ดาวน์โหลดโปรแกรมฟรี
       
   สมัครสมาชิก   เข้าสู่ระบบ
THAIWARE.COM | ทิปส์ไอที
 

NFT คืออะไร ? ทำไมถึงพิเศษกว่า Cryptocurrency ?

NFT คืออะไร ? ทำไมถึงพิเศษกว่า Cryptocurrency ?

เมื่อ :
|  ผู้เข้าชม : 17,354
เขียนโดย :
0 NFT+%E0%B8%84%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%AD%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%A3+%3F+%E0%B8%97%E0%B8%B3%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B8%96%E0%B8%B6%E0%B8%87%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B9%80%E0%B8%A8%E0%B8%A9%E0%B8%81%E0%B8%A7%E0%B9%88%E0%B8%B2+Cryptocurrency+%3F
A- A+
แชร์หน้าเว็บนี้ :

NFT คืออะไร ? ทำไมถึงพิเศษกว่า Cryptocurrency ?

ช่วงหลายวันมานี้พอเปิดเข้า Twitter ไปก็เจอทวีตของหลาย ๆ คนที่พูดถึง NFT เต็มไทม์ไลน์ไปหมด แถมบางคนยังเตือนให้ระวังเกี่ยวกับแอคเคาท์บอท NFT ด้วย จนอดสงสัยไม่ได้ว่ามันคืออะไรกันแน่นะ ? แล้วทำไมเราถึงต้องระวังแอคเคาท์พวกนี้ด้วย ?

บทความเกี่ยวกับ Cryptocurrency อื่นๆ

เนื้อหาภายในบทความ

NFT คืออะไร ?

NFT หรือที่ย่อมาจากคำว่า "Non-Fungible Token" มันเป็นเหรียญดิจิทัล (Digital Token) ใน Blockchain ที่มีลักษณะคล้ายคลึงกับสกุลเงินคริปโต (Cryptocurrency) อย่าง Bitcoin, Dogecoin หรือ Ethereum ที่เราคุ้นเคยกันดี แต่ NFT นี้ถูกพัฒนามาใช้สำหรับแลกเปลี่ยนและซื้อขายงานด้านดิจิทัล (Digital Works) ชนิดต่าง ๆ เช่น รูปวาด, ภาพถ่าย, ลายเซ็น, เพลง, ฟุตเทจวิดีโอ, ไอเทมภายในเกม หรือสิ่งอื่น ๆ ที่อยู่บนแพลตฟอร์มออนไลน์

ข้อมูลเพิ่มเติม : รวมศัพท์ในวงการ สกุลเงินดิจิทัล หรือ คริปโตเคอร์เรนซี ( Cryptocurrency Terms you should know)

โดยการซื้อขายด้วย NFT นี้จะต่างจากการซื้องานแบบทั่วไปที่เจ้าของผลงานจะต้องส่งมอบของหรือไฟล์งานให้กับผู้ซื้อ เพราะมันเป็นการซื้อขาย "สิทธิการเป็นเจ้าของ Token" ที่แสดงถึงผลงานชิ้นนั้น ๆ โดยที่ไม่จำเป็นต้องมีไฟล์ของสิ่งนั้นภายในมือของตนเอง เช่น การซื้อตัวละครในเกมโดยใช้ NFT ก็ทำให้สิทธิในการเป็นเจ้าของ Token ของตัวละครนั้น ๆ เป็นของผู้ซื้อ และทางผู้พัฒนาเกมไม่สามารถที่จะลบตัวละครนั้นออกไปได้ หรือหากเกมปิดตัวลง ตัวละครในเกมที่ผู้ซื้อได้ทำการซื้อด้วย NFT นั้นก็จะไม่หายไปตามเกมด้วยเช่นกัน

NFT คืออะไร ? ทำไมถึงพิเศษกว่า Cryptocurrency ?
ปกติแล้วการซื้อขาย NFT จะไม่จำเป็นต้องมีไฟล์ของสิ่งนั้นในมือ แต่ Beeple ก็ขาย Token ผลงานของเขา และส่ง Art Kit พร้อม Token จำลองแนบไปพร้อมกันด้วย
ภาพจาก : https://www.bloomberg.com/news/articles/2021-03-02/nft-art-boom-is-the-same-concept-as-the-photography-market

และระบบของ NFT นั้นก็จะต่างจาก Cryptocurrency อื่น ๆ ตรงที่มันเป็น Token ดิจิทัลที่ ไม่สามารถแลกเปลี่ยนเป็นสิ่งอื่น ที่สามารถจับต้องได้ (Non-Fungible) ในขณะที่ Cryptocurrency ที่เรารู้จักกันส่วนมากจะเป็น Fungible Token ที่สามารถแปลงค่าเป็นเงินจริงหรือนำเอาไปใช้เพื่อจับจ่ายซื้อสินค้าและบริการต่าง ๆ ผ่าน Crypto Card (หรือบัตร Mastercard) ได้

