ถ้าพูดถึงการใช้งาน Wi-Fi แล้วก็คาดว่าแทบทุกคนน่าจะต้องรู้จักอุปกรณ์ช่วยกระจายสัญญาณและเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตเข้ากับอุปกรณ์ต่าง ๆ อย่างเจ้าเครื่อง "Router" กันอย่างแน่นอน ซึ่งถ้าเป็นการใช้งานอินเทอร์เน็ตภายในคอนโดหรือหอพักการใช้งาน Router แค่เครื่องเดียวก็ก็เพียงพอและครอบคลุมการใช้งานแล้ว
แต่สำหรับใครที่อยู่บ้านที่มีหลายชั้น หรือสำนักงานใหญ่ ๆ ที่มีจำนวนผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตมากแล้วละก็ Router เพียงอย่างเดียวคงไม่สามารถกระจายสัญญาณได้อย่างทั่วถึง ดังนั้นจึงต้องเพิ่มอุปกรณ์ตัวช่วยอย่าง Access Point เข้ามาช่วยกระจายสัญญาณ Wi-Fi ให้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น
ภาพจาก : https://smartnetworkgeek.com/home-network-setup-diagram/
Access Point หรือที่เรียกย่อ ๆ ว่า "AP" เป็นอุปกรณ์ช่วย "กระจายสัญญาณ Wi-Fi จาก Router" ให้มีระยะของการส่งสัญญาณที่กว้างขึ้น และเสถียรมากยิ่งขึ้นผ่านการรับสัญญาณจากสาย LAN ที่เชื่อมต่อกับ Router หรือ Network Switch ทำให้เราสามารถใช้งานอินเทอร์เน็ตในพื้นที่กว้าง ๆ อย่างภายในออฟฟิศหรือในบ้านหลาย ๆ ชั้นได้อย่างไม่ติดขัด
โดยส่วนมากแล้ว Access Point มักจะมีพอร์ตหลักเพียงพอร์ตเดียวเท่านั้น แต่ใน Access Point บางรุ่นก็อาจมีพอร์ตให้เลือกเชื่อมต่อถึง 4 พอร์ตเพื่อรองรับความเร็วอินเทอร์เน็ตที่แตกต่างกันก็เป็นได้
ข้อมูลเพิ่มเติม : Modem, Router และ Network Switch คืออะไร ? และ แตกต่างกันอย่างไร ?
ภาพจาก : https://www.mbreviews.com/the-best-outdoor-access-points/
หรือเรียกง่าย ๆ ว่า Access Point ก็ทำหน้าที่คล้ายกับ "ปลั๊กพ่วง" หรือ "รางปลั๊กไฟ" ที่รับกระแสไฟจากเต้าเสียบหลักมากระจ่ายต่อให้กับเครื่องใช้ไฟฟ้าอื่น ๆ การติดตั้ง Access Point ก็จะช่วยให้เราสามารถใช้งานอินเทอร์เน็ตได้ในระยะที่กว้างมากขึ้น
ทั้งนี้ การเลือกใช้งาน Access Point ก็ควรดูสเปกของอุปกรณ์ต้นทาง (ตัว Router) และอุปกรณ์ปลายทาง (อุปกรณ์ที่ต้องการต่อ Wi-Fi) ด้วยว่ารองรับ Wi-Fi เวอร์ชันใด และเลือกใช้งานและติดตั้ง Access Point ให้มีมาตรฐานเดียวกันเพื่อให้การกระจายสัญญาณเป็นไปได้อย่างลื่นไหลมากขึ้น
เพราะถ้าหากสเปกของ Router รวมไปถึง Access Point และอุปกรณ์ที่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตนั้นใช้งาน Wi-Fi ที่มีมาตรฐานต่างกันก็จะทำให้ไม่สามารถใช้งานอินเทอร์เน็ตได้ดีอย่างที่ควรจะเป็น เช่น ใช้งาน Router และสมาร์ทโฟนที่รองรับ Wi-Fi 6 แต่ตัว Access Point รองรับแค่ Wi-Fi 5 ก็จะสามารถเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้ที่ความเร็วเทียบเท่ากับ Wi-Fi 5 เท่านั้น
ภาพจาก : https://www.eweek.com/networking/extreme-networks-readies-wifi-6-access-points/
และนอกเหนือไปจากมาตรฐานการใช้งาน Wi-Fi แล้ว สิ่งสำคัญในการเลือกซื้อ Access Point ก็ต้องดูทั้งเรื่องของ "จำนวนผู้ใช้ (No of User)" และ "พื้นที่ (Area)" ที่ต้องการติดตั้งใช้งาน Access Point ร่วมด้วยเช่นกัน
Access Point สำหรับใช้งานทั่วไปในสำนักงานขนาดเล็ก (Small Office) หรือ Home Office เป็นอุปกรณ์ Access Point ที่มีราคาย่อมเยา เหมาะกับการใช้งานในออฟฟิศที่มีคนน้อย (สูงสุด 25 ผู้ใช้/เครื่อง) นอกจากนี้ยังสามารถใช้งาน Router แบบ 2-in-1 ที่เป็นทั้ง Router เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตและ Access Point กระจายสัญญาณ Wi-Fi ในเครื่องเดียวได้ แต่การใช้งาน Access Point รูปแบบนี้ก็อาจมีปัญหาเรื่องการกระจายสัญญาณไม่เสถียร (อาจต้องเปิด - ปิดเครื่องเป็นระยะ)
