนโลยี VIDEOPLACE
General Electric ได้พัฒนาระบบจำลองการบินแบบดิจิทัลขึ้นมาเป็นครั้งแรก โดยประกอบด้วย 3 หน้าจอแสดงผล เรียงต่อกัน เพื่อสร้างภาพที่มีความกว้าง 180 องศา ล้อมรอบผู้ใช้งาน มาพร้อมกับค็อกพิท (Cockpit) ที่จำลองสภาพในเครื่องบินมาอย่างเสร็จสรรพ เพื่อเพิ่มความสมจริง
ภาพจาก : https://www.sutori.com/en/story/uses-of-virtual-reality--371a6MYBqdkLSbx3VWDWkiDk
หลังจากประสบความสำเร็จกับ Artificial Reality ไปแล้ว ไม่กี่ปีถัดมา Myron Krueger ก็ได้พัฒนาเทคโนโลยี VIDEOPLACE ขึ้นมา มันได้รับการยอมรับว่าเป็นระบบ VR ตัวแรกของโลกที่ผู้ใช้งานสามารถตอบโต้กับมันได้ โดยมันอาศัยการผสมผสานระหว่าง Computer Graphic (CG), โปรเจคเตอร์, กล้อง และหน้าจอแสดงผลที่สามารถจับตำแหน่งของผู้ใช้ได้ หากนึกภาพไม่ออก มันเหมือน เทคโนโลยี AR ในยุคปัจจุบันนี้ ที่ไม่ต้องใส่แว่นนั่นเอง
วิดีโอจาก https://www.youtube.com/watch?v=dqZyZrN3Pl0
สถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์ (MIT) ได้สร้าง Movie Map ขึ้นมา มันเป็นระบบที่ทำให้ผู้ใช้ได้สัมผัสการเดินเที่ยวไปในแอสเพนเมืองในโคโลราโด อาจบอกว่านี่เป็นเหมือนบรรพบุรุษของ Google Street View ก็ว่าได้ โดย MIT ได้ใช้กล้องวิดีโอติดกับรถยนต์ แล้วขับเพื่อบันทึกวิวไปเรื่อย ๆ แล้วนำมาฉายบนจอ
แหล่งที่มาวิดีโอ : https://www.youtube.com/watch?v=2Ytd12d6qNw
หมวก VITAL ที่บริษัทผลิตเครื่องบิน McDonnell Douglas พัฒนาขึ้นมาในปี ค.ศ. 1979 (พ.ศ. 2522) อาจกล่าวได้ว่าเป็น VR HMD ตัวแรกที่ถูกนำมาใช้นอกห้องทดลอง มันมีระบบตรวจจับความเคลื่อนไหวของดวงตา เพื่อแสดงภาพที่สร้างขึ้นจากคอมพิวเตอร์ในตำแหน่งที่ถูกต้องได้
ภาพจาก : https://www.facebook.com/exvrcenter/photos/a.930859570825903/1028903961021463/?type=3
Sayre เป็นถุงมือที่สามารถตรวจจับความเคลื่อนไหวของนิ้วมือได้ ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อใช้กับเทคโนโลยี VR พัฒนาโดย Daniel Sandin และ Thomas DeFanti ตัวถุงมือจะเชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์ และใช้เซ็นเซอร์ Optical ในการตรวจจับความเคลื่อนไหวของนิ้วได้ ไอเดียนี้ได้นำไปสู่การพัฒนา Data Glove ในภายหลัง ซึ่งเป็นหนึ่งในเทคโนโลยีที่มีบทบาทสำคัญต่อการพัฒนา VR
ภาพจาก : https://www.evl.uic.edu/research/2162
Jaron Lanier และ Thomas Zimmerman ทั้งคู่ถือเป็นผู้บุกเบิกเทคโนโลยี VR ทั้งคู่ได้ร่วมก่อตั้งบริษัท VPL Research กล่าวได้ว่านี่เป็นบริษัทแรกที่ทำธุรกิจขายอุปกรณ์ HMD และถุงมือ คำว่า Data Glove ก็มีที่มาจาก DataGlove ซึ่งเป็นสินค้าของบริษัทนี้เช่นกัน
ภาพจาก : https://en.wikipedia.org/wiki/VPL_Research
