ใครที่ติดตามข่าวสารในแวดวงน่าจะกำลังให้ความสนใจกับความดรามาที่เกิดขึ้นระหว่าง WordPress และ WP Engine
สำหรับ เวิร์ดเพรสส์ (WordPress) หนึ่งในเทคโนโลยียอดนิยมในการสร้าง และโฮสต์เว็บไซต์ กำลังตกเป็นข่าวในช่วงปี ค.ศ. 2024 (พ.ศ. 2567) เนื่องจากความขัดแย้งที่มีกับ WP Engine ผู้ให้บริการโฮสต์เว็บไซต์
ที่เรื่องนี้เป็นเหตุการณ์ใหญ่ก็เพราะว่า เว็บไซต์กว่า 40% บนโลก อินเทอร์เน็ต (Internet) นั้นใช้ WordPress ในการทำงาน การที่ WordPress.org ได้วิวาทกับ WP Engine โดยการปิดกั้นไม่ให้เข้าถึงทรัพยากรบางอย่างได้ ส่งผลกระทบต่อผู้ใช้งานเป็นจำนวนมาก
ปัญหาดรามานี้มีที่มาที่ไปอย่างไร ? เราจะมาเล่าให้อ่านกันในบทความนี้ แต่ก่อนอื่นมาเริ่มจากการทำความรู้จักกับคู่กรณีทั้งสองฝ่ายกันก่อน ว่า "WordPress" และ "WP Engine" เป็นใคร ...
WordPress เปิดตัวในปี ค.ศ. 2003 (พ.ศ. 2546) โดย Mullenweg และ Mike Little พวกเขาออกแบบทำเว็บไซต์ง่าย ๆ ผู้ที่มีความรู้ระดับเบื้องต้นสามารถสร้างเว็บไซต์ได้โดยใช้การตั้งค่าแบบพื้นฐาน ในขณะที่ผู้ที่มีความชำนาญก็สามารถปรับแต่งสิ่งต่าง ๆ ได้ค่อนข้างอิสระ
ซึ่งตัว WordPress เป็นซอฟต์แวร์ โอเพนซอร์ส (Open-Source) นั่นหมายความว่าโค้ดต้นฉบับของมัน สามารถใช้งานฟรี, แจกจ่าย และพัฒนาปรับเปลี่ยนได้
ไม่กี่ปีต่อมา ในปี ค.ศ. 2005 (พ.ศ. 2548) Mullenweg ก่อตั้งบริษัท Automattic ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นบริษัทแม่ที่อยู่เบื้องหลังผลิตภัณฑ์ของ WordPress และหนึ่งปีต่อมา ชื่อ และโลโก้แบรนด์ของแพลตฟอร์ม ก็ได้รับการจดทะเบียน ส่วน Automattic ก็แสวงหากำไรจากการขายเวอร์ชันโฮสต์ของซอฟต์แวร์ WordPress
ในปี ค.ศ. 2010 (พ.ศ. 2553) บริษัท Automattic ได้โอนเครื่องหมายการค้า และโลโก้ของ WordPress ให้กับ WordPress Foundation องค์กรไม่แสวงหากำไรที่ก่อตั้งโดย Mullenweg เพื่อส่งเสริมภารกิจของ WordPress ในฐานะโครงการโอเพนซอร์ส WordPress
ภาพจาก : https://en.m.wikipedia.org/wiki/File:WordPress_blue_logo.svg
ในปีเดียวกันกับที่บริษัท Automattic ได้โอนเครื่องหมายการค้า และโลโก้ของ WordPress ให้กับ WordPress Foundation
บริษัท WP Engine ก็ได้ก่อตั้งขึ้นในรัฐเท็กซัส ในฐานะผู้ให้บริการโฮสต์ที่เชี่ยวชาญในเทคโนโลยีของ WordPress เปิดให้บริการโฮสต์พร้อมบริการจัดการ ในระดับอีคอมเมิร์ซ และองค์กร
บริษัทได้ประสบความสำเร็จเติบโตจนมีพนักงานมากกว่า 1,000 คนทั่วโลก ได้รับเงินลงทุนมากกว่า $250 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในระยะเวลา 14 ปี โดยส่วนใหญ่ของเงินทุนมาจากบริษัทการลงทุน Silver Lake
ภาพจาก : https://wordpress.org/five-for-the-future/pledge/wp-engine/
ทุกอย่างเริ่มต้นในเดือนกันยายน ค.ศ. 2024 (พ.ศ. 2567) เมื่อ Matt Mullenweg ผู้ร่วมก่อตั้ง WordPress เรียก WP Engine ว่า "มะเร็งของ WordPress" ในงานอีเวนต์ WordCamp US 2024 ลำดับเหตุการณ์เป็นดังนี้
