เวลาที่เราทำงานเขียนโปรแกรม ไม่ว่าจะเป็นโปรเจกต์เล็ก หรือใหญ่ สิ่งหนึ่งที่มักเจอคือต้องตรวจสอบว่าโค้ดที่เขียนมีการเปลี่ยนแปลงอะไรไปบ้าง ยิ่งถ้าเป็นโค้ดที่ต้องแก้ไขหลายครั้ง หรืออาจทำงานร่วมกับคนอื่น เรื่องนี้ยิ่งยุ่งยาก และใช้เวลามากขึ้นไปอีก แต่ถ้ามีเครื่องหนึ่ง ที่ช่วยเปรียบเทียบไฟล์โค้ดสองเวอร์ชันให้อัตโนมัติ พร้อมบอกเราว่าส่วนไหนถูกเพิ่ม, ลบ หรือแก้ไข มันจะช่วยให้ชีวิตง่ายขึ้นแค่ไหนกันนะ ?
Diff Tool ก็คือเครื่องมือแบบนั้น ทำหน้าที่เหมือนแว่นขยายที่ช่วยให้เราเห็นความแตกต่างของโค้ดอย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเปลี่ยนบรรทัดไหน, เปลี่ยนชื่ออะไร หรือเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ใด เครื่องมือนี้ช่วยให้ติดตามความเปลี่ยนแปลง ง่ายและเร็วขึ้น เราลองมาสำรวจดูกันว่า Diff Tool จริง ๆ แล้วมันคืออะไร, เป็นมาอย่างไร, มีประเภทใด และมีข้อดี-ข้อสังเกต อะไรบ้าง ถ้าพร้อมแล้วมาดูกันเลย ...
ดังที่ได้กล่าวไว้ในเบื้องต้น ในบางครั้งเวลาที่เราทำงานเขียนโปรแกรมก็จำเป็นต้องเปรียบเทียบไฟล์โค้ดสองไฟล์ที่ดูคล้ายกัน แต่มีความแตกต่างกันอยู่ เพื่อให้รู้ว่าอะไรเปลี่ยนแปลงไปบ้าง เครื่องมือที่เรียกว่า "Diff Tool" หรือ "เครื่องมือเปรียบเทียบความแตกต่าง" จึงเข้ามาช่วย เราสามารถเปิดดูไฟล์ทั้งสองข้าง ๆ กัน แล้วสังเกตเห็นได้ทันทีว่ามีการเพิ่มบรรทัดไหน, เปลี่ยนชื่อตัวแปรตรงไหน ? หรือบรรทัดใดถูกลบออกไป
ภาพจาก : https://www.git-tower.com/blog/diff-tools-windows
ในทางเทคนิค Diff Tool เป็นซอฟต์แวร์ที่ช่วยตรวจสอบความแตกต่างระหว่างข้อมูลภายในไฟล์ โดยจะเปรียบเทียบทีละบรรทัด (ไม่ใช่ทีละตัวอักษร) เพื่อหาแนวทางที่ทำให้ไฟล์หนึ่งกลายเป็นอีกไฟล์หนึ่งด้วยการเพิ่มหรือลบบรรทัดให้น้อยที่สุด ผลลัพธ์ที่ได้จะถูกจัดแสดงในรูปแบบที่มนุษย์ และโปรแกรมคอมพิวเตอร์สามารถอ่าน และนำไปใช้ต่อได้ เช่น อาจไปทำเป็นตัวอัปเดตไฟล์โดยอัตโนมัติผ่านคำสั่ง แพทช์ (Patch) ในระบบ Unix
ด้วยเหตุนี้ คำว่า “diff” ไม่ได้หมายถึงแค่ชื่อโปรแกรมเฉพาะ แต่กลายเป็นคำทั่วไปที่ใช้เรียกการวิธีการ และซอฟต์แวร์ ที่เปรียบเทียบ และแสดงความแตกต่างของข้อมูลในไฟล์ต่าง ๆ ซึ่งมาตรฐาน POSIX ก็ได้กำหนดรูปแบบ และการทำงานของโปรแกรม Diff กับ Patch ไว้ให้เป็นแบบเดียวกันทั่วโลกแล้ว
