เวลาที่เราพัฒนาซอฟต์แวร์ หรือแอปพลิเคชันตัวหนึ่งขึ้นมา เราก็มักจะได้ยินคำว่า "เขียนโค้ดให้ดีตั้งแต่แรก ดีกว่ามานั่งแก้ปัญหาทีหลัง" ซึ่งมันก็เป็นดังวลีนั้นจริง ๆ และมันยังเป็นหัวใจสำคัญของ Test-Driven Development (TDD) หรือการพัฒนาซอฟต์แวร์โดยใช้การทดสอบเป็นตัวนำ
หากเรากำลังสร้างตึกสูง แล้ววางรากฐานอย่างแข็งแกร่งตั้งแต่ต้น ตึกของเราก็จะมั่นคง และปลอดภัย ซอฟต์แวร์ก็เช่นกัน ถ้าเราออกแบบโดยให้การทดสอบเป็นศูนย์กลางตั้งแต่ต้น ก็จะช่วยลดข้อผิดพลาดในอนาคต ทำให้ระบบมีคุณภาพ และง่ายต่อการปรับปรุงในระยะยาวนั่นเอง
TDD เป็นกระบวนการที่ช่วยให้นักพัฒนาเขียนโค้ดได้ดีขึ้น, มีประสิทธิภาพมากขึ้น และมั่นใจได้ว่าโค้ดของพวกเขาทำงานถูกต้องตั้งแต่ต้น ดังนั้นในบทความนี้จะพาทุกคนไปรู้จักกับ แนวทาง TDD อย่างลึกซึ้ง ตั้งแต่หลักการพื้นฐาน, ขั้นตอนการทำงาน, ข้อดี และข้อเสีย ไปจนถึงตัวอย่างการนำไปใช้ เพื่อให้ทุกคนเห็นถึงความสำคัญของแนวทางนี้
ภาพจาก : https://starsevensix.com/software-and-application-integration/
Test-Driven Development (TDD) เป็นแนวทางการพัฒนาซอฟต์แวร์แบบหนึ่งที่ให้ความสำคัญกับการเขียน ชุดทดสอบ (Test Cases) ก่อนการเขียนโค้ดจริง หรือพูดง่าย ๆ ก็คือ "ทดสอบก่อน พัฒนาโค้ดทีหลัง" ซึ่งวิธีการนี้ช่วยให้นักพัฒนา (Developer) สามารถเขียนโค้ดที่ถูกต้องได้ตั้งแต่ต้น และลดข้อผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นภายหลังอีกด้วย
TDD เป็นกระบวนการที่ทำงานผ่าน วัฏจักรการพัฒนาแบบสั้น และรวดเร็ว (Short Development Cycles) ซึ่งประกอบไปด้วย 3 ขั้นตอนหลักคือ เขียนบดทดสอบ (Test) , เขียนโค้ดให้ผ่านการทดสอบ แล้วท้ายที่สุดคือ ปรับปรุงโค้ด (Refactor) โดยกระบวนการนี้จะถูกทำซ้ำ ๆ อย่างต่อเนื่องเพื่อให้ซอฟต์แวร์ หรือแอปพลิเคชันมีคุณภาพสูงขึ้น การใช้ TDD ช่วยให้โค้ดทำงานได้ถูกต้อง และยังมีส่วนช่วยในการพัฒนาโครงสร้าง และสถาปัตยกรรมของซอฟต์แวร์ให้ดีขึ้นด้วยเช่นกัน
ภาพจาก : https://shiftmag.dev/wp-content/uploads/2023/08/TDD.png?x73249
และเนื่องจากความเร็วของวัฏจักรการพัฒนาใน TDD นั้นสูงมาก การดำเนินการแบบแมนนวล หรือให้คนมาเขียนทดสอบเองจึงเป็นไปไม่ได้ ดังนั้น TDD จะต้องอาศัยเครื่องมือ และ เฟรมเวิร์ก (Framework) ที่ช่วยให้การทดสอบสามารถทำงานได้อย่างอัตโนมัตินั่นเอง