Matt Mullenweg ได้อธิบายบน Blog ของเขาว่า "บริษัท WP Engine นั้น สร้างรายได้ และกำไร จากซอฟต์แวร์ฟรี และโอเพนซอร์สของ WordPress โดยที่ไม่ได้ทำสิ่งใดเพื่อตอบแทนกลับคืนสู่ระบบนิเวศโอเพนซอร์สมากนัก"
จุดนี้เขาหมายถึงถึงโครงการ "Five for the Future" ซึ่งเป็นโครงการที่อนุญาตให้องค์กรต่าง ๆ ที่ทำกำไรจาก WordPress จะแบ่งกำไร 5% กลับมาบริจาคให้โครงการ WordPress ได้ใช้ในการพัฒนาต่อไป
"คำมั่นเหล่านี้เป็นเพียงปรัชญาที่ไม่ได้มีการบังคับให้ทุกคนต้องทำตาม แต่ ณ ขณะที่ผมเขียน Blog นี้ Automattic มีชั่วโมงการทำงาน 3,786 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ (ยังไม่นับรวมผม !) และ WP Engine มีชั่วโมงการทำงานเพียง 47 ชั่วโมง เท่านั้น ทั้งที่ทั้งสองบริษัทมีขนาดใกล้เคียงกัน ความแตกต่างนี้แสดงให้เห็นว่า WP Engine ไม่ได้ทำตามสัญญาที่ให้ไว้ และกลับหากำไรจาก WordPress โดยไม่ได้สนับสนุนการพัฒนาของมันอย่างเพียงพอ"
Matt Mullenweg ยังกล่าวอีกว่า "แม้ว่าที่ WP Engine จะมีพนักงานที่ดี แต่ตัวบริษัทก็ถูกควบคุมโดย Silver Lake นายทุนที่ไม่สนใจเกี่ยวกับอุดมคติของโอเพนซอร์ส แค่ต้องการผลตอบแทนจากการลงทุนเพียงเท่านั้น"
ในแถลงการณ์แยกต่างหากบนเว็บไซต์ของ WordPress ยังได้กล่าวอีกว่า WP Engine กำลัง "ทำลายระบบนิเวศของ WordPress ทำให้ผู้ใช้ของเรามีประสบการณ์ที่แย่ลง เพื่อให้พวกเขาสามารถทำเงินได้มากขึ้น"
ย้อนกลับไปที่สุนทรพจน์ของ Matt Mullenweg ที่กล่าวในงาน WordCamp US 2024 เขาได้ระบุว่า WP Engine ได้ถอดคุณสมบัติสำคัญของ WordPress ออก และมีส่วนร่วมในการพัฒนาน้อยมาก หนึ่งในความกังวลหลักของเขาคือการจัดการระบบแก้ไขของ WordPress ของ WP Engine ซึ่งติดตามการเปลี่ยนแปลงทุกครั้งที่ผู้ใช้ทำต่อเนื้อหาของพวกเขา ทำให้พวกเขาสามารถย้อนกลับไปยังเวอร์ชันก่อนหน้าได้หากจำเป็น
แต่ WP Engine ได้ปิดใช้งานคุณสมบัตินี้เป็นค่าเริ่มต้น โดยอ้างเหตุผลว่าเพื่อแก้ปัญหาด้านประสิทธิภาพ อย่างไรก็ตาม Matt Mullenweg เชื่อว่าสาเหตุเบื้องหลังที่แท้จริงคือการประหยัดค่าใช้จ่าย บริษัท WP Engine ได้จำกัดผู้ใช้ให้สามารถเข้าถึงการแก้ไขได้เพียง 3 ครั้ง อีกทั้งข้อมูลสำรองจะถูกลบออกหลังจาก 60 วัน หากผู้ใช้ไม่ได้ร้องขอเป็นการเฉพาะ Matt Mullenweg ให้เหตุผลว่านี่เป็นการละเมิดคำสัญญาหลักของ WordPress ในการปกป้องเนื้อหาของผู้ใช้ ทำลายความสมบูรณ์ของแพลตฟอร์ม
คำวิจารณ์ของ Matt Mullenweg ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ด้านเทคนิคเท่านั้น เขายังกล่าวหาว่า WP Engine ได้หากำไรจากความสับสนระหว่าง WordPress (แพลตฟอร์มโอเพนซอร์ส) และ WP Engine (บริษัทเอกชน) Matt Mullenweg ยังบอกอีกว่า แม้แต่แม่ของเขาเองก็ยังเข้าใจผิดว่า WP Engine เป็นส่วนหนึ่งของ WordPress อย่างเป็นทางการด้วยซ้ำไป เนื่องจากการสร้างภาพลักษณ์แบรนด์ของบริษัท WP Engine พยายามหลอกให้ผู้ใช้คิดว่าพวกเขาได้รับประสบการณ์ WordPress จริง
