เราจะสังเกตเห็นว่าทีวีส่วนใหญ่ที่วางจำหน่ายในปัจจุบันนี้ จะเป็นสมาร์ททีวีกันหมดแล้ว ซึ่งจุดเด่นของสมาร์ททีวีคือ คุณสมบัติการทำงานที่หลากหลาย ไม่แตกต่างจากการใช้สมาร์ทโฟนที่มีหน้าจอขนาดใหญ่ มันสามารถเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต และดาวน์โหลดแอปพลิเคชันมาติดตั้งเพิ่มได้
ข้อมูลเพิ่มเติม : สมาร์ททีวี ราคาถูก กับราคาแพง แตกต่างกันอย่างไร ?
สมาร์ททีวีก็มีอยู่หลากหลายราคา ตั้งแต่ ราคาถูกไม่พัน ไปจนถึงหลักแสน ซึ่งเราเคยเสนอบทความเกี่ยวกับประเด็นนี้ไปแล้ว ส่วนบทความนี้จะมาคุยเรื่องอื่น ๆ ที่ควรพิจารณา นอกเหนือจากราคากันบ้าง จะมีอะไรบ้าง ? มาลองอ่านกัน ...
ก่อนอื่น มาทำความรู้จักกันก่อน ว่าสมาร์ททีวีคืออะไร ? กันอย่างพอสังเขป
สำหรับ สมาร์ททีวี (Smart TV) คือ ทีวีที่มี ระบบปฏิบัติการ (OS) ในตัว และรองรับการเชื่อมต่อ อินเทอร์เน็ต (Internet) ทำให้ผู้ใช้สามารถดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน รวมถึงเนื้อหาสตรีมมิ่งต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น YouTube, Netflix ฯลฯ มาติดตั้งใช้งานบนทีวีได้เลย โดยที่ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาอุปกรณ์เสริมอย่างกล่อง Android
หากเราต้องการซื้อทีวีในตอนนี้ จะเห็นได้ว่าทีวีโง่ ๆ (Dumb TV) นั้นแทบไม่มีให้เลือกซื้อแล้ว มีแต่สมาร์ททีวีเต็มท้องตลาดไปหมด ไม่ว่าจะจาก LG, TCL, Samsung, Sony ฯลฯ
ภาพจาก : https://play.google.com/store/apps/details?id=com.google.android.tvlauncher&hl=th
การเลือกซื้อสมาร์ททีวี มีประเด็นที่ผู้ซื้อควรพิจารณา ดังต่อไปนี้
|
|
ขั้นแรกเราควรกำหนดงบประมาณให้ชัดเจนก่อน เพราะเรื่องเงินเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ราคาของสมาร์ททีวีมีให้เลือกตั้งแต่ไม่กี่พันไปจนถึงหลายแสนบาท งบประมาณที่สูงขึ้น จะทำให้ได้ทีวีที่มีสเปกที่ดีกว่า ไม่ว่าจะขนาดหน้าจอที่ใหญ่กว่า, รายละเอียดสูงขึ้น, คุณภาพของการแสดงผล และเสียงลำโพง ฯลฯ กล่าวได้ว่า ไม่ว่าคุณจะตั้งงบไว้เท่าไหร่ ทางผู้ผลิตก็มีขายให้คุณเสมอ
ราคาของสมาร์ททีวีที่มีสเปกเดียวกัน อาจมีความแตกต่างกันอย่างมากระหว่างผู้ผลิต และรุ่นต่าง ๆ ด้านล่างนี้เป็นตารางเปรียบเทียบเบื้องต้น
ระดับราคา (โดยประมาณ) | สิ่งที่น่าจะได้ |