TDD เป็นกระบวนที่ทำซ้ำไปซ้ำมา มีโครงสร้างชัดเจน โดยแต่ละรอบของ TDD จะเริ่มต้นจากการเขียนชุดทดสอบ (Test Case) ก่อน แล้วจึงพัฒนาโค้ดให้ผ่านการทดสอบนั้น ๆ ท้ายที่สุดคือทำการปรับปรุงโค้ดให้สะอาดขึ้น โดยจะมีรายละเอียดในแต่ละขั้นตอนดังนี้
ภาพจาก : https://www.whizlabs.com/blog/what-is-tdd-and-its-phases/
ในขั้นตอนแรกนั้น นักพัฒนาจะต้องเขียนชุดทดสอบสำหรับฟีเจอร์ หรือฟังก์ชันที่ต้องการสร้างขึ้น โดยยังไม่ได้สร้างโค้ดฟังก์ชันนั้น ซึ่งเป็นกระบวนการที่ต้องใช้ความเข้าใจเชิงลึกเกี่ยวกับข้อกำหนดของระบบ ซึ่งการเขียนทดสอบล่วงหน้าช่วยให้เราแน่ใจได้ว่ากำลังออกแบบโค้ดที่ เน้นไปที่ความต้องการของซอฟต์แวร์นั้นจริง ๆ ไม่ใช่แค่การใส่มั่ว ๆ ให้โค้ดเหมือนทำงานได้
จากขั้นตอนที่ผ่านมาเราได้สร้างชุดทดสอบ และในขั้นตอนนี้เมื่อรันชุดทดสอบที่เขียนขึ้น มันจะต้องล้มเหลวแน่นอน เพราะว่ายังไม่มีโค้ดที่ทำงานได้จริง แต่ตรงนี้เป็นเรื่องปกติ และยังเป็นส่วนสำคัญของ TDD ด้วยเพราะช่วยให้เรารู้ว่าทดสอบของเราทำงานได้ถูกต้อง
หลังจากทดสอบแล้วพบข้อผิดพลาด จากนั้นนักพัฒนาจะเริ่มเขียนโค้ด "เท่าที่จำเป็น" เพื่อให้ชุดทดสอบที่เขียนไว้สามารถทำงานผ่านได้ เอาแบบว่าแค่พอให้มันผ่าน ไม่ต้องเขียนอะไรเกินจำเป็น เช่น หากเราต้องการให้ 2+3 ออกมาเป็น 5 เราก็แค่เขียนโค้ดที่ทำให้ผลลัพธ์ออกมาเป็น 5 โดยไม่ต้องคิดถึงกรณีอื่น ๆ
ขั้นตอนนี้เป็นการตรวจสอบว่าการแก้ไขโค้ดที่ทำใหม่นั้นจะไม่ทำให้ฟีเจอร์เดิมเสียหาย นักพัฒนาจะต้องรันชุดทดสอบทั้งหมดของโปรแกรม ถ้ามีข้อผิดพลาดเกิดขึ้น แสดงว่าโค้ดใหม่อาจทำให้ระบบเดิมมีปัญหา
หลังจากโค้ดทำงานได้ถูกต้องและผ่านชุดทดสอบแล้ว นักพัฒนาจะทำการ Refactor หรือปรับโครงสร้างโค้ดให้มีความสะอาด, อ่านง่าย และบำรุงรักษาง่ายขึ้น สิ่งที่ทำก็เช่น ลดความซ้ำซ้อน, ปรับปรุงโครงสร้างของฟังก์ชัน และจัดระเบียบโค้ดให้เป็นระบบมากขึ้น โดยที่ฟังก์ชันการทำงานยังคงเหมือนเดิม
เมื่อเสร็จสิ้นขั้นตอนทั้งหมด กระบวนการนี้จะถูกวนซ้ำอีกครั้งสำหรับฟีเจอร์ใหม่ ๆ ด้วยกระบวนการที่เป็นระบบนี้ทำให้แน่ใจว่า ทุกการพัฒนามีการตรวจสอบคุณภาพอย่างต่อเนื่อง และลดโอกาสในการเกิดข้อผิดพลาดในระยะยาวนั่นเอง
เมื่อใช้ TDD นักพัฒนาซอฟต์แวร์จะถูกบังคับให้เขียนโค้ดที่สามารถทดสอบได้ง่ายแต่แรก ทำให้โค้ดมักเป็นโมดูล (Modular) มีการแยกส่วนที่ชัดเจน ซึ่งโค้ดประเภทนี้ดูแลรักษาง่าย, แก้ไขได้สะดวก และสามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้นั่นเอง
การตรวจจับข้อผิดพลาดตั้งแต่ต้นน้ำช่วยให้ทีมไม่ต้องเสียเวลา และทรัพยากรในการแก้ บั๊ก (Bug) ในภายหลัง ซึ่งช่วยลดต้นทุนในการพัฒนาซอฟต์แวร์ในระยะยาว