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ทาง Matt Mullenweg ได้ออกมาแสดงความคิดในลักษณะนี้มาก่อน ก่อนหน้านี้เขาเคยวิจารณ์ GoDaddy ผู้ให้บริการโฮสต์ WordPress รายใหญ่อีกราย โดยเรียกว่าเป็น "บริษัทปรสิต" และกล่าวหาว่ามันเป็นภัยคุกคามต่อการดำรงอยู่ของ WordPress คำวิจารณ์ของเขาต่อ WP Engine ก็ดำเนินรอยตามเดียวกัน เขาเสนอว่าบริษัทที่หากำไรจากโครงการโอเพนซอร์ส ควรมีความรับผิดชอบทางจริยธรรม ที่จะต้องนำผลกำไรกลับมาลงทุนใหม่ในโครงการนี้
ส่วนที่เป็นประเด็นถกเถียงกันในหมู่ผู้ใช้งานมากที่สุดคือ ในคำปราศรัยของ Mullenweg ได้เรียกร้องให้ผู้ใช้ WordPress พิจารณาความสัมพันธ์ของตนกับ WP Engine ใหม่ เขาสนับสนุนให้ผู้ใช้ "ลงคะแนนด้วยกระเป๋าเงินของพวกเขา" (Vote with Your Wallet) โดยเลือกผู้ให้บริการโฮสต์รายอื่นที่มีส่วนร่วมกับ WordPress มากขึ้น เขาได้กล่าวถึงผู้ให้บริการอย่าง Hostinger, Bluehost และ Pressable เป็นตัวเลือกอื่น โดยอ้างว่าการเปลี่ยนผู้ให้บริการโฮสต์อาจนำไปสู่ประสิทธิภาพที่ดีขึ้น และส่งผลดีต่อระบบนิเวศของ WordPress ด้วย
แน่นอนว่าโดนโจมตีขนาดนี้ มีหรือทาง WP Engine จะนิ่งเฉยอยู่ได้ ทางทีมกฎหมายของบริษัทได้ส่งจดหมายไปยัง Automattic เพื่อปฏิเสธข้อกล่าวหาของ Matt Mullenweg และเรียกร้องให้ถอนคำพูดดังกล่าว โดยทนายของ WP Engine อ้างว่าความคิดเห็นของ Matt Mullenweg ไม่เพียงแต่ทำลายชื่อเสียงของบริษัท แต่ยังสร้างความเข้าใจผิดอีกด้วย อย่างไรก็ตาม จนถึงขณะนี้ยังไม่มีการถอนคำพูดจาก Matt Mullenweg และการต่อสู้ระหว่างสองบริษัทนี้ยังคงดำเนินต่อไป
การต่อสู้ทางกฎหมายระหว่าง WordPress และ WP Engine มีชนวนเริ่มต้นจากปัญหาเครื่องหมายการค้า ซึ่งเกี่ยวข้องกับการใช้ชื่อ "WordPress" ในการให้บริการ และทำการตลาด ของ WP Engine ที่อาจทำให้ผู้บริโภคเกิดความเข้าใจผิดว่ามีการรับรอง หรือความสัมพันธ์กับ WordPress
ซึ่งความขัดแย้งนี้นำไปสู่การดำเนินการทางกฎหมายหลายต่อหลายครั้ง โดย WordPress ระบุว่าเป็นการปกป้องเครื่องหมายการค้าของตนเอง ผลกระทบของการต่อสู้นี้มีส่งผลให้ WP Engine ต้องเปลี่ยนวิธีในการวางแผนการตลาด, บริการ และการมีส่วนร่วมกับชุมชน WordPress ใหม่
ปัญหาหลักคือ การตลาดของ WP Engine ที่อาจทำให้ผู้บริโภคเกิดความเข้าใจผิดว่า พวกเขาได้รับการรับรองอย่างเป็นทางการ หรือเชื่อมโยงกับ WordPress โดยตรง
ท่ามกลางข้อพิพาททางกฏหมาย WP Engine ถูกแบบไม่ให้เข้าร่วมงานอีเวนต์ และประชุมสัมมนาต่าง ๆ ของ WordPress ซึ่งเป็นการตัดสินใจที่ส่งผลกระทบต่อผู้ใช้งานเป็นอย่างมาก เพราะ WP Engine เป็นโฮสต์ที่มีจำนวนผู้ใช้งานอยู่ค่อนข้างเยอะมาก
