กระโดดข้ามเครือข่าย ใช้เน็ตผ่าน VPN ได้แม้ถูกจำกัดการเข้าถึงเว็บไซต์ที่ต้องการ

คำว่า VPN หรือ Virtual Private Network ถ้าแปลเป็นภาษาไทยว่า เครือข่ายเสมือน ก็จะยิ่ง งง ไปกันใหญ่ แต่ถ้าเปรียบเทียบว่า อยู่ๆเราใช้ Wi-Fi ที่บ้านเราไม่ได้ เพราะถูกปิดกั้นบริการบางอย่าง ก็ถือโอกาสไปขอต่อเน็ต Wi-Fi บ้านข้างๆ (ไม่ใช่ลักลอบใช้ แต่ใช้งานตามที่เขายินดีเปิดให้ใช้) เพื่อให้ใช้งานอะไรก็ตามที่เราถูกปิดกั้นบนเครือข่าย Wi-Fi บ้านเรา แต่เราก็ต้องยอมรับความเสี่ยงว่า เราอ้อมไปเส้นทางไหนที่เราไม่รู้จัก และคนอื่นๆ ที่อยู่ร่วมเครือข่ายก็ไม่รู้จักเราเช่นกัน เราจึงควรจะต้องระมัดระวังตัวเวลาที่เราไปแปลกถิ่น ไม่ควรใช้ธุรกรรมทางการเงิน ใส่เลขบัตรเครดิต การโอนเงิน เพราะอาจถูกดักข้อมูลได้

VPN เอามาใช้ทำอะไรได้บ้าง

แรกเริ่มเดิมที บริษัทต่างๆ ได้มีการสร้างเครือข่ายเสมือน VPN ไว้ให้พนักงานใช้งานนอกสถานที่ แม้พนักงานอยู่บ้าน มีความจำเป็นต้องเข้าระบบเครือข่ายของบริษัท ก็อ้อมเข้า VPN ได้ เพราะนั่นมีการเซ็ตระบบอย่างปลอดภัย เข้มงวด และมี Log ติดตามว่า User ไหนเข้ามาทำอะไรในระบบของบริษัท และจัดทำ VPN ให้สาขาต่างๆใช้ เป็นเครือข่ายเสมือนที่จำลองขึ้นมา เชื่อมโยงกัน เหตุผลคือรักษาความปลอดภัยของข้อมูล ไม่ให้ถูกดักจับข้อมูลระหว่างทาง แทนการใช้เน็ตเส้นปกติ ที่อาจถูกดักข้อมูลได้ และจำกัดให้เข้าถึงได้เฉพาะคนในองค์กรหรือผู้เกี่ยวข้องเท่านั้น

เข้าถึงบริการหรือแอปที่ถูกปิดกั้น หรือถูกจำกัดการเข้าถึง

ถ้าเราไปต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศจีน ที่มีการจำกัดการเข้าถึงบางเว็บไซต์หรือโซเชียลเน็ตเวิร์ค เช่น Facebook สิ่งที่เราทำได้ก็คือ มุดข้ามไปใช้เน็ตอีกเส้นทางด้วยโปรแกรมหรือแอป VPN Client นั่นเอง โดยหลักการของ VPN คือ การเข้าถึงเครือข่ายจำลองที่เราอ้อมเส้นทางไปยังเครือข่ายเป้าหมายที่เราเลือก ข้อเสียก็คือ ความเร็วเน็ตจะเร็วหรือช้าขึ้นอยู่กับเครือข่ายหรือเซิร์ฟเวอร์ปลายทางที่เราเข้าไปใช้งาน แต่ส่วนใหญ่เน็ตมักจะช้าลง เพราะว่าเราวิ่งอ้อมไปอีกเส้น ไม่ใช่เส้นทางปกติ