Thomas Furness เป็นผู้ที่รับฉายาว่าคุณปู่แห่ง VR ได้เป็นผู้อำนวยการดูแลโครงการ "Super Cockpit" ให้กับกองทัพอากาศ มันเป็นเครื่องจำลองที่ออกแบบมาสำหรับใช้ในการฝึกบิน โดยนำเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์กราฟิกที่ตอบโต้ได้แบบเรียลไทม์มาใช้ ร่วมกับระบบกลไกในการขยับ และระบบควบคุมของเครื่องบิน
ภาพจาก : https://garc.space/history/tom-furness-cockpit-vr/#
จากข้อมูลความเป็นมาของ เทคโนโลยี VR ที่ร่ายมาอย่างยาวนาน มันก็ยังไม่มีอะไรที่เข้าใกล้กับนิยามของ VR ในปัจจุบันนี้เลย แต่ความเปลี่ยนแปลงได้เกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1987 (พ.ศ. 2530) Jaron Lanier ผู้ก่อตั้งบริษัท VPL Research ได้เผยแพร่งานวิจัยของบริษัท พร้อมริเริ่มการใช้คำว่า "Virtual Reality" เป็นครั้งแรก ในการอธิบายทิศทางผลิตภัณฑ์ของบริษัท ซึ่งก็มีทั้ง Dataglove และ EyePhone (หน้าจอแบบสวมศีรษะ) นี่ถือเป็นก้าวย่างที่สำคัญของการพัฒนาเทคโนโลยี VR
ภาพจาก : https://commons.wikimedia.org/wiki/File:VPL_Eyephone_and_Dataglove.jpg
องค์การ NASA ได้ร่วมกับบริษัท Crystal River Engineering พัฒนาโครงการ "Project VIEW" ระบบ VR สำหรับใช้ฝนการฝึกฝนนักบินอวกาศ เทคโนโลยีนี้มีความใกล้เคียงกับระบบ VR ในปัจจุบันนี้เป็นอย่างมาก สามารถจำลองโลก 3 มิติ และโต้ตอบกับวัตถุในโลกเสมือนได้ เกร็ดน่าสนใจคือ เทคโนโลยีนี้ได้เป็นแรงบันดาลใจให้ Nintendo พัฒนาอุปกรณ์ Power Glove ด้วย
แหล่งที่มาวิดีโอ : https://www.youtube.com/watch?v=TY8CyUQOncc
ในที่สุดเราก็ได้เห็นอุปกรณ์ที่ใช้เทคโนโลยี VR ถูกนำมาใช้กับสาธารณชน ถึงแม้การซื้อกลับไปใช้ภายในบ้านจะยังเป็นเรื่องที่ห่างไกล แต่การมีให้ใช้ได้ในที่สาธารณะก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ดี
บริษัท Virtuality Group ได้เปิดตัวตู้เกม Arcade ที่ผู้เล่นจะต้องสวมแว่น VR ที่ใช้เทคโนโลยี Stereoscopic บางเกมสามารถเล่นร่วมกับเพื่อนที่อยู่ในตู้ข้างกันได้ด้วย
แหล่งที่มาวิดีโอ : https://www.youtube.com/watch?v=1Qe4suqGZmU
ในยุคนี้ การรับชมฟุตเทจที่ส่งตรงมาจากยานอวกาศสำรวจดาวอังคารอาจเป็นเรื่องที่ฟังดูธรรมดา แต่ย้อนกลับไปในปี ค.ศ. 1991 (พ.ศ. 2534) มันเป็นเรื่องยากมาก เพราะข้อจำกัดของเทคโนโลยีในสมัยนั้น ไม่ต้องพูดถึงการส่งข้อมูลกลับมา แค่การบังคับยานอวกาศจากพื้นโลกยังเป็นเรื่องที่ต้องหาทางแก้ไขปัญหาอยู่เลย
ในเวลานั้น Antonio Medina วิศวกรขององค์การ NASA ได้เสนอวิธีการควบคุมยานสำรวจดาวอังคารผ่านระบบ VR ในชื่อระบบว่า "Computer Simulated Teleoperation" ขึ้นมา มีการค่าดีเลย์มาใช้แปรผันค่าในการควบคุมระบบด้วย
