ปัจจุบัน การส่งข้อความ SMS ไม่ได้เป็นที่นิยมเหมือนแต่ก่อนแล้ว เนื่องจากการสื่อสาร ส่งข้อความต่าง ๆ ทำได้สะดวกขึ้น และมีหลายช่องทางมากขึ้น ที่มีลูกเล่นมากกว่า และประหยัดกว่า แต่ก็ยังพบเห็นได้จาก ธุรกิจ บริการต่าง ๆ ผ่านมือถือ รวมทั้งโฆษณาต่าง ๆ ไปจนถึง SMS กินเงิน แต่ก็ถือว่าในยุค ๆ หนึ่ง การส่งข้อความ SMS คุยกัน จีบกัน เป็นอะไรที่ฮอตฮิตมากเลยทีเดียว
บทความนี้ ขอพามารู้จักกับการส่งข้อความ SMS กัน ว่ามันคืออะไร ? มาจากไหน ใครเป็นคนแรกที่ได้ส่ง SMS กัน
ข้อความ SMS ย่อมาจากคำว่า "Short Message Service" ถ้าแปลตรงตัวก็คือ "บริการข้อความสั้น" เป็นหนึ่งในฟีเจอร์บนโทรศัพท์มือถือ ให้ผู้ใช้งานสามารถส่งข้อความ (Text Message) ไปหาโทรศัพท์มือถือเครื่องอื่น ๆ ได้ ผ่านระบบเครือข่ายมือถือ
โดยแต่ละข้อความถูกกำหนดให้ส่งได้ไม่เกิน 160 ตัวอักษร โดยหากเราส่งข้อความเกิน 160 ตัวอักษร ตัวอักษรที่เกินจะถูกสร้างเป็นข้อความใหม่และส่งเป็นข้อความเชื่อม (Linked Message) สูงสุดได้ถึง 6 ข้อความด้วยกัน รวม 918 ตัวอักษร โดยแต่ละส่วนจะจำกัดตัวอักษรไม่เท่ากัน ดังนี้
ข้อความที่ | จำนวนตัวอักษร |
1 | 160 |
2 | 306 |
3 | 459 |
4 | 612 |
5 | 765 |
6 | 918 |
แน่นอนว่า ข้อความที่ถูกแบ่งส่วนออกมา จะถูกคิดค่าบริการส่งมากกว่า 1 ข้อความขึ้นอยู่กับค่าบริการที่ใช้ ซึ่งภาษาไทยเราที่มีทั้งสระและวรรณยุกต์ ค่อนข้างจะกินเนื้อที่ตัวอักษรอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว
นอกจากข้อความ SMS แล้ว จะมีอีกบริการที่ชื่อว่า MMS (Multimedia Messaging Service) ซึ่งก็คือการส่งข้อความที่มากกว่าแค่ ตัวอักษร ไม่ว่าจะเป็น ภาพ เสียง หรือวิดีโอ ผ่านเครือข่ายมือถือเช่นเดียวกับ SMS (ซึ่งมีค่าบริการส่งข้อความสูงกว่า) และในภายหลังบริการ MMS ก็ถูกลืมเลือน เนื่องจากมมือถือในปัจจุบันมีแอปพลิเคชันต่าง ๆ ที่สามารถส่งไฟล์ขนาดใหญ่ผ่านอินเทอร์เน็ตมือถือ (Mobile Internet) ได้
ปัจจุบัน คำว่า "SMS" ถูกใช้เป็นคำเรียกการส่งข้อความผ่านมือถือไปแล้ว (โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษ) แต่ก็ไม่ได้รับความนิยมในกลุ่มผู้ใช้งานทั่ว ๆ ไป เนื่องจากมีบริการจากแอปพลิเคชันต่าง ๆ ที่สะดวกกว่า และไม่เสียเงินในการส่งข้อความ (เสียค่าเน็ตมือถือแทน) แต่ก็ยังพบเห็นได้กับกลุ่มธุรกิจบริการต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น การส่ง รหัสผ่านครั้งเดียว (OTP) แจ้งเตือนการเข้าใช้งานบริการต่าง ๆ รายงานยอดเงินในบัญชี หรือแม้แต่การแจ้งหนี้ ชำระเงิน