VPN อันตรายหรือไม่ เสี่ยงแค่ไหน เล่นยังไงถึงจะปลอดภัย

เหรียญมี 2 ด้าน ทุกอย่างมีคุณ และโทษ ขึ้นอยู่กับว่าเราเอาไปใช้ทำอะไร สร้างความเดือดร้อนให้ผู้อื่นหรือเปล่า ตามที่ยกตัวอย่างข้างต้น การที่เราเข้าไปแปลกถิ่น เราไม่รู้ว่าใครเป็นใคร ถ้าเราใช้เน็ตแบบปกติ เรามีผู้ให้บริการเครือข่ายอินเทอร์เน็ตหรือ ISP (Internet Service Provider) คอยคุ้มครองปกป้องเราให้ข้อมูลปลอดภัย ถ้าเกิดอะไรขึ้นเราก็ร้องเรียนผู้ให้บริการได้ แต่การเชื่อมต่อ VPN ไปยังเครือข่ายจำลองที่สร้างขึ้นมานั้น เราไม่รู้ว่าเราอ้อมไปส่วนไหนของโลก ดังนั้นพึงระมัดระวัง ความเสี่ยงในการใช้ VPN เพราะแม้ว่าเราจะไม่ได้โกง ไม่ได้เอาเปรียบผู้อื่น ใช้เน็ตในอีกเครือข่าย แต่ก็ต้องรอบคอบ ไม่ทำธุรกรรมใดๆ ที่มีเรื่องเงินเข้ามาเกี่ยวข้อง ชื่อ รหัสผ่านต่างๆ อาจถูกดักจับข้อมูล ยกเว้นเชื่อมต่อ VPN บนเครือข่ายที่เราไว้วางใจได้จริงๆ เช่น แผนกไอที สร้างเครือข่าย VPN ไว้ให้เฉพาะพนักงานเข้าใช้งานจากนอกสถานที่ โดยมี Security เข้มงวดแน่นหนา

ผลกระทบและข้อเสียที่พบจากการใช้ VPN

เน็ตช้าลง เพราะต้องวิ่งอ้อมผ่านอีกเส้นทางสถานที่ เช่น ต่างประเทศ แล้ววิ่งกลับมา ถ้าเทียบรถวิ่ง การอ้อมเส้นทางยังไงก็ช้ากว่า (ถ้าเร็วกว่าคือทางลัด) จริงๆเน็ตจะช้าหรือเร็วก็ขึ้นอยู่กับเครือข่ายปลายทางด้วย ในการใช้งานจริง บางช่วงเวลา อาจจะช้า หรือแค่เปลี่ยนเซิร์ฟเวอร์ที่ VPN ไปที่อื่น ก็เล่นเน็ตลื่นขึ้นได้

เปลืองแบตมากขึ้น อันนี้อาจจะไม่ได้เป็นผลกระทบโดยตรง แต่การเชื่อมต่อ VPN ตลอดเวลา ทำให้มีการรับส่งข้อมูลจาก แอป และโทรศัพท์ และแอปรับส่งข้อมูลกับเซิร์ฟเวอร์ที่ VPN ตลอดเวลา ทำให้เปลืองแบตมากขึ้น ดังนั้นจึงไม่ควรต่อ VPN ไม่ตลอดเวลา

อาจเสี่ยงโดนแฮก ขโมยข้อมูล 

ไม่ควรใช้ทำธุรกรรมทางการเงิน Online Banking, Internet Banking, Mobile Banking  และไม่ควรใช้ทำธุรกรรมออนไลน์ เช่น ช้อปออนไลน์ เพราะเราป้อนเลขที่บัตรเครดิต อาจถูกดักเลขบัตรเครดิตได้

พึงระวังในการเชื่อมต่อ VPN

ถึงแม้เราไม่ได้ลักลอบใช้งาน แต่การ VPN คือการเชื่อมโยงไปยังเครือข่ายจำลอง (หรือเสมือน) ซึ่งอาจจะมีมิจฉาชีพแฝงอยู่ เรามักได้ยินคำแนะนำให้ ต่อ VPN หากต่อ Wi-Fi สาธารณะ นั่นก็ใช่ แต่หากเราต่อ Wi-Fi ของใครก็ไม่รู้ แบบเค้าปล่อยให้ใช้ฟรี ซึ่งอาจปล่อยสัญญาณไว้เพราะตั้งใจหลอกดักข้อมูลเราก็เป็นได้ แต่ในความเป็นจริงแล้ว Wi-Fi สาธารณะบ้านเรา เช่น 3BB Wi-Fi, True Wi-Fi, AIS Wi-Fi, dtac Wi-Fi มีกฎหมายกำหนดเข้มงวดให้ต้องลงทะเบียนด้วยบัตรประชาชน มีการเก็บ Log เก็บข้อมูล เก็บ IP Address ตามกฎหมายเพื่อตรวจสอบการกระทำผิดทางคอมพิวเตอร์ ดังนั้น คำว่า เมื่อต่อ Wi-Fi สาธารณะ ควรต่อ VPN จะปลอดภัย ก็ต้องพิจารณาตรงนี้ด้วย เรียกว่ารู้รักษาตัวเองให้รอดไว้ดีที่สุด