>10,000 บาท | หน้าจอขนาด 24-43 นิ้ว หากคุณได้ทีวีที่หน้าจอใหญ่กว่านี้ในราคาประมาณนี้ คุณภาพอาจจะไม่ดีนัก ความละเอียดจะอยู่ที่ FHD, HD หรือต่ำกว่านั้น ทั้งนี้ หากซื้อในช่วงที่มีโปรโมชั่นลดราคา คุณอาจได้ทีวีที่สเปกดีกว่านี้ก็เป็นได้ |
>20,000 บาท | หน้าจอขนาด 42-55 นิ้ว ความละเอียดจะได้ในระดับ 4K และรองรับ HDR อย่างไรก็ตาม ในราคาระดับนี้ คุณภาพของ HDR มักจะทำได้ไม่ดีเท่าไหร่นัก เนื่องจากขีดจำกัดทางด้านฮาร์ดแวร์ที่ไม่สูงพอ |
>35,000 บาท | หน้าจอขนาด 42-65 นิ้ว ความละเอียดจะได้ในระดับ 4K พาเนลของทีวีราคาระดับนี้จะมีคุณภาพค่อนข้างดี ทำให้การแสดงผล HDR ทำได้ดีพอสมควร พาเนลที่ได้อาจจะเป็น QLED หรือ OLED รุ่นล่าง |
>70,000 บาท | หน้าจอขนาด 48-75 นิ้ว หน้าจอ ความละเอียด 4K ค่า Contrast Ratio ที่กว้าง ทำให้แสดงผล HDR ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ดีไซน์, วัสดุ ส่วนประกอบต่าง ๆ ก็ทำมาคุณภาพสูง |
>140,000 บาท | หน้าจอขนาด 75 นิ้วขึ้นไป ในย่านราคานี้ อันที่จริงสิ่งที่ได้จะไม่ต่างจากกลุ่มราคาก่อนหน้ามากนัก แต่ที่แพงจะเป็นเพราะขนาดของหน้าจอ ที่ยิ่งมีขนาดใหญ่มากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งผลิตยาก ทำให้ต้นทุนสูงขึ้นแบบก้าวกระโดด |
ข้อมูลเพิ่มเติม : ความละเอียด 720p, 1080p, 1440p, 2K, 4K, 5K, 6L, 8K, HD, FHD, UHD, QHD, ของหน้าจอ คืออะไร ?
ขนาด และความละเอียดมีผลอย่างมากต่อราคาของโทรทัศน์ และต่อให้คุณมีงบประมาณไม่จำกัด การซื้อทีวีจอยักษ์ก็ไม่ใช่คำตอบที่ดีที่สุดเสมอไป ขนาดของทีวีที่เหมาะสมจะขึ้นอยู่กับระยะห่างระหว่างทีวี กับตัวผู้ชม รวมถึงพื้นที่จัดวางทีวีภายในห้องด้วย
สำหรับขนาดของทีวี ที่เหมาะสมกับระยะห่างในการรับชม ที่ผู้เชี่ยวชาญแนะนำ จะเป็นดังต่อไปนี้
ขนาดหน้าจอทีวี | ระยะห่างในการรับชมที่เหมาะสม |
14 นิ้ว | 2 ฟุต 0.61 เมตร |
18 นิ้ว | 2.5 ฟุต 0.76 เมตร |
21 นิ้ว | 3 ฟุต 0.91 เมตร |
25 นิ้ว | 3.5 ฟุต 1.07 เมตร |
29 นิ้ว | 4 ฟุต 1.22 เมตร |
32 นิ้ว | 3.5 ฟุต 1.37 เมตร |
33 นิ้ว | 4.6 ฟุต 1.41 เมตร |
34 นิ้ว
| 4.8 ฟุต 1.45 เมตร |
35 นิ้ว | 4.9 ฟุต 1.49 เมตร |
36 นิ้ว | 5 ฟุต 1.52 เมตร |
37 นิ้ว | 5.2 ฟุต 1.58 เมตร |
38 นิ้ว | 5.3 ฟุต 1.62 เมตร |
39 นิ้ว | 5.5 ฟุต 1.66 เมตร |
40 นิ้ว | 5.6 ฟุต 1.71 เมตร |
41 นิ้ว | 5.7 ฟุต 1.75 เมตร |