นั่นทำให้เกิดข้อถกเถียงขึ้นในฟอรัม และแพลตฟอร์มออนไลน์ต่าง ๆ ถึงความสมดุลที่ละเอียดอ่อนระหว่างการปกป้องทรัพย์สินทางปัญญา กับการทำงานร่วมกันภายในชุมชน
การต่อสู้เรื่องเครื่องหมายการค้าได้ทวีความรุนแรงขึ้นเมื่อทั้งสองฝ่ายยืนหยัดตามจุดยืนของตน WordPress อ้างสิทธิ์ในการปกป้องแบรนด์ของตน ในขณะที่ WP Engine แย้งถึงบทบาทของตนเองที่มีต่อชุมชน WordPress มีการยื่นเอกสารทางกฎหมาย และแถลงการณ์สาธารณะอย่างต่อเนื่อง
ข้อโต้แย้งของ WP Engine มุ่งเน้นไปที่การมีส่วนร่วมในชุมชน WordPress และบทบาทในการปรับปรุงประสบการณ์ผู้ใช้งานให้ดีกว่าเดิม บริษัทพยายามชี้ให้เห็นถึงความมุ่งมั่นต่อ WordPress และผู้ใช้ เพื่อบอกว่า WP Engine เป็นพันธมิตรที่มีประโยชน์ ไม่ใช่ผู้แข่งขัน
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าทาง WP Engine จะอธิบายเหตุผลอย่างไร แต่ปัญหาเครื่องหมายการค้ายังคงเป็นเรื่องที่ซับซ้อนทางกฎหมายต่อไปอยู่ดี
ในวันที่ 25 กันยายน ค.ศ. 2024 (พ.ศ. 2567) ทาง WordPress.org ได้ประกาศแบนไม่ให้ WP Engine สามารถเข้าถึงทรัพยากรของ WordPress.org ได้ ซึ่งรวมถึงที่เก็บปลั๊กอิน (Plugin Repository), ที่เก็บธีม (Theme Reposity) และเครื่องมือสำคัญอื่น ๆ ที่ลูกค้าของ WP Engine ใช้ในการจัดการ และอัปเดตเว็บไซต์ของพวกเขา
การแบนนี้เกิดจากการขัดแย้งทางกฎหมายระหว่าง WP Engine และ Automattic อย่างที่เราได้อธิบายไปตั้งแต่ช่วงแรกของบทความว่า Automattic ได้กล่าวหา WP Engine ว่าละเมิดเครื่องหมายการค้า มีการใช้เครื่องหมายการค้า WordPress โดยไม่ได้รับอนุญาตอย่างถูกต้อง ในทางกลับกัน WP Engine ได้กล่าวหากลับไปทาง Automattic ว่า มีการปฏิบัติทางธุรกิจที่ไม่เป็นธรรม
ยังไม่แน่ชัดว่า ปัญหาการทะเลาะกันในครั้งนี้ จะจบลงอย่างไร แต่ถ้าหากผู้ใช้งานยังคงยึดติดกับ WP Engine ต่อไป นี่คือปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้น
การถูกแบนจาก WordPress.org หมายความว่า ลูกค้าที่ใช้ WP Engine จะไม่สามารถเข้าถึง Repository จากแดชบอร์ด WordPress ของตนได้ ข้อจำกัดนี้สามารถส่งผลกระทบรุนแรงต่อความสามารถในการอัปเดต และ ดูแลเว็บไซต์ ทำให้เว็บไซต์เสี่ยงต่อความปลอดภัย และปัญหาด้านประสิทธิภาพ นอกจากนี้ ยังหมายความว่าจะมีการอัปเดตน้อยลง (ถ้ามี) ซึ่งเมื่อเวลาผ่านไปอาจทำให้เกิดปัญหาตามมาได้
ภาพจาก : https://x.com/ViewFromTheBox/status/1839046583272485352
การต่อสู้ทางกฎหมายระหว่าง WP Engine และ Automattic ดำเนินอยู่ภายใต้สภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน ข้อพิพาททางกฎหมายสามารถยืดเยื้อยาวนาน และมีค่าใช้จ่ายสูง ผลลัพธ์ก็ไม่มีความแน่นอน ความไม่แน่นอนนี้สามารถส่งผลต่อเสถียรภาพ และความน่าเชื่อถือ ต่อของบริการของ WP Engine ซึ่งในกรณีที่เลวร้ายอาจนำไปสู่การยุติการให้บริการ
