ถ้าพูดถึง ระบบบริหารจัดการฐานข้อมูล (Database Management System - DBMS) หลายคนคงอาจจะได้ยิน คุ้นเคยกับคำว่า SQL และ NoSQL มากันบ้าง แต่เคยสงสัยไหมว่ามันต่างกันยังไง ? ทำไมบางคนบอกว่า SQL คือตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับระบบข้อมูลขนาดใหญ่ แต่บางคนกลับบอกว่าใช้ NoSQL เหมาะกับยุคนี้ที่ต้องการความรวดเร็วมากกว่า ?
หากมองให้เห็นภาพง่าย ๆ ว่า SQL เหมือนกับ "สมุดบัญชีธนาคาร" ที่ทุกอย่างต้องมีระเบียบชัดเจน และมีโครงสร้างตายตัว แต่กลับกัน NoSQL ดันไปคล้ายกับ "กระดานไวท์บอร์ด" ที่อยากจะเขียนอะไรก็ได้ ปรับเปลี่ยนได้ตลอดเวลา ไม่มีข้อจำกัดเรื่องรูปแบบข้อมูล ซึ่งทั้งสองแบบนี้มีข้อดีข้อเสียที่แตกต่างกัน และแต่ละแบบเหมาะกับงานที่ต่างกันไป
ถ้าทุกคนกำลังคิดจะพัฒนาระบบ, เลือกฐานข้อมูลสำหรับใช้งาน หรือผู้อ่านทั่วไปที่สงสัยในประเด็นนี้ ในบทความนี้จะพาทุกคนไปรู้จัก และเข้าใจความหมายของฐานข้อมูลทั้งสองแบบ พร้อมทั้งเปรียบเทียบความแตกต่าง เพื่อให้สามารถตัดสินใจเลือกใช้ได้อย่างมั่นใจ ถ้าพร้อมแล้ว เรามาเริ่มกันเลย ...
โดยพื้นฐานแล้ว ทุกบริการไม่ว่าจะแอปพลิเคชัน หรือเว็บไซต์ต่าง ๆ เป็นระบบที่ต้องใช้ข้อมูล ซึ่งจะต้องมีเครื่องมือสำหรับจัดการ และดึงข้อมูลออกมาใช้งาน เป็นเหตุให้เกิด SQL หรือ Structured Query Language คือภาษาที่ถูกออกแบบมาเพื่อทำงานกับฐานข้อมูลโดยเฉพาะ ไม่ว่าจะเป็น ค้นหา, เพิ่ม, ลบ หรือปรับปรุงข้อมูล SQL นั้นช่วยให้เราสามารถจัดการข้อมูลใน ฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์ (Relational Database) ได้อย่างเป็นระบบ และมีประสิทธิภาพมาก

ภาพจาก : https://commons.wikimedia.org/wiki/File:Sql_data_base_with_logo.svg
แทนที่เราจะต้องบอกระบบทีละขั้นตอนว่าให้ทำอะไร SQL เพียงแต่ให้เราบอกว่าต้องการข้อมูลแบบไหน ? และระบบจะดำเนินการจัดหาให้โดยอัตโนมัติ ทำให้ SQL เป็นภาษาที่ใช้งานง่าย และได้รับความนิยมในองค์กร และนักพัฒนาทั่วโลก
SQL มีจุดกำเนิดมาตั้งแต่ช่วงปี ค.ศ.1970 (พ.ศ. 2513) โดย IBM ได้พัฒนาขึ้นภายใต้ชื่อ SEQUEL (Structured English Query Language) ซึ่งต่อมาถูกนำไปใช้โดยบริษัท Oracle และกลายเป็นภาษามาตรฐานสำหรับจัดการฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์ที่ได้รับความนิยมสูง

ภาพจาก : https://www.reddit.com/r/learnSQL/comments/1fg2qdt/in_the_1970s_ibm_created_sequel_but_due_to/?rdt=44195
ระบบจัดการฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์ (RDBMS) หรือ ระบบที่ใช้จัดการฐานข้อมูลที่มีโครงสร้างเชิงสัมพันธ์ (Relational Database) ซึ่งหมายความว่า ข้อมูลจะถูกจัดเก็บเป็นตาราง (Table) ที่มีความสัมพันธ์กัน
RDBMS จะใช้ SQL เป็นเครื่องมือหลักในการจัดเก็บ และจัดการกับข้อมูลทั้งหมด ซึ่งระบบนี้สามารถเชื่อมโยงหลายตารางเข้าด้วยกันเพื่อให้ข้อมูลมีความสอดคล้อง และเป็นระเบียบ ตัวอย่างของระบบฐานข้อมูลประเภทนี้ ได้แก่ MS SQL Server, MySQL และ MS Access โดยจะมีองค์ประกอบหลักของระบบดังนี้
ตาราง (Table) เป็นโครงสร้างพื้นฐานของฐานข้อมูล SQL ซึ่งข้อมูลจะถูกจัดเก็บในรูปแบบของ แถว (Rows) และ คอลัมน์ (Columns) ผู้พัฒนาฐานข้อมูลสามารถสร้างความสัมพันธ์ระหว่างตารางได้เพื่อที่จะปรับปรุงคุณภาพของข้อมูลที่จัดเก็บ
ตัวอย่างเช่น การสร้างตารางสินค้า (Products Table) และตารางสี (Color Table) ที่มีความเชื่อมโยงกัน ในตัวอย่างด้านล่างนี้ ตารางสินค้า (Products Table) จะเชื่อมกับตารางสี (Color Table) ผ่าน Color ID ซึ่งช่วยลดการใช้พื้นที่จัดเก็บข้อมูล และทำให้โครงสร้างฐานข้อมูลมีความเป็นระเบียบ เช่น หมอน รหัสผลิตภัณฑ์ "002" จะมีสีเชื่อมโยงกับ รหัสสี "01" ซึ่งก็คือสีแดงนั่นเอง
| Product ID | Product Name | Color ID |
| 001 | Mattress | 02 |
| 002 | | 01 |
| Color ID | Color Name |
| 01 | Blue |
| 02 | Red |
คำสั่ง SQL หรือ Query คือชุดคำสั่งที่ใช้สื่อสารกับฐานข้อมูลเพื่อทำงานต่าง ๆ เช่น ดึงข้อมูล, เพิ่มข้อมูล หรือ อัปเดตข้อมูล โดยแต่ละคำสั่งประกอบด้วยองค์ประกอบต่าง ๆ ได้แก่ ตัวระบุ (Identifiers), ตัวแปร (Variables) และเงื่อนไขการค้นหา (Search Conditions)
เราลองมาดูตัวอย่างคำสั่ง SQL INSERT ที่ใช้เพิ่มข้อมูล ที่นอน เข้าสู่ตาราง Mattress_table เราสามารถพิมพ์คำสั่งได้ดังนี้
"INSERT INTO Mattress_table (brand_name, cost)
VALUES (‘A’, ‘999’); "
ซึ่งคำสั่งนี้จะเพิ่มข้อมูล "Mattress Brand A" (ที่นอนแบรนด์ A) ที่มีราคา 999 ลงในตารางฐานข้อมูลนั่นเอง
Stored Procedure เป็นชุดของคำสั่ง SQL ที่ถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล และสามารถนำกลับมาใช้งานได้ซ้ำ ๆ โดยไม่ต้องเขียนคำสั่งเดิมหลายครั้ง นักพัฒนาซอฟต์แวร์จะใช้ Stored Procedures เพื่อเพิ่มความเร็วในการทำงาน และลดความซ้ำซ้อนในการเขียนโค้ด

ภาพจาก : https://solutioncenter.apexsql.com/how-to-create-and-use-crud-stored-procedures-in-sql-server/