ก่อนจะรู้ว่าข้อความ SMS แรกของโลกคืออะไร ? ก็ขอพูดถึงผู้ที่มีสิทธิ์ในการส่งข้อความนั้น ๆ ก่อน ซึ่งก็ไม่ใช่คนใหญ่โตอะไรที่ไหน แต่เป็นผู้พัฒนาเองที่ต้องทดสอบระบบ โดยในปี ค.ศ. 1992 (พ.ศ. 2535) นักพัฒนาซอฟต์แวร์ชาวสหราชอาณาจักร นีล แพพเวิร์ท (Neil Papworth) ได้ส่งข้อความ SMS แรกให้กับพนักงาน Vodafone ที่ชื่อว่า ริชาร์ด จาร์วิส (Richard Jarvis)
นีลทำงานเป็นนักพัฒนาซอฟต์แวร์และวิศวกรที่ต้องทดสอบระบบ SMS ให้กับลูกค้าของเขา นั่นก็คือ Vodafone บริษัทโทรคมนาคมจากอังกฤษ โดยข้อความแรกที่ถูกส่งนั้นเกิดขึ้นในวันที่ 3 ธันวาคม ค.ศ. 1992 (พ.ศ. 2535) ด้วยคำที่เรียบง่ายว่า
MERRY CHRISTMAS
(ตลกไปนิดที่อวยพรวันคริสมาสต์ตั้งแต่ต้นธันวาคมเลย)
ข้อความ SMS แรกที่ถูกส่ง
ที่มาภาพ : https://www.wionews.com/technology/worlds-first-sms-is-up-for-auction-expected-to-sell-for-200000-437327
ซึ่งจริง ๆ แล้ว แนวคิดการริเริ่มสร้างข้อความ SMS นั้น เกิดขึ้นครั้งแรกในปี ค.ศ. 1984 (พ.ศ. 2527) โดยวิศวกรชาวเยอรมัน รายด์เฮล์ม ฮิลเลบรันด์ (Friedhelm Hillebrand) และ เบอร์นาร์ด กิลแบร์ต (Bernard Ghillebaert) ได้เริ่มสร้างระบบที่ทำให้พวกเขาสามารถส่งข้อความผ่านเครือข่ายโทรศัพท์ด้วยมาตรฐาน GSM (Global System for Mobile Communications) ได้ ก่อนงานชิ้นนี้จะมาถึง Vodafone และ นีล ในอีก 8 ปีต่อมา
ข้อความ SMS แรกของโลกนี้ กลายเป็นทรัพย์สิน NFT (Non-Fungible Token) ที่ถูกส่งประมูลไปในวันที่ 21 ธันวาคม ค.ศ. 2021 (พ.ศ. 2564) อีกด้วย โดยคาดว่าจะมีมูลค่าสูงถึง 200,000 เหรียญสหรัฐฯ ด้วยกัน หรือประมาณ 7 ล้านบาท
แน่นอนว่าเรื่องราวไม่ได้จบแค่ "ข้อความอวยพรคริสมาสต์" ล่วงหน้า ในปี ค.ศ. 1993 (พ.ศ. 2536) ทาง Nokia ได้เปิดตัวฟีเจอร์ SMS ที่มาพร้อมกับ "เสียง บิ๊บ (Beep)" เวลาที่มีข้อความเข้ามา
ในตอนแรกนั้น ฟีเจอร์ข้อความ ถูกจำกัดไว้ที่ 160 ตัวอักษร ทำให้ผู้ใช้งานในช่วงนั้น ได้ประดิษฐ์สิ่งที่เรียกว่า "txt spk (Text Speak)" หรือ ภาษาย่อสำหรับแชทขึ้นมา อย่างเช่น lol (Laughing out loud) หรือ สร้างอีโมจิ (Emoji) ต่าง ๆ จากตัวอักษร (Character) และสัญลักษณ์ (Symbol) อย่างเช่น :)
ซึ่งในภายหลังก็เกิดการประดิษฐ์อีโมจิแรกขึ้นมา
อ่านเพิ่มเติม : รู้จัก Shigetaka Kurita ชายผู้คิดค้น Emoji ขึ้นมาเป็นคนแรกของโลก