ภาพจาก : https://www.freepik.com
TDD ใช้แนวคิดที่ เขียนโค้ดให้มันทำงานได้ก่อน (Red-Green) แล้วค่อย ทำให้มันถูกต้อง (Refactor) ภายหลัง ซึ่งหมายความว่านักพัฒนาสามารถเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ หรือปรับปรุงโค้ดเดิมได้โดยไม่ต้องกลัวว่าจะไปเพิ่ม หรือ แก้ไขผิดจุด
ภาพจาก : https://mbauza.medium.com/red-green-refactor-1a3fb160e649
เนื่องจากการทดสอบถูกเขียนก่อนจะสร้างโค้ดจริง นักพัฒนาคนอื่น ๆ สามารถดูชุดทดสอบเพื่อให้เข้าใจว่าฟังก์ชันนั้น ๆ ควรทำงานอย่างไร ช่วยให้การเรียนรู้ และทำความเข้าใจโปรเจกต์เป็นไปได้เร็วขึ้น อีกทั้ง TDD ยังส่งเสริมการสื่อสารระหว่างนักพัฒนาด้วยกัน เพราะทุกคนต้องเข้าใจ และตกลงกันก่อนว่าจะทดสอบอะไร ? และฟังก์ชันนั้นควรทำงานอย่างไร ? ช่วยให้การทำงานเป็นทีมราบรื่นขึ้น
เมื่อมีชุดทดสอบที่ครอบคลุมทุกกรณี นักพัฒนาจะสามารถเปลี่ยนแปลงโค้ดในแต่ละส่วนได้โดยไม่ต้องกังวลมากนัก เพราะสามารถรันทดสอบเพื่อตรวจสอบความถูกต้องในส่วนเคสนั้น ๆ ได้ทันที
เนื่องจาก TDD เน้นการทดสอบก่อน นักพัฒนาจะต้องคิด และวางแผนโครงสร้างโค้ดให้ดีขึ้นก่อนเริ่มเขียนจริง ซึ่งช่วยให้ซอฟต์แวร์มีคุณภาพสูงขึ้นและมีโครงสร้างที่แข็งแรง
การมีชุดทดสอบอัตโนมัติช่วยให้นักพัฒนาสามารถตรวจสอบโค้ดได้แบบเรียลไทม์ ลดความกดดันในการตรวจหาข้อผิดพลาดด้วยตนเอง ซึ่งสร้างความเหนื่อยล้ามาก
ภาพจาก : https://woz-u.com/blog/how-stressful-is-software-development/
แม้ว่า TDD จะมีข้อดีมากมาย แต่มันก็มีบางจุดที่ควรพิจารณาก่อนนำมาใช้อยู่
การเขียนชุดทดสอบก่อนเริ่มต้นพัฒนาอาจใช้เวลานานกว่าการเขียนโค้ดไปตรง ๆ โดยไม่มีทดสอบ แต่ถ้าหากมองถึงประโยชน์ในระยะยาว ก็จะช่วยลดเวลาการแก้ไขบั๊ก และการดูแลรักษาโค้ด ได้มากกว่า
TDD ไม่ได้ผลดีหากนักพัฒนาเขียนชุดทดสอบที่ไม่มีคุณภาพ ดังนั้นการออกแบบทดสอบที่ดีต้องใช้ประสบการณ์ และความเข้าใจในระบบ มิฉะนั้นอาจทำให้ได้โค้ดที่ไม่ครอบคลุมทุกกรณี
ในบางกรณี เช่น โครงการที่ต้องการความเร็วสูง หรือโปรเจกต์ขนาดเล็ก การใช้ TDD อาจเป็นการเพิ่มภาระงานโดยไม่จำเป็น นอกจากนี้บางระบบที่มีความซับซ้อนสูงอาจทำให้การเขียนชุดทดสอบก่อนทำได้ยากมากขึ้นไปอีก
ภาพจาก : https://www.linkedin.com/pulse/how-do-you-learn-large-projectssoftware-development-just-said-mouhoun-msayf