หากไม่มีการเข้าถึงการอัปเดต และเครื่องมือที่จำเป็นจาก WordPress.org การทำ SEO และประสิทธิภาพของเว็บไซต์ของคุณอาจประสบปัญหาได้ เพราะปลั๊กอิน และธีมต่าง ๆ ที่ล้าสมัย อาจทำให้เว็บไซต์ช้าลง ทำให้การแข่งขันในลำดับการค้นหาต่ำลง นอกจากนี้ ช่องโหว่ด้านความปลอดภัยในซอฟต์แวร์ที่ล้าสมัย ยังทำให้เว็บไซต์ของคุณตกอยู่ในภัยคุกคามทางไซเบอร์ได้อีกด้วย
การที่ WP Engine ถูกแบนจาก WordPress ทำให้ผู้ใช้มีตัวเลือกในการแก้ไขปัญหา และปรับปรุงเว็บไซต์ มีน้อยลงกว่าเดิม
หลังจาก WP Engine ถูกปิดกั้นไม่ให้เข้าถึงทรัพยากรบางส่วนของ WordPress ได้ จนที่สุด ในวันที่ 30 ก.ย. 2024 (พ.ศ. 2567) ทาง WP Engine ก็ยินยอมที่จะทำตามข้อเรียกร้องของ Automattic ที่ขอให้ลบภาพโลโก้ "WordPress Foundation" และ "WooCommerce" แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซแบบโอเพนซอร์สที่ Automattic สร้างขึ้นมาสำหรับใช้บน WordPress ออกจากเว็บไซต์
นอกจากนี้ WP Engine ยังได้เปลี่ยนชื่อบริการจากเดิม "Essential WordPress", "Core WordPress" และ "Enterprise WordPress" เป็นชื่อใหม่ว่า "Essential", "Core" และ "Enterprise" อีกด้วย
การยอมถอยของ WP Engine ทำให้ทาง Automattic ยุติการบล็อก ทำให้ผู้ใช้ WP Engine สามารถเข้าถึงการอัปเดต และทรัพยากรที่จำเป็นของ WordPress ได้อีกครั้ง แม้ว่าความเคลื่อนไหวนี้จะช่วยบรรเทาความตึงเครียดให้ลดลงไปบ้าง แต่การต่อสู้ทางกฎหมายระหว่างสองบริษัทยังไม่จบลงง่าย ๆ
ส่วนทาง WordPress Foundation ที่เป็นเจ้าของเครื่องหมายการค้า ก็ได้มีการยื่นจดทะเบียนชื่อ "Managed WordPress" และ "Hosted WordPress" ซึ่งสร้างความกังวลใจให้กับนักพัฒนา และผู้ให้บริการโฮสต์ ว่าหากมันได้รับการอนุมัติ พวกเขาจะถูกทาง WordPress Foundation ใช้เล่นงานได้
นอกจากนี้ ในวันที่ 9 ตุลาคม ค.ศ. 2024 (พ.ศ. 2567) ในหน้าเข้าสู่ระบบของ WordPress ผู้ใช้งานจะพบกับ Checkbox ที่ให้ผู้ใช้คลิกยืนยันว่า "ไม่มีความเกี่ยวข้องกับ WP Engine" เป็นการแสดงความแค้นออกมาอย่างไม่ไว้หน้ากันเลยทีเดียว
ภาพจาก : https://techcrunch.com/2024/10/15/wordpress-vs-wp-engine-drama-explained/
ซึ่งทาง WP Engine ก็ออกมาอธิบายกับลูกค้าผ่าน X ว่า "Checkbox ดังกล่าวอาจสร้างความสับสนให้กับผู้ใช้บริการ WP Engine ได้ เราให้ความสำคัญกับลูกค้า, เอเจนซี่, ผู้ใช้ และชุมชนของเรา แต่พวกเขาไม่มีความเกี่ยวข้องกับ WP Engine แต่อย่างใด"
ภาพจาก : https://x.com/wpengine/status/1844078545603092691
นักพัฒนาหลายคนก็ไม่เห็นด้วยกับการกระทำบางส่วนของ WordPress โดยพวกเขามองว่าเงื่อนไขบางอย่างมันล้ำเส้นความโอเพ่นซอร์สมากเกินไป แล้วเพื่อน ๆ คิดว่าฝั่งไหนผิด ฝั่งไหนถูก ก็ลองคอมเมนต์กันเข้ามาได้นะครับ
|
แอดมินสายเปื่อย ชอบลองอะไรใหม่ไปเรื่อยๆ รักแมว และเสียงเพลงเป็นพิเศษ |