42 นิ้ว | 5.9 ฟุต 1.79 เมตร |
43 นิ้ว | 6 ฟุต 1.83 เมตร |
44 นิ้ว | 6.2 ฟุต 1.88 เมตร |
45 นิ้ว | 6.3 ฟุต 1.92 เมตร |
46 นิ้ว | 6.4 ฟุต 1.96 เมตร |
47 นิ้ว | 6.6 ฟุต 2.01 เมตร |
48 นิ้ว | 6.7 ฟุต 2.05 เมตร |
49 นิ้ว | 6.9 ฟุต 2.09 เมตร |
50 นิ้ว | 7 ฟุต 2.13 เมตร |
51 นิ้ว | 7.1 ฟุต 2.18 เมตร |
52 นิ้ว | 7.3 ฟุต 2.22 เมตร |
53 นิ้ว | 7.4 ฟุต 2.26 เมตร |
54 นิ้ว | 7.6 ฟุต 2.3 เมตร |
55 นิ้ว | 7.7 ฟุต 2.35 เมตร |
56 นิ้ว | 7.8 ฟุต 2.39 เมตร |
57 นิ้ว | 8 ฟุต 2.43 เมตร |
58 นิ้ว | 8.1 ฟุต 2.47 เมตร |
59 นิ้ว | 8.3 ฟุต 2.52 เมตร |
60 นิ้ว | 8.4 ฟุต 2.56 เมตร |
61 นิ้ว | 8.5 ฟุต 2.60 เมตร |
62 นิ้ว | 8.7 ฟุต 2.65 เมตร |
63 นิ้ว | 8.8 ฟุต 2.69 เมตร |
64 นิ้ว | 9.0 ฟุต 2.73 เมตร |
65 นิ้ว | 9.1 ฟุต 2.77 เมตร |
70 นิ้ว | 9.8 ฟุต 2.99 เมตร |
75 นิ้ว | 10.5 ฟุต 3.20 เมตร |
80 นิ้ว | 11.2 ฟุต 3.41 เมตร |
85 นิ้ว | 11.9 ฟุต 3.63 เมตร |
HDR เป็นเทคโนโลยีเกี่ยวกับการแสดงผล โดยทีวีที่มี HDR จะสามารถแสดงผลภาพได้อย่างสวยงาม สมจริงกว่าหน้าจอธรรมดาที่ไม่รองรับ HDR
โดยมันช่วยการแสดงผลในส่วนที่มืดที่สุด และสว่างที่สุดของภาพ รวมถึงการปรับปรุงช่วงของสี ซึ่ง HDR เองก็มีหลายมาตรฐาน เช่น HDR10, Dolby Vision, HDR 10+ และ HLG (Hybrid Log-Gamma) ตราบใดที่หน้าจอรองรับ HDR ผู้บริโภคก็พร้อมใช้งานมันได้ทันที
ภาพจาก : https://www.reddit.com/r/silenthill/comments/1gl6c71/silent_hill_2_remake_hdr_vs_sdr/#lightbox
ปัจจุบันนี้ สมาร์ททีวีจะมีอัตราการรีเฟรชให้เลือกซื้ออยู่ 2 ค่า คือ 60Hz หรือ 120Hz ค่านี้หมายถึงจำนวนครั้งที่ภาพสามารถแสดงผลได้ต่อวินาที ยิ่งค่ารีเฟรชมากเท่าไร ภาพก็จะยิ่งคมชัดมากขึ้น และจะมีการเบลอน้อยลง ในการใช้งานทั่วไป 60hz ก็เพียงพอแล้ว
แต่ในการชมกีฬา หรือเล่นเกม ค่ารีเฟรชระดับ 120Hz จะช่วยให้ภาพเนียนตา คมชัดขึ้นกว่าเดิมมาก อย่างไรก็ตาม การชมภาพยนตร์ด้วยค่านี้อาจทำให้ความเคลื่อนไหวดูแปลกตาไป แต่ผู้ใช้ก็สามารถปรับลดค่าลงมาได้
ราคาของทีวีที่อัตราการรีเฟรชทำได้ถึง 120Hz จะค่อนข้างแพงกว่าแบบ 60Hz พอสมควร แต่ถ้าคุณเล่นเกมด้วย ส่วนตัวมองว่าเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า
ภาพจาก : https://www.hellotech.com/blog/what-is-a-good-refresh-rate-for-a-tv