อย่าเอาเปรียบใคร และริจะใช้ VPN ต้องยอมรับความเสี่ยงเอง

คำว่า "อย่าเอาเปรียบใคร" ย้ำหนักเพราะว่า มีบางคน แนะนำการใช้ VPN ในทางที่ไม่เหมาะสม เช่น ทำให้เล่นเน็ตมือถือได้แบบไม่เสียเงินค่าแพ็กเกจ ซึ่งถ้าเกิดอะไรขึ้นคุณก็ต้องยอมรับความเสี่ยงเอาเอง และในการ VPN นั้น เราจะไม่ได้รับความคุ้มครองใดๆจาก ISP เพราะไม่ได้ใช้งานบนเครือข่ายของเขา ณ ขณะนั้น เรียกร้องค่าเสียหายอะไรไม่ได้ หรือแอบเล่น Social Network ในบริษัท เสี่ยงทั้งทำผิดกฎบริษัท และเอาเปรียบเพื่อนร่วมงาน กติกาก็คือกติกาและต้องอยู่ในขอบเขตที่เหมาะสม และผู้เขียนบทความ มองว่าถ้าบริการ VPN จะต้องเสียเงิน ก็เสียเงินไป ยอมรับและแลกกับความสะดวกสบายในการใช้งานกรณีถูกจำกัดการเข้าถึง

โฆษณาจากผู้ให้บริการ VPN ไม่ได้สวยหรูเสมอไป

ผู้เขียน สำรวจการโฆษณาของบริการ VPN ต่างๆ ที่ชวนเชื่อให้เห็นข้อดีของการ VPN แต่ไม่เห็นการเตือนให้ระมัดระวัง แต่กลับเป็นการบอกว่า ใช้ VPN สิ ปลอดภัย ซ่อน IP ซ่อน Location จริงอยู่ว่าอาจจะปลอดภัยสำหรับเราในมุมที่เราคิดตามผู้ให้บริการ VPN แต่อย่าลืมว่า คนอื่นๆก็แอบแฝงมาเกาะในเครือข่าย VPN ของเราได้เหมือนกัน ไม่ใช่ว่าเราจะใช้ VPN เครือข่ายนั้นๆคนเดียวสักหน่อย แต่ข้อดีของ VPN คือการเข้ารหัสทำให้เราปลอดภัย และท่องเน็ตอย่างไร้ตัวตน หรือล่องหน ทำให้ไม่มีใครรู้ว่าเราเป็นใคร (แต่เราก็ไม่รู้ว่าคนอื่นเป็นใครเหมือนกัน) เอาเป็นว่าจะทำอะไรก็ระมัดระวัง Username / Password ของทุกบัญชีเราให้ดี เห็นลางไม่ดีรีบเปลี่ยนรหัสผ่านโดยด่วน

ความเสี่ยงจาก VPN เคยเจอกับตัวไหม?

ผู้เขียนเคย VPN ไปยังต่างประเทศ ผ่านคอมพิวเตอร์ แน่นอนว่าหลอก IP และ Location เป็นต่างประเทศชนิดแนบเนียน แล้วดันเผลอใช้ Facebook บนคอมพิวเตอร์ผ่านบราวเซอร์ที่เป็น VPN ผลคือโดนล็อกบัญชี Facebook ยาว 1 วัน (24 ชั่วโมง) ล็อกอินไม่ได้ เข้าใช้งานไม่ได้ เพราะ Facebook อ้างอิง Location ในการใช้งาน เมื่อพบการบินโดดไปอีกเซิร์ฟเวอร์อย่างผิดปกติ เพราะ 1 นาทีก่อนหน้า เรายังอยู่ Bangkok นาทีต่อมา ไปโผล่ที่ USA ทาง Facebook ก็เลยบล็อกบัญชีเราไปเลย เพื่อป้องกันบัญชีผู้ใช้ถูกแฮก