กรณีตัวอย่างการใช้งาน Stored Procedure หากต้องการอัปเดตยอดขายในตารางข้อมูลขาย (Sales_Table) ให้สม่ำเสมอ นักพัฒนาสามารถสร้าง Stored Procedure เพื่อให้ระบบอัปเดตข้อมูลโดยอัตโนมัติ เมื่อมีการเรียกใช้ Stored Procedure ระบบจะดำเนินการตามคำสั่ง SQL ที่ถูกกำหนดไว้ล่วงหน้า โดยไม่ต้องป้อนคำสั่งซ้ำ ๆ ช่วยให้การจัดการฐานข้อมูลมีรวดเร็ว ลดความผิดพลาดที่อาจเกิดจากการเขียนโค้ดด้วยมนุษย์
SQL ทำงานโดยอาศัย เซิร์ฟเวอร์ (Server) ที่รับคำสั่งจากผู้สร้าง หรือจากแอปพลิเคชันที่มีผู้ใช้งานอยู่ แล้วประมวลผลข้อมูลตามที่ร้องขอ ก่อนที่จะส่งผลลัพธ์กลับมาให้ กระบวนการทำงานของ SQL แบ่งออกเป็นหลายขั้นตอน โดยแต่ละขั้นตอนมีหน้าที่เฉพาะทางดังนี้

ภาพจาก : https://blog.quest.com/sql-server-execution-plan-what-is-it-and-how-does-it-help-with-performance-problems/
เมื่อมีการส่งคำสั่ง SQL เข้ามา ระบบจะใช้ตัวแยกวิเคราะห์ เพื่อตรวจสอบโครงสร้าง และความถูกต้องของคำสั่งว่าปฏิบัติตามกฎของ SQL หรือไม่ ? เช่น ตรวจดูว่ามีเครื่องหมายปิดท้าย (;) ครบถ้วน หรือไม่ ? หากพบข้อผิดพลาด ระบบก็จะส่งข้อความแจ้งเตือน และยังมีการตรวจสอบสิทธิ์ของผู้ใช้ว่าได้รับอนุญาตให้ดำเนินการกับข้อมูล หรือไม่ ? บางข้อมูลอาจสงวนสิทธิ์เฉพาะผู้ดูแลระบบเท่านั้น
หลังจากตรวจสอบคำสั่งแล้ว ระบบจะเข้าสู่กระบวนการวางแผนเพื่อหาวิธีดำเนินการที่มีประสิทธิภาพสูงสุด ระบบฐานข้อมูลอาจเปรียบเทียบคำสั่งกับคำสั่งที่เคยใช้งานมาก่อน เพื่อนำวิธีที่เคยได้ผลดีมาใช้ซ้ำ หรืออาจสร้างแผนการประมวลผลใหม่หากเป็นคำสั่งที่แตกต่างกัน คำสั่ง SQL จะถูกแปลงให้อยู่ในรูปแบบกลางที่เรียกว่า Byte Code เพื่อให้ระบบสามารถดำเนินการได้รวดเร็วขึ้นนั่นเอง
เมื่อได้แผนที่เหมาะสม ระบบจะใช้ เอนจินจัดเก็บข้อมูล ทำหน้าที่ อ่าน, เขียน หรือแก้ไขข้อมูลลงในฐานข้อมูล โดยข้อมูลจะถูกดึงมาจากไฟล์ที่เก็บอยู่ในหน่วยความจำของเซิร์ฟเวอร์ และเมื่อดำเนินการเสร็จ ระบบจะส่งผลลัพธ์กลับไปยังแอปพลิเคชัน หรือผู้ใช้ที่ร้องขอมาในท้ายที่สุด
ปัจจุบันนี้ข้อมูลมีขนาดใหญ่ และมีความซับซ้อนสูง ซึ่งการใช้ฐานข้อมูลแบบเดิมก็อาจไม่ตอบโจทย์มากเท่าที่ควร และนี่คือจุดที่ NoSQL (Not Only SQL) เข้ามามีบทบาท NoSQL เป็นประเภทของฐานข้อมูลที่ออกแบบมาให้รองรับข้อมูลที่ไม่มีโครงสร้างแน่นอน (Unstructured Data) และสามารถขยายระบบได้ง่าย ไม่ต้องใช้โครงสร้างตารางแบบดั้งเดิมเหมือนกับ SQL

ภาพจาก : https://www.okoone.com/technologies/data/nosql/
