ก่อนหน้านี้ เราเคยมีบทความเกี่ยวกับ คุณสมบัติ Pass-Through Charging กันไปแล้ว ทีนี้ เราก็เลยคิดว่าน่าจะอธิบายถึงคุณสมบัติ Bypass Charging ด้วย เพราะมันเป็นเทคโนโลยีเกี่ยวกับการชาร์จแบตเตอรี่เหมือนกัน ชื่อเทคโนโลยีก็มีความคล้ายคลึงกัน หรือบางคนอาจจะเข้าใจผิด คิดว่ามันเป็นเทคโนโลยีเดียวกันด้วยซ้ำ แต่ในความเป็นจริงแล้วเทคโนโลยี Pass-Through Charging กับ Bypass Charging มันต่างกันโดยสิ้นเชิงเลยทีเดียว
ในบทความนี้ เราเลยอยากจะมาอธิบายว่าคุณสมบัติ Bypass Charging คืออะไร ?
คุณน่าจะเคยได้ยินคำเตือนเวลาที่ใช้งานอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ที่มีแบตเตอรี่ในตัวว่า "ไม่ควรเสียบสายชาร์จทิ้งไว้ตลอดเวลา เพราะมันสามารถทำให้แบตเตอรี่เสื่อมไว" ซึ่งมันก็เป็นเรื่องจริง แต่หากอุปกรณ์ของคุณรองรับเทคโนโลยี "Bypass Charging" คุณจะสามารถเสียบสายชาร์จทิ้งไว้ และใช้งานอุปกรณ์ดังกล่าวได้โดยไม่ต้องกังวลว่า มันจะส่งผลเสียต่อสุขภาพของแบตเตอรี่แต่อย่างใด
โดยคุณสมบัติ Bypass Charging จะอนุญาตให้อุปกรณ์ของคุณ เช่น สมาร์ทโฟน (Smartphone), แท็บเล็ต (Tablet) หรือแม้แต่ โน้ตบุ๊ก (Notebook) สามารถดึงพลังงานจากอะแดปเตอร์ชาร์จมาใช้งานได้โดยตรง โดยไม่ต้องผ่านตัวแบตเตอรี่ที่อยู่ในเครื่องเลยแม้แต่นิดเดียว
ตามปกติแล้ว อุปกรณ์ที่มีแบตเตอรี่อยู่ภายในตัว ต่อให้คุณจะเสียบสายชาร์จเอาไว้ พลังงานไฟฟ้าจากอะแดปเตอร์ชาร์จจะไหลเข้าสู่แบตเตอรี่อยู่ดี และอุปกรณ์ก็จะดึงพลังงานจากแบตเตอรี่มาใช้ นั่นเป็นเหตุผลว่า การชาร์จไปด้วย และใช้งานไปด้วย ในเวลาเดียวกันนั้น จะทำให้แบตเตอรี่ต้องทำงานหนัก และเกิดความร้อนสูง ส่งผลเสียต่อแบตเตอรี่ให้เสื่อมได้อย่างรวดเร็ว
โดยคุณสมบัติ Bypass Charging ได้ถูกออกแบบมาเพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว ซึ่งการทำงานก็ไม่ได้มีความซับซ้อนอะไร อันที่จริงแล้ว มันก็แค่ทำให้ตัวอุปกรณ์สามารถปรับไปดึงพลังงานจากอะแดปเตอร์ชาร์จมาใช้โดยตรง โดยที่ไม่ต้องผ่านแบตเตอรี่ก่อนเท่านั้นเอง
อย่างที่เรารู้กันดีว่า ความร้อนเป็นศัตรูตัวสำคัญที่สามารถทำให้แบตเตอรี่เสื่อมสภาพไวขึ้น เราจึงสังเกตเห็นว่าในสมาร์ทโฟน หรือโน้ตบุ๊กรุ่นใหม่ ๆ จะมีระบบถนอมแบตเตอรี่ โดยมันจะหยุดชาร์จเมื่อแบตเตอรี่สูงจนถึงจุดที่กำหนดเอาไว้ และจะเริ่มชาร์จต่อก็ต่อเมื่ออุณหภูมิของแบตเตอรี่ลดลงจนถึงระดับปลอดภัย
ซึ่งการใช้งาน ไปพร้อมกับการชาร์จแบตเตอรี่พร้อมกัน จะทำให้แบตเตอรี่ต้องทำงานหนัก และมีความร้อนสูงเกิดขึ้น แต่อย่างที่ได้อธิบายไปในหัวข้อที่แล้วว่า Bypass Charging จะอนุญาตให้อุปกรณ์ของคุณสามารถดึงพลังงานจากอะแดปเตอร์ชาร์จมาใช้งานได้โดยตรง นั่นช่วยให้ความร้อนลดลงกว่าเดิมมาก
โดย แบตเตอรี่แบบชาร์จซ้ำได้ (Rechargeable Battery) ทุกชนิด จะเก็บพลังงานด้วยสารเคมี ซึ่งสารพวกนี้จะมีการเสื่อมสภาพทุกครั้งที่มีการชาร์จแบตเตอรี่ หรือที่เรียกว่าจำนวนรอบชาร์จ (Battery Cycle) หากไม่มี Bypass Charging แบตเตอรี่จะถูกใช้ และชาร์จไปในเวลาเดียวกัน ซึ่งเป็นการเผาผลาญรอบชาร์จ แต่ Bypass Charging จะดึงพลังงานมาจากอะแดปเตอร์ชาร์จโดยตรง ทำให้ไม่เสียรอบชาร์จ ไปโดยเปล่าประโยชน์
อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์นั้นไม่ถูกกับความร้อน ความร้อนภายในอุปกรณ์ ส่วนใหญ่ก็จะเกิดจากชิปประมวลผล และแบตเตอรี่ และเมื่อความร้อนสูงขึ้น ระบบก็จะลดความเร็วในการประมวลผลของ CPU ลง (Thermal throttling) เพื่อลดอุณหภูมิลงมา แต่การทำแบบนั้นจะทำให้อุปกรณ์ทำงานได้ช้าลง ซึ่งการใช้ Bypass Charging จะทำให้แบตเตอรี่หยุดทำงาน ความร้อนที่เกิดขึ้นจึงลดลงไปด้วย
จากประโยชน์ของคุณสมบัติ Bypass Charging มันจึงเหมาะกับการใช้งานเวลาที่อุปกรณ์ต้องใช้พลังงานแบตเตอรี่แบบต่อเนื่องเป็นช่วงระยะเวลานาน ตัวอย่างเช่น
คุณสมบัตินี้ ต้องตรวจสอบที่สเปกของอุปกรณ์ ตั้งแต่ตอนที่ซื้อเลยว่า มันรองรับคุณสมบัติ Bypass Charging หรือเปล่า ?
สำหรับในโน้ตบุ๊ครุ่นใหม่ ๆ ที่วางขายในปัจจุบันนี้ ส่วนใหญ่ผู้ผลิตจะใส่คุณสมบัติ Bypass Charging มาให้แล้ว แต่บนสมาร์ทโฟนนั้น มักจะใส่มาให้แค่ในรุ่นที่เป็นระดับเรือธงเท่านั้น
ภาพจาก : https://www.androidauthority.com/galaxy-s23-bypass-charging-feature-more-phones-3282489/
|
แอดมินสายเปื่อย ชอบลองอะไรใหม่ไปเรื่อยๆ รักแมว และเสียงเพลงเป็นพิเศษ |