Diff Tool เริ่มพัฒนาขึ้นในช่วงต้นทศวรรษที่ ค.ศ. 1970 (พ.ศ. 2513) บนระบบปฏิบัติการ Unix ที่ Bell Labs ในสหรัฐอเมริกา โดย Douglas McIlroy และ James Hunt ซึ่งร่วมกันเขียนโปรแกรม diff ถูกบรรจุไว้ใน Unix Edition 5 ปี ค.ศ. 1974 (พ.ศ. 2517) งานวิจัยของพวกเขาเผยได้แพร่ในปี ค.ศ. 1976 (พ.ศ. 2519) โดยอัลกอริทึมที่ใช้ใน Diff สามารถหาความแตกต่างของไฟล์โดยการเพิ่ม และลบบรรทัดให้น้อยที่สุด
ภาพจาก : https://en.wikipedia.org/wiki/History_of_Unix#/media/File:DEC_VT100_terminal.jpg
ก่อนหน้าการพัฒนา diff มีโปรแกรมเปรียบเทียบไฟล์หลายตัว เช่น โปรแกรมของ Steve Johnson และ Mike Lesk แต่ยังไม่เสถียรเลย McIlroy จึงออกแบบ Diff ให้ใช้งานได้ดีขึ้นบนฮาร์ดแวร์ PDP-11 และผสานกับตัวแก้ไขไฟล์ ed เพื่อสร้าง “Edit Scripts” ซึ่งช่วยให้สามารถอัปเดตไฟล์ต้นฉบับเป็นไฟล์ใหม่ได้โดยอัตโนมัติ และประหยัดพื้นที่จัดเก็บมากขึ้น
ในปี ค.ศ. 1984 (พ.ศ. 2527) Larry Wall ได้สร้างโปรแกรม Patch เพื่อใช้ร่วมกับผลลัพธ์จาก Diff ช่วยอำนวยความสะดวกในการแก้ไขไฟล์โดยอัตโนมัติ และ Diff ถูกบรรจุในมาตรฐาน POSIX เพิ่มฟีเจอร์โหมด Context ในปี ค.ศ. 2001 (พ.ศ. 2544) และโหมด Unified ในปี ค.ศ. 2008 (พ.ศ. 2551) เพื่อให้ผลลัพธ์อ่านง่าย และชัดเจนยิ่งขึ้น
Diff Tool ในยุคแรกใช้กันอย่างแพร่หลายเพื่อเปรียบเทียบโค้ดโปรแกรม ตรวจสอบผลลัพธ์จากการ ดีบัก (Debug) และช่วยจัดการเวอร์ชันของไฟล์ ซึ่งนำไปสู่การพัฒนาระบบควบคุมเวอร์ชันแรก เช่น Source Code Control System (SCCS) ในช่วงปลายทศวรรษ ค.ศ. 1970 (พ.ศ. 2520) ที่ใช้หลักการเก็บ Edit Scripts จาก Diff เป็นพื้นฐานการทำงานนั้นเอง
Diff Tool มีอยู่หลายรูปแบบ ขึ้นอยู่กับวิธีการใช้งาน และแพลตฟอร์มที่รองรับ โดยทั่วไปสามารถแบ่งออกเป็น 3 ประเภทหลัก ๆ ดังนี้
เป็นเครื่องมือที่ใช้งานผ่านเว็บเบราว์เซอร์ ไม่ต้องติดตั้งโปรแกรม เหมาะสำหรับการเปรียบเทียบไฟล์อย่างรวดเร็ว หรือเมื่อต้องทำงานบนอุปกรณ์ที่ไม่สามารถลงโปรแกรมได้นั่นเอง ตัวอย่างเช่น Diffchecker หรือ Mergely
ภาพจาก : https://www.crx4chrome.com/screenshot/166610/
เป็นโปรแกรมที่ติดตั้งใช้งานบน คอมพิวเตอร์ (PC) โดยตรง มักมีฟีเจอร์ครบถ้วน และรองรับการเปรียบเทียบไฟล์หลายประเภท รวมถึงการเปรียบเทียบโฟลเดอร์ เช่น WinMerge, Beyond Compare, DiffMerge และ Kaleidoscope เป็นต้น
ภาพจาก : https://winmerge.org/