เมื่อโค้ดเปลี่ยนไป ชุดทดสอบก็ต้องอัปเดตให้รองรับกับโค้ดใหม่ด้วย ถ้าไม่ดูแลทดสอบให้ดี อาจเกิดปัญหาที่เรียกว่า "Test Maintenance Overhead" ซึ่งทำให้เสียเวลาในการจัดการทดสอบเก่า ๆ ที่ใช้ไม่ได้แล้ว
TDD ได้รับการนำไปใช้อย่างจริงจังในโครงการซอฟต์แวร์ขนาดใหญ่ โดยเฉพาะใน ภาษา Java ซึ่งมีระบบนิเวศ (Environment) ที่รองรับการเขียนทดสอบเป็นอย่างดี เราลองมาดูตัวอย่างขององค์กร และโครงการที่ประสบความสำเร็จในการใช้ TDD กัน
ภาพจาก : https://www.linkedin.com/pulse/what-apache-tomcat-http-server-razedul-islam-cot5c
Apache Tomcat เป็นหนึ่งในเซิร์ฟเวอร์ Java Servlet และ JSP ที่ได้รับความนิยมมากที่สุด ซึ่งทีมพัฒนาได้ใช้หลักการของ TDD มาเป็นเวลานาน โดยมีแนวทางการใช้ TDD ดังนี้
ผลลัพธ์ที่ได้จากการใช้ TDD คือระบบมีความ เสถียร และเชื่อถือได้ เนื่องจากโค้ดผ่านการตรวจสอบจากชุดทดสอบก่อนทุกครั้ง, ลด Regression Bug หรือปัญหาที่เกิดขึ้นซ้ำ ๆ เมื่อมีการอัปเดตโค้ด และท้ายสุดคือทำให้ทีมพัฒนากล้าทดลองเปลี่ยนแปลงโค้ด เพราะมีชุดทดสอบคอยรองรับอยู่
ภาพจาก : https://www.jetbrains.com/idea/
JetBrains เป็นบริษัทซอฟต์แวร์ชื่อดังที่อยู่เบื้องหลัง IntelliJ IDEA ที่เป็น IDE ยอดนิยมสำหรับนักพัฒนา Java ทีมของ JetBrains ใช้หลักการของ TDD อย่างเคร่งครัด และถือว่าเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยเพิ่มคุณภาพของซอฟต์แวร์ของพวกเขาเลย ซึ่งแนวทางการใช้ TDD ของ JetBrains เป็นดังนี้
ผลลัพธ์ที่ได้จากการใช้ TDD คือ คุณภาพโค้ดสูงขึ้น เพราะทุกฟีเจอร์ต้องผ่านการทดสอบก่อน, ตรวจจับบั๊กได้เร็วขึ้น ทำให้ทีมสามารถแก้ไขได้ก่อนที่ปัญหาจะไปถึงผู้ใช้ และท้ายที่สุดคือเพิ่มประสิทธิภาพของนักพัฒนา เพราะพวกเขาสามารถทำงานได้เร็วขึ้นโดยไม่ต้องกังวลกับบั๊กที่อาจเกิดขึ้นนั่นเอง
TDD เป็นแนวทางที่ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าสามารถเพิ่มคุณภาพของซอฟต์แวร์, ลดข้อผิดพลาด และทำให้โค้ดมีความยืดหยุ่น ดูแลรักษาได้ง่ายขึ้น แต่การนำ TDD มาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดนั้น ต้องอาศัยวินัย และความเข้าใจที่ดีในการเขียนชุดทดสอบ หากใช้ไม่ถูกต้องอาจทำให้กระบวนการพัฒนาดูซับซ้อน และใช้เวลานานมากกว่าปกติ
ในมุมของ Java มีเฟรมเวิร์ก และไลบรารีหลายตัวที่ช่วยให้การนำ TDD ไปใช้งานได้ง่ายขึ้น เช่น JUnit, Mockito, TestNG โดยรวมแล้ว TDD เป็นแนวทางที่ดี และคุ้มค่าสำหรับโครงการที่ต้องการความเสถียร และการดูแลรักษาในระยะยาวที่มั่นคงนั่นเอง
|