ภาพยนตร์เรื่อง The Lawnmower Man หรือชื่อไทยว่า ฅนไม่ให้เป็นฅน ที่ออกฉายในปี ค.ศ. 1992 (พ.ศ. 2535) ได้นำเสนอแนวคิดเกี่ยวกับ Virtual Reality ให้สาธารณชนทั่วไปได้เข้าใจเทคโนโลยีนี้โดยทั่วกัน
พลอตหนังเป็นเรื่องของ Jaron นักวิทยาศาสตร์ที่รับบทโดย เพียร์ซ บรอสแนน ว่าด้วยการรักษาผู้ป่วยทางจิตด้วยการใช้อุปกรณ์ Virtual Reality ซึ่งได้นำอุปกรณ์ VR ของจริงจาก VPL Research มาใช้ในการถ่ายทำภาพยนตร์ ซึ่งตัว เบรตต์ ลีโอนาร์ด ผู้กำกับก็ยอมรับว่าได้แรงบันดาลใจมาจากบริษัท VPL Research
SEGA ค่ายเกมชื่อดัง ที่ในอดีตเป็นหนึ่งในผู้ผลิตเครื่องเกมคอนโซลที่ประสบความสำเร็จ ในปี ค.ศ. 1993 (พ.ศ. 2536) SEGA ได้เปิดตัว SEGA VR Headset ตัวต้นแบบ สำหรับใช้กับเครื่อง Genesis ที่งาน Consumer Electronics Show
ทาง SEGA ต้องการที่จะวางจำหน่ายแว่น VR ดังกล่าวในราคา $200 หากเทียบกับค่าเงินยุคนี้ตามอัตราเงินเฟ้อ ก็จะอยู่ที่ประมาณ $322 (ประมาณ 12,000 บาท) อย่างไรก็ตาม ด้วยความยากในการพัฒนาให้สินค้าออกมาสมบูรณ์ทำให้สุดท้ายแล้ว มันก็ไม่ได้รับการวางจำหน่าย แม้จะมีการพัฒนาเกมออกมารองรับถึง 4 เกมแล้วด้วยก็ตาม ซึ่งความผิดพลาดในครั้งนี้ได้ส่งผลให้บริษัท SEGA ขาดทุนอย่างหนัก
ภาพจาก : https://en.wikipedia.org/wiki/Sega_VR
หลังเปิดตัว SEGA VR headset รุ่นต้นแบบ สำหรับเครื่องเกม Genesis ได้ไม่นาน ทาง SEGA ก็ประกาศเปิดตัว VR-1 มันเป็นอุปกรณ์ VR สำหรับเครื่องเกมอาเขต ทำงานร่วมกับ Cockpit ที่เคลื่อนไหวได้ มันได้รับกระแสตอบรับที่ดีอยู่พอสมควร
ภาพจาก : https://www.youtube.com/watch?v=ojutHp6RnPU
Nintendo Virtual Boy หรือชื่อเดิมว่า VR-32 เป็นเครื่องเกมคอนโซล 3 มิติ ที่สร้างความฮือฮาแก่สาธารณชนเป็นอย่างมาก เพราะมันเป็นคอนโซลแบบพกพาที่สามารถแสดงผลกราฟิก 3 มิติ ได้ เป็นเครื่องแรกของโลก เปิดตัวเป็นครั้งแรกในประเทศญี่ปุ่น และอเมริกาเหนือ ด้วยราคา $180 หรือประมาณ $369 (13,700 บาท) เมื่อเทียบกับค่าเงินในปัจจุบัน
อย่างไรก็ตาม สุดท้ายแล้วมันก็ล้มเหลวอยู่ดี แม้ว่าจะมีการลดราคาแล้วก็ตาม ปัญหาของมันมาจากกากกราฟิกที่แสดงผลได้เพียง 2 สี ดำ และแดงเท่านั้น, ขาดซอฟต์แวร์สนับสนุน และไม่สะดวกต่อการเล่น ทำให้ Nintendo ยุติการผลิต และจัดจำหน่ายในปีถัดมา
แหล่งที่มาวิดีโอ : https://www.youtube.com/watch?v=EFwkuljK5DM&list=PL3E487ABD8FAAD911
Georgia Tech และ มหาวิทยาลัยเอมอรี่ (Emory University) ได้ร่วมมือกันพัฒนาวิธีรักษาอาการ Post-traumatic stress disorder (PTSD) อาการทางจิตที่เกิดจากการได้รับความกระทบกระเทือนทางจิตใจอย่างรุนแรงให้กับทหารผ่านศึก ซึ่งการรักษาด้วยเทคนิคนี้ก็ยังคงเป็นวิธีสำคัญที่ยังวิจัยกันอยู่แม้ในปัจจุบันนี้ เพราะเทคโนโลยี VR ช่วยบำบัดอาการให้ผู้ป่วย ด้วยการควบคุมสิ่งที่มองเห็นได้อย่างละเอียดอ่อน