หนึ่งในคุณสมบัติที่น่าสนใจที่สุดของสมาร์ททีวีก็คือความสามารถในการผสานรวมกับ อุปกรณ์สมาร์ทอื่น ๆ (IoT) ในบ้านของคุณ และใช้งานคำสั่งเสียงในการควบคุมได้ เช่น ทีวีระบบ Android TV หรือ Google TV ของ Sony จะมีบิวท์อิน Google Chromecast และ Google Assistant ในตัว ดังนั้น หากคุณมีบ้านอัจฉริยะที่มีอุปกรณ์ของ Google จำนวนมาก ทีวี Android จะช่วยให้คุณควบคุมอุปกรณ์เหล่านี้ผ่านทีวีได้อย่างสะดวกสบาย
หรือหากคุณมีอุปกรณ์ที่ใช้งาน Amazon Alexa เช่น Echo Show หรือ Echo Dot การซื้อสมาร์ททีวีที่รองรับการทำงานร่วมกับ Alexa ก็เป็นตัวเลือกที่ดี
ดังนั้น ควรพิจารณาว่าบ้านของเรามีอุปกรณ์ของค่ายไหนอยู่บ้าง แล้วนำจุดนี้มาพิจารณาร่วมด้วย
ภาพจาก : https://www.sony.co.th/th/bravia/products/bravia-9
วัตถุประสงค์หลักของสมาร์ททีวีคือ เพื่อความบันเทิง และความชอบด้านความบันเทิงก็เป็นปัจจัยสำคัญในการเลือกสมาร์ททีวีด้วย การรับชมสตรีมมิ่งผ่านแอปพลิเคชันเป็นหนึ่งในจุดแข็งของสมาร์ททีวี ซึ่งสมาร์ททีวีเองก็มีระบบปฏิบัติการหลากหลายตัว Android TV, Google TV, webOS, Tizen OS, VIDAA, Smartcast ฯลฯ
หากเป็นแอปพลิเคชันยอดนิยมอย่าง Netflix, YouTube, Amazon Prime, Hulu ฯลฯ อาจจะมีให้ใช้งานได้ทุกระบบปฏิบัติการ แต่บางแอปพลิเคชันอาจมีให้ใช้งานแค่บาง OS เท่านั้น ในจุดนี้ต้องยอมรับว่า Android TV และ Google TV เป็นตัวเรื่องที่มีแอปพลิเคชันให้เลือกติดตั้งเยอะที่สุด
ภาพจาก : https://th.lgappstv.com/main/tvapp
เอาจริง ๆ ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะไม่ซื้อสมาร์ททีวีในยุคปัจจุบันนี้ ในอดีตอาจมีเหตุผลเรื่องราคาที่ยังค่อนข้างสูง แต่ในปัจจุบัน ราคาของสมาร์ททีวีลดลงมาจนจับจองเป็นเจ้าของได้ง่าย ๆ และหากมองไปในท้องตลาดตอนนี้ การจะหาซื้อทีวี 4K HDR ที่ไม่ใช่สมาร์ททีวีก็หาได้ยากมาก
ความสามารถในการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต, ติดตั้งแอปพลิเคชัน, ทำงานร่วมกับบ้านอัจฉริยะ ฯลฯ ทำให้ยุคนี้ สมาร์ททีวีเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับใครก็ตามที่กำลังมองหาทีวีใหม่
ทีวีธรรมดาแค่แกะกล่อง เสียบปลั๊ก ก็สามารถเปิดใช้งานได้ทันที แต่สมาร์ททีวีจะมีความยุ่งยากเพิ่มขึ้นมาเล็กน้อย
|
แอดมินสายเปื่อย ชอบลองอะไรใหม่ไปเรื่อยๆ รักแมว และเสียงเพลงเป็นพิเศษ |