NoSQL ต่างจากฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์อย่าง SQL ตรงที NoSQL ใช้วิธีการจัดเก็บข้อมูลที่หลากหลายมากขึ้น เช่น
จากตัวอย่างด้านบนนี้ ทำให้ NoSQL เหมาะสำหรับระบบที่ต้องการความยืดหยุ่นสูง อย่างเว็บไซต์โซเชียลมีเดีย, ระบบแนะนำสินค้า หรือแพลตฟอร์มที่ต้องจัดการข้อมูลแบบเรียลไทม์

ภาพจาก : https://blog.algomaster.io/p/sql-vs-nosql-7-key-differences
NoSQL เริ่มได้รับความนิยมในช่วงต้นยุคปี ค.ศ. 2000 (พ.ศ. 2543) เมื่อบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Google, Facebook และ Amazon ต้องจัดการข้อมูลปริมาณมหาศาล ในลักษณะที่ฐานข้อมูลแบบตารางที่ขยายตัวได้ยาก ทำให้ความต้องการ NoSQL เพิ่มขึ้นจนกลายเป็นอีกทางเลือกสำหรับองค์กรที่ต้องการความรวดเร็วในการประมวลผลข้อมูล และต้องรองรับการขยายตัวของระบบได้ดีอีกด้วย
โดยทั่วไปแล้วระบบฐานข้อมูล NoSQL มีอยู่หลายประเภท ซึ่งแต่ละประเภทก็ถูกออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์การใช้งานที่แตกต่างกัน เราลองมาดูตัวอย่างของ ประเภทระบบฐานข้อมูล NoSQL กัน
ทุกคนลองนึกถึงตู้เก็บของที่มี "ป้ายชื่อ" และ "ของข้างใน" ซึ่งฐานข้อมูลประเภทนี้ทำงานคล้ายกัน โดยเก็บข้อมูลเป็น คู่ของคีย์ (Key) และค่า (Value) เช่นเดียวกับพจนานุกรมในภาษาโปรแกรม เหมาะกับระบบที่ต้องการดึงข้อมูลอย่างรวดเร็ว เช่น ถ้าเราต้องการเก็บข้อมูลผู้ใช้ Key-Value Store อาจเก็บแบบนี้
ซึ่ง Key ก็คือ รหัสของผู้ใช้ และ ชื่อ, อายุ และเมือง ก็คือค่าที่อยู่ด้านในนั้น
ฐานข้อมูลแบบนี้เหมือนกับแฟ้มเอกสารที่เก็บไฟล์ JSON หรือ BSON ซึ่งก็คือรูปแบบการจัดเก็บข้อมูลที่ใช้โครงสร้าง คู่คีย์-ค่า (Key-Value Pairs) โดย JSON (JavaScript Object Notation) เป็นข้อความที่อ่านง่าย และใช้ได้ในหลายภาษา ส่วน BSON (Binary JSON) เป็นเวอร์ชันไบนารีที่ถูกออกแบบมาให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น รองรับข้อมูลที่ซับซ้อนกว่า และใช้ในฐานข้อมูลอย่าง MongoDB
เหมาะกับข้อมูลที่มีโครงสร้างไม่แน่นอน เช่น รายละเอียดสินค้าบนเว็บไซต์ หรือข้อมูลโปรไฟล์ผู้ใช้ เราลองมาดูตัวอย่างกัน เช่นหากต้องการเก็บข้อมูลบุคคล ใน SQL จะมีโครงสร้างตายตัวดังนี้
| ID | ชื่อ | ที่อยู่ | เบอร์โทร |
| 001 | เอ | กรุงเทพฯ | 0910000000 |
| 002 | บี | เชียงใหม่ | 0810000000 |
แต่ถ้าเป็น Document Store เราสามารถบันทึกเป็น JSON แบบนี้ได้
หรือบางครั้งอาจไม่มี "ฟิลด์ phone" ก็ได้ ทำให้มันยืดหยุ่นซึ่งเป็นจุดเด่นของ Document Store