ในปี ค.ศ. 1999 (พ.ศ. 2542) สองพี่น้องวาชอวสกี ได้สร้างภาพยนตร์ไซไฟสุดล้ำ The Matrix มันประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก ซึ่งเป็นเรื่องราวของตัวละครที่ใช้ชีวิตอยู่ในโลกจำลอง และมีหลายไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่า พวกเขามีชีวิตอยู่ในโลกจำลองนี้มาโดยตลอด
ถึงแม้ว่าก่อนหน้านี้ จะมีภาพยนตร์ที่นำเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับ Virtual Reality มาบ้างแล้วก็ตาม เช่น Tron ที่ออกฉายในปี ค.ศ. 1982 (พ.ศ. 2525) หรือ Lawnmower Man ออกฉายในปี ค.ศ. 1992 (พ.ศ. 2535) แต่ความสำเร็จไปทั่วโลกของ The Matrix ได้ทำให้โลกเสมือนกลายเป็นหัวข้อที่คนทั่วโลกให้ความสนใจ
วิดีโอจาก https://www.youtube.com/watch?v=vKQi3bBA1y8
Google เป็นผู้ให้บริการระบบแผนที่เบอร์ต้น ๆ ของโลก ในปี ค.ศ. 2007 (พ.ศ. 2550) Google ได้เพิ่มคุณสมบัติ Street View ให้กับ Google Maps มันทำให้ผู้ใช้สามารถเลือกรับชมแผนที่ในแบบ 360 องศา ได้แทบทุกจุดทั่วทั้งโลก โดย Google ได้ใช้รถ และคนจำนวนมหาศาล เดินทางไปตามเส้นทางต่าง ๆ เพื่อเก็บข้อมูลมาใส่ในแผนที่ให้ผู้ใช้ได้ชมกัน
ภาพจาก : https://www.cnet.com/pictures/crazy-images-caught-on-google-street-view/2/
หลังจากเปิดตัว Street View ได้ไม่นาน Google ก็เพิ่มโหมด 3 มิติ ให้กับ Street View แต่ปีนี้มีข่าวใหญ่ยิ่งกว่า เมื่อ Palmer Lucky วัยรุ่นผู้มีความฝันได้สร้างชุด Kit สำหรับสร้างแว่น VR Headset ที่ราคาไม่แพง ไม่ว่าใครก็สามารถนำไปประกอบเล่นเองได้ ซึ่งมันไปสะดุดตา John Carmack ผู้ก่อตั้งบริษัทวิดีโอเกม id Software ที่ผลิตเกมดังระดับตำนานอย่าง Doom เขาได้ช่วยผลักดัน และช่วยพัฒนาจนภายหลังก่อตั้งเป็นบริษัท Oculus ผลิตแว่น VR ออกมาจำหน่ายในราคาที่คนทั่วไปก็เอื้อมถึง จุดกระแสความนิยม VR ให้แพร่หลาย
ภาพจาก : https://en.wikipedia.org/wiki/Reality_Labs
Palmer Lucky ได้เปิดระดมทุน Oculus Rift บน Kickstarter ซึ่งสามารถระดมทุนได้มากถึง $2,500,000 (ประมาณ 92,595,000 บาท) สะท้อนให้เห็นว่ามีผู้ให้ความสนใจกับโลก VR มากขนาดไหน
VR เริ่มเป็นกระแสโลกโซเชียล Oculus ได้ไปเข้าตา Facebook จนได้มาเข้าซื้อกิจการไปในมูลค่ากว่า $2000,000,000 (ประมาณ 74,060,000,000 บาท) ทำให้ในนี้มีอุปกรณ์ VR เปิดตัวออกมาหลายรุ่น อย่าง Google Cardboard ก็เปิดตัวในปีนี้เช่นกัน
ปีนี้ ยังเป็นปีที่บริษัท Sony ประกาศว่าจะทำอุปกรณ์เสริม เพื่อให้เครื่องเกม PlayStation 4 สามารถเล่น VR ได้ อีกด้วย
เป็นปีที่ VR มาแรงมาก หลายบริษัทเปิดตัวอุปกรณ์ VR ออกมาพร้อมกันในปีนี้ เราได้เห็น Oculus Rift, HTC Vice, PS VR, Galaxy VR และแบรนด์จีนอีกมากมาย เปิดตัวอุปกรณ์ VR แบบ HMD ออกมาวางจำหน่ายในช่วงปีนี้