แม้ว่ามันจะไม่สามารถแลกเปลี่ยนเป็นสิ่งอื่น ๆ ได้แต่ก็มีผู้คนจำนวนไม่น้อยที่ตัดสินใจลงทุนกับ NFT ด้วยเหตุผลเรื่อง “คุณค่าทางจิตใจ” และเป็นความพึงพอใจของผู้ซื้อที่ได้สนับสนุนศิลปินที่ชื่นชอบ อีกทั้งยังได้สิทธิในการถือครอง Token ของผลงานชิ้นนั้น ๆ (ถึงผู้อื่นจะสามารถดาวน์โหลดรูปเดียวกันกับที่เราซื้อลงเครื่องได้ แต่สิทธิในการถือครอง Token ที่แสดงถึงของรูปนั้น ๆ ก็เป็นของผู้ซื้ออยู่ดี)

ตัวอย่างเช่น Meme ชื่อดังอย่าง Nyancat ที่ลงประมูลผ่าน NFT และทำราคาไปได้ถึง 590,000 ดอลลาห์สหรัฐ (หรือกว่า 18 ล้านบาท) เราก็ยังสามารถที่จะดาวน์โหลดมาแปะในบทความได้ตามปกติ แต่ Token ของมันก็มีเจ้าของแค่เพียงผู้เดียวเท่านั้น

NFT คืออะไร ? ทำไมถึงพิเศษกว่า Cryptocurrency ?
ภาพจาก : https://www.creativebloq.com/features/what-are-nfts

นอกจากนี้ ความพิเศษอีกอย่างหนึ่งของ NFT นี้ก็คือ แต่ละ Token จะมีค่าไม่เท่ากัน อีกด้วย เพราะมันจะมีความ “พิเศษเฉพาะ” สำหรับผลงานชิ้นนั้น ๆ ที่ไม่สามารถลอกเลียนแบบได้นั่นเอง ซึ่งผู้ซื้อหลาย ๆ คนก็คาดเดาว่าในอนาคตมันอาจมีมูลค่าที่สูงขึ้นจากเดิม และอาจมีการนำเอาโมเดลดังกล่าวนี้ไปปรับใช้กับการซื้อขายสิ่งอื่น ๆ เพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับผลงานต่าง ๆ มากขึ้นด้วย เช่น ผู้ก่อตั้ง Twitter อย่าง Jack Dorsey เองก็ได้เปิดประมูล “ทวีตแรก” ของตัวเองไปด้วย (ตอนนี้สนนราคาอยู่ที่ราว 2.5 ล้านดอลลาห์ หรือกว่า 76 ล้านบาทแล้ว)

NFT คืออะไร ? ทำไมถึงพิเศษกว่า Cryptocurrency ?
ภาพจาก : https://v.cent.co/tweet/20

ทำไมเหรียญดิจิทัล NFT ถึงเริ่มโด่งดังขึ้น ?

ระบบของ เหรียญดิจิทัล NFT นี้ไม่ได้เพิ่งเริ่มก่อตั้งขึ้นมาในช่วงนี้แต่อย่างใด เพราะมันได้มีการพัฒนามาตั้งแต่ราวช่วงปี ค.ศ. 2012 (พ.ศ. 2555) แล้ว ซึ่งเหตุผลที่ทำให้ NFT เริ่มโด่งดังและเป็นที่พูดถึงในวงกว้างนี้ก็เป็นเพราะการเติบโตของตลาด Crypto ในช่วงนี้ที่เพิ่มสูงขึ้นจนทำให้นักวาดเจ้าของผลงานแบบศิลปะดิจิทัล (Digital Arts) หลาย ๆ คนถูกแอคเคาท์ Bot ของ NFT ทำการ ขโมยสิทธิการเป็นเจ้าของ Token ของภาพ ไปและนำเอาภาพนั้น ๆ ไปวางขายในตลาด NFT นั่นเอง

เนื่องจากระบบของ NFT นั้นได้เปิดให้ บุคคลใดก็ตาม สามารถแปลงผลงานดิจิทัลให้เป็น Token ของ NFT เพื่อจำหน่ายต่อไป และถึงแม้ว่าบางแพลตฟอร์มจะอนุญาตให้ผู้ผลิตผลงานสามารถแจ้งเรื่องร้องเรียนหากผลงานถูกนำเอาไปปล่อยขายได้ แต่ทางที่ดีหากไม่ต้องมาคอยกังวลว่าจะถูกขโมยผลงานไปก็คงจะเป็นเรื่องดีกว่า  ดังนั้นจึงได้มีคนออกมาเตือนให้ทำการบล็อกแอคเคาท์ดังกล่าวเพื่อป้องกันการถูก “ขโมยสิทธิ” และนำเอาภาพไปปล่อยขายโดยพลการ