ฐานข้อมูลแบบคอลัมน์กว้างเป็นระบบที่จัดเก็บข้อมูลในรูปแบบของ แถว (Rows) และกลุ่มของคอลัมน์ (Column Families) ซึ่งช่วยให้สามารถจัดการข้อมูลขนาดใหญ่ได้ แตกต่างจาก Key-Value Store ตรงที่ข้อมูลไม่ได้ถูกเก็บเป็นแค่คู่คีย์-ค่า แต่ยังมีโครงสร้างคอลัมน์ที่สามารถขยาย หรือปรับเปลี่ยนได้ตลอด และด้วยโครงสร้างที่จัดข้อมูลเป็นกลุ่มของคอลัมน์ (Column Families) ทำให้สามารถดึงเฉพาะบางส่วนของข้อมูลได้โดยไม่ต้องโหลดค่าทั้งหมด
ตัวอย่างเช่น ถ้าเป็น Key-Value Store
ถ้าต้องการแค่ "อีเมลของ user_002" จำเป็นจะต้องดึงค่าทั้งหมดก่อน แล้วค่อยแยกข้อมูลออกเองที่หลัง ทีนี้ เราลองมาดู Column-Family Store
| Row Key | ข้อมูลส่วนตัว (Column Family 1) | การติดต่อ (Column Family 2) |
| user_001 | ชื่อ: สมชาย, อายุ: 30 | - |
| user_002 | ชื่อ: สมหญิง, อายุ: 25 | อีเมล: NoSQL@example.com |
ข้อดีคือสามารถดึงเฉพาะบางคอลัมน์มาได้ เช่น อีเมล โดยที่เราไม่ต้องโหลดข้อมูลทั้งหมดออกมานั่นเองทำให้จัดการกับข้อมูลขนาดใหญ่ ๆ ได้ดีกว่า Key-Value Store
ฐานข้อมูลแบบกราฟใช้ โหนด (Node) และ ความสัมพันธ์ (Relationship) เพื่อเชื่อมโยงข้อมูล เหมาะกับข้อมูลที่ต้องการความสัมพันธ์ระหว่างกัน เช่น ระบบแนะนำเพื่อนบนแอปโซเชี่ยล, ระบบแนะนำสินค้า หรือโครงสร้างเครือข่าย
ตัวอย่างเช่น ในระบบฐานข้อมูล SQL ถ้าเราต้องการรู้ว่า "แซลลี่ (Sally)" เป็นเพื่อนกับ "จอห์น (John)" หรือไม่ ? อาจต้องใช้หลายตาราง เช่น
| User_ID | Name |
| 001 | Sally |
| 002 | John |
| 003 | David |
| User_ID_1 | User_ID_2 |
| 001 | 002 |
| 001 | 003 |
SQL Query ต้องทั้ง 2 ตารางเพื่อหาความสัมพันธ์ทางอ้อมระหว่าง Sally และ John โดยจะต้องใช้คำสั่ง JOIN หลายครั้งซึ่งทำให้ประสิทธิภาพลดลง แต่ใน Graph Database สามารถเก็บข้อมูลเป็นรูปแบบนี้กราฟความสัมพันธ์ได้ดังภาพ

ภาพจาก : https://aerospike.com/blog/what-is-behind-the-surging-interest-in-graph-databases/
โดยใช้โครงสร้าง Node และ Relationship แทนตาราง ทำให้ค้นหาความสัมพันธ์ได้ง่ายขึ้น ไม่ต้องใช้ การ JOIN หลายตาราง ซึ่งจะช่วยลดความซับซ้อนของโค้ด และทำให้ประมวลผลเร็วขึ้นเมื่อข้อมูลขยายตัว เพราะสามารถเข้าถึงข้อมูลที่เชื่อมโยงกันได้โดยตรง
เรามาถึงหัวข้อที่หลายคนอาจจะรอคอยกันอยู่ ในหัวข้อที่ผ่านมา เราได้พูดถึงความหมาย และองค์ประกอบของทั้ง SQL และ NoSQL กันไปแล้ว ทีนี้ เราลองมาสรุปดูกันดีกว่าว่าความแตกต่างหลัก ๆ ของทั้งสองรูปแบบฐานข้อมูลนั้นมีอะไรบ้าง ?