เป็น Diff Tool ที่ทำงานร่วมกับระบบจัดการเวอร์ชันโค้ด เช่น ระบบ Git โดยจะช่วยเปรียบเทียบไฟล์ที่มีการแก้ไขระหว่างเวอร์ชันต่าง ๆ และช่วยให้ทีมพัฒนาเห็นความแตกต่างของโค้ดได้สะดวกขึ้น ตัวอย่างเช่น คำสั่ง git diff หรือโปรแกรม Meld ที่ทำงานรวมกับ Git ได้
การเลือกใช้ Diff Tool ที่เหมาะสมขึ้นอยู่กับความต้องการ และรูปแบบการทำงานของแต่ละคน บางครั้งก็ต้องการแค่ตรวจสอบอย่างรวดเร็วใช้งานผ่านออนไลน์ หรือ บางทีต้องการเครื่องมือที่มีฟีเจอร์ครบสำหรับการทำงานที่ซับซ้อน ก็อาจต้องพิจารณาตัวเลือกที่เหมาะสมกว่า
เมื่อใช้ Diff Tool เพื่อเปรียบเทียบไฟล์ หรือโค้ด ผลลัพธ์ที่ได้มักจะแสดงในรูปแบบที่ช่วยให้เราเห็นความแตกต่างได้อย่างชัดเจน ด้วยการใช้ สีสัน และ สัญลักษณ์ ต่าง ๆ ซึ่งมีความหมายเฉพาะตัว เราลองมาดูรายละเอียดกันว่าแต่ละอย่างหมายถึงอะไร และควรตีความอย่างไรบ้าง
ภาพจาก : https://mergely.com/
บ่งบอกถึงบรรทัดที่ถูก ลบออก หรือไม่มีอยู่ในไฟล์เป้าหมาย (ไฟล์ใหม่) สีนี้แสดงว่าบรรทัดนั้นถูกเอาออกจากไฟล์เวอร์ชันล่าสุด ถ้าหากเราเห็นบรรทัดสีแดง พร้อมเครื่องหมายลบ (-) หมายความว่าบรรทัดนี้ถูกตัดออกจากโค้ดที่เราเอามาเปรียบเทียบใหม่นั่นเอง
บ่งบอกบรรทัดที่ถูก เพิ่มเข้าไป ในไฟล์เป้าหมาย สีนี้แสดงว่ามีโค้ดหรือข้อความใหม่ที่เพิ่มเข้ามาในไฟล์ใหม่ เช่น บรรทัดสีเขียวพร้อมเครื่องหมายบวก (+) หมายถึงบรรทัดนี้เพิ่มขึ้นมาใหม่จากต้นฉบับนั่นเอง
บรรทัดที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใด ๆ จะแสดงด้วยสีปกติ ทำให้เราสามารถโฟกัสเฉพาะจุดที่ต่างกันได้ง่าย
อยู่ข้างหน้าบรรทัดที่ถูกลบหรือถูกตัดออก
อยู่ข้างหน้าบรรทัดที่ถูกเพิ่มเข้าไป
บรรทัดเหมือนกันในทั้งสองไฟล์ โดยไม่มีการเปลี่ยนแปลง
บางครั้งความแตกต่างไม่ได้อยู่ที่บรรทัดทั้งบรรทัด แต่อยู่ที่ตัวอักษร หรือคำบางส่วนในบรรทัดเดียวกัน เครื่องมือ Diff จะเน้นส่วนที่เปลี่ยนแปลง เช่น ตัวแปรที่เปลี่ยนชื่อ, ตัวอักษรที่แก้ไข หรือสัญลักษณ์ที่เพิ่มขึ้นหรือลดลง
ตัวอย่างเช่นถ้าในบรรทัดเดียวกันมีคำว่า listitem ถูกเปลี่ยนเป็น ListItem เครื่องมือจะแสดงตัว “l” เป็นสีแดงและตัว “L” เป็นสีเขียว เพื่อให้เห็นความแตกต่างนั่นเอง
Diff Tool จะจัดกลุ่มบรรทัดที่เปลี่ยนแปลงเป็นชุด ๆ เรียกว่า "Hunks" โดยแต่ละกลุ่มจะแสดงบริเวณที่มีการแก้ไขอย่างต่อเนื่อง ทำให้เราไม่ต้องไล่ดูไฟล์ทั้งหมด แต่สามารถเข้าใจภาพรวมของการแก้ไขในแต่ละส่วนได้ง่ายขึ้น
บางโปรแกรมมีโหมดการแสดงผลที่แตกต่างกัน เช่น
Diff Tool สามารถแสดงความแตกต่างระหว่างไฟล์สองไฟล์ได้ทันที ไม่ต้องเสียเวลาคอยไล่ดูบรรทัดทีละบรรทัด