มาถึงตรงนี้หลาย ๆ คนก็อาจมองว่าถ้าเราชิงขาย Token ผลงานของเราก่อนที่จะโดนผู้อื่นแอบอ้างสิทธิก็น่าจะไม่มีปัญหาอะไร แถมอาจยังได้รายได้เพิ่มเติมหากมีผู้สนใจขอซื้อต่อได้อีกด้วย แต่อันที่จริงแล้วหากไม่ได้เป็นศิลปินที่ลงผลงานต่าง ๆ บนโซเชียลมีเดียอยู่เป็นประจำก็ไม่ได้จำเป็นที่จะต้องระวังแอคเคาท์บอทของ NFT มากนัก (แต่จะบล็อกแอคเคาท์พวกนี้เพื่อความปลอดภัยก็ได้เช่นกัน)

ซึ่งหากใครสนใจก็สามารถนำเอา Digital Work ของตนเองไปแปลงเป็น Token เพื่อวางขายในตลาด NFT ได้ทั้งบน OpenSea, Rarible, Grimes’ choice, Nifty Gateway หรือเว็บไซต์อื่น ๆ โดยภายในเว็บไซต์เหล่านี้ก็จะใช้ Blockchain ที่ต่างกันออกไป เช่น Ethereum, Binance Smart Chain, Flow by Dapper Labs, Tron, EOS, Polkadot, Tezos, Cosmos หรือ WAX (ส่วนมากมักจะใช้งาน Ethereum เป็นหลัก)

เหรียญดิจิทัล NFT กับสิ่งแวดล้อม

แต่สำหรับผู้ที่ให้ความสำคัญในเรื่องของ “ปัญหาสิ่งแวดล้อม” ก็อาจต้องลองพิจารณาเรื่องการซื้อขายในตลาด NFT เสียใหม่ เพราะจากที่มีผู้ที่ได้ทำการศึกษาเกี่ยวกับการระบบทำงานของ NFT ก็พบว่ามันปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากผลิตภัณฑ์ (Carbon Footprint) ลงสู่สิ่งแวดล้อมเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะการใช้งาน Ethereum Blockchain ที่มีการ ปล่อย Carbon Footprint เฉลี่ยราว 35 กิโลวัตต์ต่อชั่วโมง โดยคิดเป็นการใช้พลังงานไฟฟ้าในครัวเรือน (ของทวีปยุโรป) ราว 4 วันเลยทีเดียว

และอันที่จริงแล้วไม่ใช่แค่ NFT เท่านั้นที่ปล่อย Carbon Footprint ออกมาเป็นจำนวนมาก แต่การขุด Cryptocurrency ในประเภทอื่น ๆ อย่างการขุด Bitcoin ที่ยังคงเป็นกระแสอย่างต่อเนื่องในช่วงนี้เองก็ปล่อย Carbon Footprint สู่สิ่งแวดล้อมเป็นจำนวนมากด้วย เพราะหลักการทำงานของมันคือการ “ปล่อยให้คอมพิวเตอร์ทำการวิเคราะห์และคำนวณ” ไปเรื่อย ๆ ซึ่งก็ถือว่าเปลืองพลังงานไฟฟ้าอย่างมากเลยทีเดียว

แม้ว่าจะมีผู้คนส่วนหนึ่งออกมาแย้งว่าพลังงานที่ใช้ในการขุด Cryptocurrency ส่วนมากนั้นเป็นพลังงานส่วนเกินที่หากไม่นำเอามาใช้งานก็จะกลายเป็นพลังงานสิ้นเปลืองที่ปล่อยทิ้งเปล่า แต่จากการเติบโตของตลาด Crypto ในช่วงนี้ก็คาดว่าแค่การใช้งานพลังงานส่วนเกินเพียงอย่างเดียวคงไม่สามารถตามคนอื่นทันอย่างแน่นอน


ที่มา : www.theverge.com , digiday.com , www.coindesk.com , www.abc.net.au , cryptonews.com , www.creativebloq.com , www.vice.com , memoakten.medium.com , capital.com

0 NFT+%E0%B8%84%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%AD%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%A3+%3F+%E0%B8%97%E0%B8%B3%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B8%96%E0%B8%B6%E0%B8%87%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B9%80%E0%B8%A8%E0%B8%A9%E0%B8%81%E0%B8%A7%E0%B9%88%E0%B8%B2+Cryptocurrency+%3F
แชร์หน้าเว็บนี้ :
Keyword คำสำคัญ »
เขียนโดย
สมาชิก : Member    สมาชิก
ตัวเม่นผู้รักในการนอน หลงใหลในการกิน และมีความใฝ่ฝันจะเป็นนักดูคอนเสิร์ตแต่เหมือนศิลปินที่ชื่นชอบจะไม่รับรู้ว่าโลกนี้มียังประเทศไทยอยู่..
 
 
 

ทิปส์ไอทีที่เกี่ยวข้อง

 


 

แสดงความคิดเห็น