SQL เป็นฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์ (Relational Database) ที่จัดเก็บข้อมูลเป็น ตาราง (Tables) โดยใช้ Primary Key และ Foreign Key เพื่อสร้างความเชื่อมโยงระหว่างข้อมูล ฐานข้อมูลประเภทนี้เหมาะกับระบบที่ต้องการความเป็นระเบียบ และสามารถอ้างอิงข้อมูลข้ามตารางได้
กลับกัน NoSQL เป็นฐานข้อมูล ที่ไม่มีโครงสร้างแน่นอน (Non-Relational Database) โดยข้อมูลอาจถูกจัดเก็บในรูปแบบ Key-Value, Document, Column-Family หรือ Graph ก็ได้ ซึ่งจะช่วยให้รองรับข้อมูลที่หลากหลายกว่า และสามารถปรับเปลี่ยนโครงสร้างได้ง่าย เหมาะสำหรับระบบที่ต้องการความยืดหยุ่น
SQL ใช้ Schema แบบคงที่ (Fixed Schema) ซึ่งต้องกำหนดโครงสร้างของตารางล่วงหน้า ข้อมูลที่บันทึกลงในฐานข้อมูลต้องเป็นไปตามโครงสร้างที่กำหนด หากต้องการเปลี่ยนแปลงโครงสร้าง เช่น เพิ่มหรือลบคอลัมน์ อาจต้องมีการแก้ไขระบบครั้งใหญ่เลยทีเดียว
NoSQL ใช้ Schema แบบไดนามิก (Dynamic Schema) ทำให้ข้อมูลแต่ละรายการสามารถมีโครงสร้างที่แตกต่างกันได้ โดยไม่ต้องกำหนดล่วงหน้า การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างข้อมูลสามารถทำได้ง่ายขึ้น ซึ่งเหมาะสำหรับงานที่ต้องรองรับข้อมูลหลากหลายรูปแบบ และมีการเปลี่ยนแปลงบ่อย ๆ
SQL ใช้ Structured Query Language (SQL) ในการดึง, ค้นหา และจัดการข้อมูล ซึ่งเป็นภาษามาตรฐานที่ได้รับความนิยมสูง SQL รองรับการทำงานที่ซับซ้อน เช่น การ JOIN ตาราง และการทำธุรกรรมแบบ ACID (Atomicity, Consistency, Isolation, Durability) เพื่อให้มั่นใจว่าข้อมูลมีความถูกต้องเสมอ
NoSQL ไม่มีภาษาสืบค้นที่เป็นมาตรฐานเดียวกัน รูปแบบการจัดการข้อมูลขึ้นอยู่กับประเภทของฐานข้อมูล เช่น MongoDB ก็ใช้ JSON-Like Query, ส่วน Cassandra ใช้ CQL (Cassandra Query Language) หรือท้ายสุด Neo4j ใช้ Cypher สำหรับการค้นหาข้อมูลในกราฟ ฐานข้อมูลประเภทนี้เน้นความเร็ว และความยืดหยุ่นในการจัดเก็บข้อมูล มากกว่าการรักษาความสอดคล้องของข้อมูลนั่นเอง
SQL รองรับการขยายขนาดแบบ แนวตั้ง (Vertical Scaling) ซึ่งหมายถึงการเพิ่มประสิทธิภาพของเซิร์ฟเวอร์เพียงเครื่องเดียว เช่น เพิ่ม CPU, RAM หรือ SSD ซึ่งวิธีนี้ช่วยให้ระบบเสถียรแต่มีข้อจำกัดเรื่องต้นทุน และข้อจำกัดทางกายภาพของเซิร์ฟเวอร์
NoSQL รองรับการขยายขนาดแบบ แนวนอน (Horizontal Scaling) ซึ่งสามารถเพิ่มเซิร์ฟเวอร์หลายเครื่องเพื่อกระจายโหลดของข้อมูลผ่าน Sharding ทำให้รองรับปริมาณข้อมูลที่เพิ่มขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยระบบแบบนี้เหมาะกับข้อมูลขนาดใหญ่ที่ต้องการความเร็วสูง

ภาพจาก : https://www.scylladb.com/glossary/database-scalability/