หลังจากนั้น 25 ปีต่อมา ในปี ค.ศ. 2017 (พ.ศ. 2560) จากที่ปล่อยให้การส่งข้อความ SMS ที่มีแต่ตัวอักษร ถูกพัฒนาให้สามารถส่งได้มากกว่าข้อความ ไม่ว่าจะเป็นอีโมจิ ไปจนถึงวิดีโอ ถูกขยายไปใช้งานเป็นแอปพลิเคชันสนทนา หรือแอปแชทต่าง ๆ นีล ก็กลับมาส่งข้อความ "สุขสันต์วันคริสมาสต์" หาริชาร์ด เพื่อนของเขาคนเดิมอีกครั้ง แต่มาในรูปแบบอีโมจิแทน
นีล แพพเวิร์ท ผู้ส่ง SMS คนแรก กับข้อความ SMS (แรก) เวอร์ชันใหม่ ฉลองครบ 25 ปี
ที่มาภาพ : https://www.vodafone.com/news/technology/25-anniversary-text-message
โดยนีลกล่าวว่า
ในปี 1992 ผมไม่รู้ว่าการส่งข้อความจะได้รับความนิยมขนาดไหน ไม่รู้ว่าสิ่งนี้จะทำให้เกิดอีโมจิและแอปส่งข้อความที่คนใช้กันเป็นล้าน ๆ คน ผมเพิ่งบอกลูก ๆ ไปว่า ผมเป็นคนส่งข้อความแรกอันนั้น และเห็นได้ชัดว่า ข้อความคริสต์มาสต์นั้น กลายเป็นช่วงเวลาสำคัญในประวัติศาสตร์มือถือ
ถ้าไม่นับในปัจจุบัน การส่งข้อความ SMS หากันในยุคที่ได้รับความนิยม ค่าบริการของการส่งข้อความก็ไม่ได้ถูกเลย แม้จะมีโปรตั้งแต่ข้อความละ 1-3 บาท แต่ถ้าลองคิดภาพในปัจจุบัน จะแชทคุยให้จบเรื่อง ๆ หนึ่ง คงเสียเงินไปไม่น้อย แต่ก็มีทางเลือกอื่น ๆ ให้แชทกันแบบไม่เสียเงินอยู่
มียุคหนึ่งที่การขอพิน (PIN) เข้ามาแทนที่การขอเบอร์ ทุกคนต้องมีมือถือ BlackBerry แลก PIN กันไว้ เพื่อแชทผ่าน BBM ที่ส่งข้อความหากันฟรีได้ตลอด แต่ปัจจุบันนี้ การมาของแอปแชทต่าง ๆ ทำให้ทาง BlackBerry ต้องปรับตัว นำแอป BBM มาให้ใช้งานบนมือถือแพลตฟอร์มอื่น ๆ ด้วย แต่ก็สู้ตลาดไม่ไหวและหายไปในที่สุด
อีกทางเลือกหนึ่งก็คือ iMessage บน Apple Ecosystem ที่เพียงแค่ใช้อุปกรณ์ Apple ไม่ว่าจะเป็น iPhone, iPad, Apple Watch ยัน iMac ก็สามารถส่งข้อความหากันได้ฟรี หน้าตาการใช้งานก็ไม่ต่างจากข้อความ SMS เลย เพียงแต่ถ้าส่งหา Apple ด้วยกันจะไม่เสียเงินซักบาท ปัจจุบันก็ยังมีให้ใช้งานอยู่ แต่ในยุคนั้นที่ BlackBerry ชนะไป เพราะราคาเข้าถึงง่ายกว่า
ที่มาภาพ : https://support.apple.com/th-th/HT206906
ถ้าติดตามหนังหรือการ์ตูนญี่ปุ่นอยู่บ้างจะสังเกตว่า วัยรุ่นวัยรักญี่ปุ่นจะนิยมแลกอีเมลกันแทนที่จะเป็นเบอร์โทรศัพท์เพื่อแชทคุยหากันนะครับ ไม่รู้ว่าบ้านเราเป็นกันมั้ย ? แต่อย่างผู้เขียนก็ใช้การโทรคุยกันเป็นเรื่องเป็นราว และส่งข้อความ SMS ด้วยคำคมเสี่ยว ๆ มากกว่า ซึ่งจากที่ค้นคว้าเล็ก ๆ น้อย ๆ พบ 3 เหตุผลดังนี้
ในปัจจุบันก็ไม่ใช่ว่าคนญี่ปุ่นยังนิยมส่งอีเมลคุยกันอยู่นะ แต่เปลี่ยนมาใช้แอปแชทบนมือถือแทน ซึ่งแอป LINE ก็เป็นหนึ่งในแอปฯ ที่ได้รับความนิยมสูงสุดจากคนญี่ปุ่นเลยทีเดียว
|
... |