ภาพจาก : shorturl.at/muxH6 และ https://www.accessagility.com/blog/consumer-home-vs-enterprise-access-points
เป็นอุปกรณ์ Access Point ที่พัฒนาขึ้นมาเพื่อทำหน้าที่ "กระจายสัญญาณ” Wi-Fi เพียงอย่างเดียวเท่านั้น เหมาะกับการใช้งานในสำนักงานขนาดใหญ่หรือการใช้งานในห้างสรรพสินค้าที่มีคนพลุกพล่าน เนื่องจากรองรับผู้ใช้งานจำนวนมาก (ราว 100 คน/เครื่อง) อีกทั้งยังมีการกระจายสัญญาณที่เสถียรและคงที่มากกว่า Access Point แบบที่ใช้งานทั่วไป แต่ก็มีราคาที่สูงตามไปด้วยเช่นกัน
ภาพจาก : https://www.accessagility.com/blog/consumer-home-vs-enterprise-access-points และ shorturl.at/glvFR
เป็นอุปกรณ์ Access Point ที่มีการกระจายสัญญาณแบบรอบทิศทาง (Omnidirectional) ในแนวราบ ทำให้สามารถกระจายสัญญาณ Wi-Fi ได้อย่างทั่วถึงและเท่าเทียมกันทั่วทั้งพื้นที่การกระจายสัญญาณ อุปกรณ์ Access Point ประเภทนี้ส่วนมากมักจะมีหน้าตาคลีน ๆ ที่ไม่มีเสาอากาศยื่นออกมาให้ขัดตา หรืออาจมีเสาสัญญาณบางจุดก็ได้
ภาพจาก : https://www.netxl.com/blog/networking/directional-or-omni-directional-antennas/
เป็นอุปกรณ์ Access Point ที่เน้น "การใช้งานเฉพาะจุด" เพราะสามารถหันปรับทิศทางเสาสัญญาณไปยังจุดที่ต้องการเร่งให้สัญญาณแรงได้ จุดที่เสาสัญญาณหันเข้าหาจะสามารถใช้งาน Wi-Fi ได้อย่างเสถียรมากกว่าจุดอื่น ๆ
โดยสำหรับอุปกรณ์ Access Point ประเภทนี้จัมีเสาสัญญาณยื่นออกมานอกตัวเครื่องเสมอ และมีให้เลือกใช้งานทั้งแบบ 1 เสา, 2 เสา, 4 เสา, 6 เสา หรือแบบเสาอากาศรอบทิศที่ช่วยให้การกระจายสัญญาณครอบคลุมพื้นที่ได้อย่างทั่วถึงมากยิ่งขึ้นก็ได้เช่นกัน
เชื่อว่าหลายคนน่าจะคุ้นหน้าคุ้นตากับอุปกรณ์ Access Point รูปแบบนี้จากการไปห้างสรรพสินค้าต่าง ๆ เพราะหากสังเกตดี ๆ จะเห็นว่าภายในห้างสรรพสินค้านั้นมีการติดตั้ง Access Point ในจุดต่าง ๆ เพื่อให้เราสามารถใช้งาน Wi-Fi ได้จากทุกที่ในห้าง
โดย Access Point แบบติดตั้งบนฝ้าที่ห้างร้านต่าง ๆ นิยมใช้นั้นเป็น Access Point แบบเสาอากาศภายในที่เน้นความสวยงามของตัวเครื่องและมีระยะการกระจายสัญญาณที่ทั่วถึงเท่าเทียมกันเป็นหลัก แต่ในพื้นที่ที่ไม่จำเป็นต้องคำนึงถึงความสวยงามของฝ้าเพดาน เราก็อาจพบเห็น Access Point แบบเสาอากาศภายนอกห้อยลงมาจากเพดานที่สามารถหันปรับทิศทางเสากระจายสัญญาณของ Access Point ไปยังทิศทางที่ต้องการได้อย่างอิสระ
ภาพจาก : https://dealna.com/en/Article/Post/1315/How-to-choose-an-access-point-and-why-you-need-it
นอกเหนือไปจาก Access Point แบบติดฝ้าเพดานแล้ว ในพื้นที่ที่ไม่เอื้อต่อการติดตั้ง Access Point บนเพดานก็สามารถเลือกใช้งาน Access Point แบบตั้งโต๊ะได้อีกด้วยเช่นกัน (มีให้เลือกใช้งานทั้งแบบเสาอากาศภายในและภายนอก) แต่ระยะการกระจายสัญญาณของ Access Point แบบตั้งโต๊ะนั้นจะอ่อนกว่า แบบติดฝ้าเพดาน จึงไม่ค่อยได้รับความนิยมเท่าไรนัก
ภาพจาก : https://www.arubanetworks.com/products/wireless/access-points/
เป็นอุปกรณ์ Access Point ที่มีราคาสูงที่สุดเนื่องจากมีการออกแบบตัวเครื่องและ Case แบบพิเศษให้ทนต่อสภาพอากาศภายนอกอาคาร มักพบได้บ่อยในโรงงานอุตสาหกรรมหรือบนท้องถนน โดยจะมีให้เลือกใช้งานทั้งแบบเสาอากาศภายในและภายนอก (แต่ส่วนมากมักนิยมใช้งานแบบเสาอากาศภายนอกที่สามารถปรับทิศทางสัญญาณ Wi-Fi ได้)
ภาพจาก : https://www.mbreviews.com/the-best-outdoor-access-points/
|
ตัวเม่นผู้รักในการนอน หลงใหลในการกิน และมีความใฝ่ฝันจะเป็นนักดูคอนเสิร์ตแต่เหมือนศิลปินที่ชื่นชอบจะไม่รับรู้ว่าโลกนี้มียังประเทศไทยอยู่.. |