SQL เหมาะกับระบบที่ต้องการ ความถูกต้องแม่นยำของข้อมูล และมีโครงสร้างที่แน่นอน เช่น ระบบบัญชี ระบบธุรกรรมทางการเงิน, ระบบบริหารจัดการลูกค้า (CRM) หรือระบบที่ต้องใช้การ JOIN ข้อมูลจากหลายแหล่ง
และในส่วนของ NoSQL เหมาะกับระบบที่ต้องการความยืดหยุ่นในการจัดเก็บข้อมูล และรองรับการขยายตัวของระบบในอนาคตได้ง่าย เช่นระบบโซเชียลมีเดีย, ระบบแนะนำสินค้า, ระบบเก็บบันทึกข้อมูลแบบเรียลไทม์ หรือแอปพลิเคชันที่ใช้ Big Data นั่นเอง
โดยสามารถสรุปเป็นตารางได้ดังนี้
| คุณสมบัติ | SQL | NoSQL |
| โครงสร้างข้อมูล | ตาราง (Table) | เอกสาร, คีย์-ค่า (Key-Value), คอลัมน์กว้าง, กราฟ |
| Schema | แบบคงที่ และต้องกำหนดล่วงหน้า | แบบไดนามิก เปลี่ยนแปลงได้ง่าย |
| Query Language | SQL (Structured Query Language) | ไม่มีรูปแบบตายตัว (JSON, CQL, Cypher) |
| การขยายขนาด | แนวตั้ง (ใช้การเพิ่มสเปกเซิร์ฟเวอร์) | แนวนอน (เพิ่มจำนวนเซิร์ฟเวอร์แทน) |
| การใช้งาน | ระบบบัญชี, ธุรกรรมทางการเงิน, CRM | โซเชียลมีเดีย, Big Data, ระบบแนะนำสินค้า |
| ความเร็วในการสืบค้น | | ประมวลผลข้อมูลขนาดใหญ่เร็วขึ้น |
| ความยืดหยุ่นของโครงสร้าง | น้อย เพราะต้องกำหนดโครงสร้างล่วงหน้า | สูง แต่ข้อมูลแต่ละชุดอาจมีโครงสร้างต่างกัน |
ในหัวข้อสุดท้ายเมื่อเข้าใจข้อแตกต่างระหว่าง SQL และ NoSQL แล้ว คำถามสำคัญที่หลายคนอยากรู้คือ “เราควรเลือกใช้อะไร ?” คำตอบคือ เราจะต้องพิจารณาประเภทของข้อมูล และลักษณะของระบบที่เราต้องการพัฒนา

ภาพจาก : https://dev.to/hasanelsherbiny/sql-vs-nosql-875
ระบบที่ต้องการความถูกต้องของข้อมูลสูง อย่างเช่น ระบบบัญชี และธุรกรรมทางการเงิน ก็ยังจำเป็นต้องใช้ SQL เพราะรองรับ ACID เป็นหลักการรักษาความถูกต้องของข้อมูล ที่ทำให้ทุกธุรกรรมเสร็จสมบูรณ์ โดยไม่มีข้อมูลสูญหาย หรือขัดแย้งกัน ซึ่งช่วยให้ข้อมูลมีความถูกต้อง และปลอดภัยมากกว่า
และหากระบบของเราต้องมีการเชื่อมโยงข้อมูลข้ามตาราง ก็ยัง SQL จะเป็นตัวเลือกที่เหมาะสม เนื่องจากสามารถใช้ JOIN เพื่อดึงข้อมูลที่เกี่ยวข้องกันได้ และถ้ารู้ว่าข้อมูลของเราจะมีโครงสร้างที่ตายตัว และไม่เปลี่ยนแปลงบ่อย SQL ก็เป็นทางเลือกที่ดี เพราะช่วยให้การบริหารจัดการข้อมูลเป็นระเบียบ และมีมาตรฐาน
กลับกันหากข้อมูลของเรามีโครงสร้างที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา หรืออาจจะมีหลายรูปแบบ เช่น ข้อมูลผู้ใช้บนโซเชียลมีเดีย หรือ ข้อมูลจาก อุปกรณ์สมาร์ทโฮม หรือ อุปกรณ์ IoT การใช้ NoSQL ก็จะช่วยให้การจัดการข้อมูลทำได้ง่ายขึ้น เพราะรองรับ Schema แบบไดนามิก ที่สามารถเปลี่ยนแปลงได้โดยไม่ต้องแก้ไขโครงสร้างทั้งหมด อีกทั้ง NoSQL สามารถจัดการกับระบบที่ใหญ่ และมีข้อมูลที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ด้วยความเร็วที่สูงกว่านั่นเอง
คำสำคัญ »
|
|