หลังจากที่ เปิดตัว iPhone 12 ไปในงาน Apple Event เมื่อช่วงกลางเดือนที่ผ่านมา นอกจากจะมีให้เลือกกันถึง 4 โมเดล ทั้ง iPhone 12, iPhone 12 Pro, iPhone 12 Pro Max แล้ว ยังมีรุ่นเล็กอย่าง iPhone 12 Mini ออกมาพร้อมสีสันที่หลากหลาย (โดยเฉพาะกับสีฟ้าที่มีรูปออกมาหลากเฉดสีจนไม่ทราบสีที่แท้จริงไปแล้ว) และอีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้การใช้งาน iPhone 12 น่าสนใจมากขึ้นก็คือ แกดเจ็ต (Gadget) ที่เป็นตัวเสริมอย่าง MagSafe ที่ช่วยให้การชาร์จแบตเตอรี่แบบไร้สายดูง่ายดายขึ้นหลายเท่าเลยทีเดียว
ภาพจาก : https://alkhaleejtoday.co/business/5183634/MagSafe-wireless-charger-for-iPhone-12--Is-its-performance-satisfactory.html
หลายคนอาจจะคุ้นเคยกับ MagSafe ที่เป็นตัวชาร์จแบบแม่เหล็กของ MacBook แต่สำหรับ MagSafe รุ่นใหม่ของ Apple นี้ถูกพัฒนาและออกแบบมาให้ใช้งานควบคู่กับ iPhone 12 ในการชาร์จแบบไร้สายโดยเฉพาะ (แต่หน้าตาออกมาคล้ายกับที่ชาร์จ Apple Watch ที่ขยายขนาดให้ใหญ่ขึ้น)
เนื่องจากด้านหลังของตัวเครื่อง iPhone 12 นี้จะมี Ring Magnet อยู่ด้านบนขดลวดชาร์จแบบไร้สาย จึงทำให้ผู้ใช้สามารถใช้งานแกดเจ็ตอย่าง MagSafe (ตัวชาร์จแบบไร้สายของ Apple), เคส (Case) หรืออุปกรณ์เสริมอื่นๆ (Other iPhone Accessories) ที่มีส่วนประกอบของแม่เหล็กติดกับด้านหลังของ iPhone 12 ได้คล้ายกับการใช้งานแม่เหล็กติดตู้เย็น
ภาพจาก : https://www.macworld.co.uk/feature/complete-guide-magsafe-3607036/
ทาง Apple ได้โพสต์เกี่ยวกับรายละเอียดและวิธีการใช้งาน MagSafe ของ iPhone 12 ทุกรุ่นลงในเว็บไซต์แล้วเป็นที่เรียบร้อย โดย การใช้งาน MagSafe ระบุเอาไว้แล้ว ดังต่อไปนี้
ภาพจาก : https://debugger.medium.com/wireless-charging-wastes-tons-of-energy-will-magsafe-help-the-iphone-12-668dcb683666
หากผู้ใช้ติด MagSafe กับ iPhone ก่อนเสียบปลั๊ก (หรือเชื่อมต่อกับแหล่งจ่ายไฟอื่นๆ) จะทำให้ประสิทธิภาพในการชาร์จลดลง แนะนำให้ผู้ใช้ดึง MagSafe ออกจากอุปกรณ์ราว 3 วินาทีและติดกลับเข้าไปใหม่ ก็จะสามารถใช้งานได้อย่างเต็มที่
โดย iPhone 12 mini จะรองรับการชาร์จผ่าน MagSafe ได้สูงสุดเพียงแค่ 12 วัตต์เท่านั้น (แนะนำให้ใช้งานร่วมกับ Adapter ที่จ่ายไฟได้มากกว่า 9V / 2/03A) ในขณะที่รุ่นอื่นๆ ทั้ง iPhone 12, iPhone 12 Pro และ iPhone 12 Pro Max จะสามารถชาร์จได้สูงสุดที่ 15 วัตต์ และใช้งานร่วมกับ Adapter รองรับการจ่ายไฟที่ 9V/2.22A หรือ 9V/2.56A ขึ้นไป แต่ความเร็วและประสิทธิภาพในการชาร์จนั้นจะขึ้นอยู่สภาพแวดล้อมและปัจจัยภายนอกด้วย