บริษัท Oculus เปิดตัวอุปกรณ์ HDM ตัวต้นแบบรุ่นใหม่ที่เรียกว่า "Half-Dome" มันเป็นแว่น VR ที่มีเทคโนโลยีซับซ้อนกว่าเดิมมาก มีการใช้ Varifocal Lens (เลนส์ที่ปรับความยาวโฟกัสได้) เพิ่มมุมมองภาพให้กว้างขึ้น ทำได้ถึง 140 องศาเลยทีเดียว
ภาพจาก : https://www.meta.com/blog/quest/half-dome-updates-frl-explores-more-comfortable-compact-vr-prototypes-for-work/
จากเดิมที่ VR ต้องพึ่งพาคอมพิวเตอร์ หรือประกบติดกับสมาร์ทโฟนในการทำงาน แต่การมาของ Oculus Go และ Oculus Quest มันมีฮาร์ดแวร์ในตัว สามารถใช้งานได้โดยไม่ต้องเชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์ หรือสมาร์ทโฟนเพื่อทำงานอีกต่อไป มันทำให้การใช้งานมีอิสระมากกว่าเดิม อีกทั้งราคาของมันก็ไม่แพงมากอีกด้วย ทำให้ความนิยมของ VR แบบใช้สมาร์ทโฟนแทนหน้าจอเริ่มเสื่อมความนิยม
อุปกรณ์ VR มีความแพร่หลาย มีซอฟต์แวร์บันเทิงมารองรับมากมาย ทิศทางในการพัฒนาในตอนนี้มีแนวโน้มไปในทาง Mixed Reality ที่ผสานโลก VR กับโลกจริงเข้าด้วยกัน ดูได้จาก Meta Quest 3 หรือ Apple Vision Pro ที่ต่างชูจุดเด่นในเรื่องนี้
ภาพจาก : https://www.uploadvr.com/cubism-quest-3-update/
ว่ากันตามสถานการณ์ในปัจจุบัน เทคโนโลยีความเป็นจริงเสมือน (VR) ก็ยังคงเป็นเทคโนโลยีที่ค่อนข้างใหม่ ยังมีหลายด้านที่ต้องได้รับการพัฒนา หรือขีดจำกัดบางอย่างที่ยังคงเป็นอุปสรรคต่อการใช้งาน VR ในชีวิตประจำวัน อย่างไรก็ตาม ประโยชน์ของ VR ก็มีอยู่หลายด้าน ตัวอย่างที่น่าสนใจก็อย่างเช่น
โรงพยาบาล Latus Health กำลังพัฒนา โรงพยาบาล VR ขึ้นมา เพื่อใช้บริการ "การแพทย์ระยะไกล" โดยเริ่มต้นจะเน้นไปบริการเกี่ยวกับการให้คำปรึกษา และการทำกายภาพบำบัด เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับคนไข้ ไม่จำเป็นต้องเสียเวลาเดินทางมาที่โรงพยาบาล และช่วยยกระดับการแพทย์ระยะไกลให้มีคุณภาพที่ดีขึ้นกว่าเดิม
ธุรกิจค้าปลีกก็ได้ประโยชน์จาก VR ด้วยเช่นกัน และปัจจุบันก็มีแบรนด์ชั้นนำเริ่มนำมาทดลองใช้บ้างแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการสร้างห้างสรรพสินค้าขึ้นมาในโลก VR โดยตรง, สร้างร้านค้าเสมือนที่ผู้ใช้เลือกชมสินค้าได้เหมือนอยู่ที่ร้านแต่ไม่ต้องเดินทางฝ่ารถติดออกมาจากบ้าน, หรือการจำลองโมเดลสินค้ามาวางไว้ในห้อง เพื่อดูว่าผลลัพธ์จะออกมาเป็นอย่างไรโดยไม่ต้องจินตนาการเอาเอง ?
สำหรับตอนนี้ หากเรื่องเงินไม่ใช่ปัญหา เพื่อน ๆ ที่สนใจก็ลองซื้อหาแว่น VR Headset มาลองเล่นกันได้แล้วง่าย ๆ ไม่แน่ว่าเพื่อน ๆ อาจจะติดใจกับโลกเสมือนที่เต็มไปด้วยความบันเทิงรูปแบบใหม่ก็เป็นได้
|
แอดมินสายเปื่อย ชอบลองอะไรใหม่ไปเรื่อยๆ รักแมว และเสียงเพลงเป็นพิเศษ |