เหมาะสำหรับการตรวจสอบการเปลี่ยนแปลงโค้ดในโปรเจกต์ โดยเฉพาะเมื่อต้องทำงานร่วมกับทีมงาน ที่มีการแก้ไขโค้ดซ้ำ ๆ
การเห็นความแตกต่างอย่างชัดเจนช่วยลดโอกาสลืม หรือผิดพลาดในการแก้ไขโค้ด และทำให้การแก้ไขมีความแม่นยำมากขึ้น
Diff Tool ทำงานผสานกับระบบควบคุมเวอร์ชันอย่าง Git ได้อย่างดี ช่วยให้ทีมพัฒนาเห็นภาพรวมของการเปลี่ยนแปลงได้ง่ายขึ้น
ผู้เริ่มต้น หรือทีมพัฒนาสามารถใช้ Diff Tool ในการเรียนรู้โค้ดที่ถูกแก้ไข หรือช่วยรีวิวโค้ดของกัน และกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ
Diff Tool ทำงานบนไฟล์ที่เป็นข้อความเท่านั้น ไม่สามารถเปรียบเทียบผลลัพธ์จากการรันโปรแกรมในเทอร์มินอล หรือสถานการณ์ที่เกิดขึ้นนอกไฟล์โค้ดได้
การเปลี่ยนแปลงที่ Diff Tool แสดงอาจเป็นแค่รูปแบบการเขียนโค้ดที่ต่างกันไป แต่ทั้งสองเวอร์ชันทำงานได้ถูกต้องเหมือนกัน จึงไม่ควรสับสนว่าความแตกต่างหมายถึงข้อผิดพลาดเสมอไป
ถ้าไฟล์มีการแก้ไขจำนวนมาก หรือแก้ไขซับซ้อน ผลการเปรียบเทียบอาจดูยากต่อการวิเคราะห์ ต้องใช้เวลาทำความเข้าใจพอสมควร
Diff Tool แต่ละโปรแกรมมีรูปแบบการแสดงผล และการตั้งค่าที่ต่างกัน อาจทำให้ผู้ใช้ต้องปรับตัวเรียนรู้ใหม่
Diff Tool ส่วนใหญ่เน้นที่ไฟล์ข้อความ หากเป็นไฟล์ ไบนารี (Binary) เช่น รูปภาพ หรือไฟล์ที่เข้ารหัส อาจไม่สามารถเปรียบเทียบได้ หรือแสดงผลได้ไม่ชัดเจนเท่าไฟล์ข้อความนั่นเอง
ในท้ายที่สุด Diff Tool ก็คือเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้การทำงานกับโค้ด และไฟล์ต่าง ๆ ง่ายขึ้นมาก ทำให้เราเห็นความแตกต่างระหว่างไฟล์อย่างชัดเจน, รวดเร็ว และแม่นยำ ด้วยการใช้สี และสัญลักษณ์ช่วยให้เห็นภาพได้มากขึ้น
ทั้งนี้ การเลือกใช้ Diff Tool ให้เหมาะสมกับงาน และลักษณะการทำงานของแต่ละคนเป็นสิ่งสำคัญ เพราะเครื่องมือแต่ละประเภทมีข้อดี และข้อจำกัดที่แตกต่างกัน รวมถึงการอ่านผลลัพธ์จาก Diff Tool ก็ต้องทำความเข้าใจสี, สัญลักษณ์ และรูปแบบผลลัพธ์ เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ถูกต้อง นำไปใช้ประโยชน์ได้อย่างเต็มที่ หากใช้ให้เป็น Diff Tool จะเป็นหนึ่งในเครื่องมือที่ทำให้การเขียนโค้ด และจัดการไฟล์ของเรานั้นง่ายขึ้นอย่างมาก
|
ความคิดเห็นที่ 1
31 พฤษภาคม 2568 19:30:25
|
||
GUEST |
![]() |
Hazel
Franchising Path CarlsbadCarlsbad, ⲤA 92008, United Ѕtates +18587536197 start ɑ domino's franchise |