ส่วนการชาร์จ อุปกรณ์อื่นๆ ของ Apple อย่าง AirPods หรือ iPhone รุ่นเก่าๆ (iPhone 8 ขึ้นไป) นั้นจะมีกำลังชาร์จสูงสุดอยู่ที่ 7.5 วัตต์เท่านั้น และหากผู้ใช้เสียบชาร์จอุปกรณ์ร่วมกับการใช้งาน MagSafe ตัวเครื่องจะรับการชาร์จผ่านสาย Lightning เพียงอย่างเดียว
ชาร์จ AirPods Pro ด้วย MagSafe ที่ความเร็วสูงสุดที่ 7.5W
ภาพจาก : https://www.pickr.com.au/qa/2020/will-the-magsafe-charger-work-with-android-phones/
นอกจากนี้ Apple ยังกำชับว่าควรนำเอาบัตรเครดิต, กุญแจ หรืออุปกรณ์อื่นๆ ที่มีวัสดุเป็นเหล็กและแม่เหล็กที่ติดไว้กับเครื่องออกก่อนเพื่อป้องกันการเสื่อมของแม่เหล็กหรือชิปการ์ด รวมทั้งควรถอดเคสออกก่อนการใช้งาน MagSafe ด้วย เพราะการใส่เคสขณะใช้งานอาจทิ้งรอยไว้ด้านหลังตัวเคสได้
ภาพจาก : https://www.kogonuso.com/new-warnings-from-apple-indicate-iphone-12s-magsafe-feature-may-not-be-its-best-idea/
ยิ่งไปกว่านั้น MagSafe ยังสามารถใช้งานร่วมกับ Samsung Galaxy S20 Ultra, Galaxy Z Fold 2 และ Google Pixel 5 ได้อีกด้วย เพราะจากการทดลองใช้งานร่วมกันแล้วก็พบว่า MagSafe ติดกับด้านหลังของตัวเครื่องคล้ายการใช้งานบน iPhone 12 แต่การล็อกติดกับตัวเครื่องยังไม่แน่นมากนัก
ภาพจาก : bit.ly/2I87Sz3 และ bit.ly/3655UYD
และยังสามารถใช้งานร่วมกับอุปกรณ์อื่นได้ทั้งสมาร์ทโฟน Android รุ่นอื่นๆ และหูฟัง Wireless ที่รองรับการชาร์จแบบไร้สายได้ด้วยเช่นกัน เพราะหลักๆ แล้วหลักการทำงานของมันก็คล้ายกับอุปกรณ์ชาร์จแบบไร้สายทั่วไป เพียงแต่เพิ่ม Ring Magnet เข้ามาให้สามารถยึดติดกับ iPhone 12 ได้นั่นเอง
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าจะสามารถใช้งาน MagSafe เพื่อชาร์จอุปกรณ์อื่นๆ ได้ แต่ก็ไม่แนะนำให้ใช้งานเท่าไรนักเพราะกำลังไฟสูงสุดอยู่แค่เพียง 7.5 วัตต์เท่านั้น (คล้ายกับการชาร์จ iPhone รุ่นเก่าและ AirPods) ทางที่ดีใช้การชาร์จตามปกติหรืออุปกรณ์ชาร์จไร้สายตัวอื่นๆ ที่จ่ายไฟได้สูงกว่านี้น่าจะสะดวกกว่า
|
ตัวเม่นผู้รักในการนอน หลงใหลในการกิน และมีความใฝ่ฝันจะเป็นนักดูคอนเสิร์ตแต่เหมือนศิลปินที่ชื่นชอบจะไม่รับรู้ว่าโลกนี้มียังประเทศไทยอยู่.. |