สิ่งที่ต้องมีในการใช้งาน VPN

บทความนี้ จะแนะนำการใช้งาน VPN อย่างถูกกฎหมาย และไม่เอาเปรียบใคร บริการ VPN Client จะมีทั้งบนคอมพิวเตอร์ เป็นโปรแกรม เป็นบริการบนเบราวเซอร์ และแอปบนมือถือ ทั้ง iOS และ Android ในตัวอย่าง เราขอแนะนำแอปบนโทรศัพท์มือถือ iOS / Android หรือถ้าบนคอมก็มีโปรแกรมหรือใช้บนเบราวเซอร์ หลักการคล้ายๆกัน ทุกๆแอปมีการทำงานเหมือนกันคือ ใช้แอปในการ Connect เชื่อมต่อเน็ต VPN ให้ไปวิ่งอีกท่อ (เซิร์ฟเวอร์) ที่ไม่ใช่ท่อปกติที่เราใช้งาน โดยเราจะเลือกได้ว่าจะไปวิ่งที่เซิร์ฟเวอร์ประเทศไหน ท้องถิ่นไหน บางบริการใช้ฟรี บางบริการเสียเงิน บางบริการให้ใช้ฟรีแต่มีข้อจำกัด ถ้าใช้มากกว่านั้นก็เสียเงินเพิ่ม

เมื่อติดตั้งแอป VPN แล้ว เราจะใช้ตัวแอป VPN เชื่อมต่อไปยังเซิร์ฟเวอร์ในท้องถิ่นที่เราต้องการ และมีสัญลักษณ์แจ้งเราว่ากำลังเชื่อมต่อเครือข่ายเมืองใด ประเทศใดอยู่ ความอิสระของการใช้งาน VPN คือ โดดไป VPN ได้หลายเมือง หลายประเทศ อันนี้ใช้ไม่ได้หรือช้า ก็โดดไปอีกประเทศนึง

วิธีการใช้งาน

ขออนุญาตยกตัวอย่างแอป EasyOvpn ซึ่งเป็นปลั๊กอินของแอป OpenVPN แต่มีข้อจำกัดว่า แอปนี้เป็นปลั๊กอินที่ไม่สามารถทำงานได้อย่างอิสระ จะต้องติดตั้งแอป OpenVPN Connect หรือ OpenVPN for Android" หรือ "OpenVPN Settings" ก่อน กรณีนี้ผู้เขียนได้ติดตั้งแอป OpenVPN Connect ไว้ก่อนหน้านี้แล้ว

ข้อดีคือ เป็นแอป VPN ที่ใช้งานง่ายมาก และ ฟรี แค่เลือกเซิร์ฟเวอร์ > Copy Profile > Connect 

เมื่อเปิดแอป หน้าจอแรกจะมีเซิร์ฟเวอร์ประเทศต่างๆให้เราเลือก ตัวอย่าง เลือกเซิร์ฟเวอร์ญี่ปุ่น แอปจะทำการ Import Profile ของเซิร์ฟเวอร์ JP มาเก็บไว้

เราก็ตอบรับ เพื่อยืนยันการเชื่อมต่อ

พร้อมแล้วกดปุ่ม Connect แอปจะทำการเชื่อมต่อไปยังเซิร์ฟเวอร์ JP ที่เราเลือกไว้ ถ้าสถานะ Connected ก็ใช้งานได้ เราก็โดดไปใช้เซิร์ฟเวอร์ญี่ปุ่นได้เลย

หน้าจอนี้คือเชื่อมต่อกับเซิร์ฟเวอร์ญี่ปุ่นแล้วเรียบร้อย

นอกจากนี้ยังปรับแต่งค่าต่างๆได้ตามต้องการ

Battery Saver เหมือนกับที่เราอธิบายไปตอนต้นบทความว่า การใช้ VPN เปลืองแบต แต่ถ้าหน้าจอดับ หรือหากไม่ได้ใช้งานแอปอะไรเลย จะกำหนดให้ปิดการเชื่อมต่อ VPN ชั่วคราวก็ทำได้

หรือถ้าปิดเครื่อง เปิดใหม่ อยากจะให้ Connect VPN เลยก็กำหนดได้ รวมไปถึง ถ้าใช้เซิร์ฟเวอร์นั้นบ่อยๆ จิ้มตัวเลือก มุมขวาบน เลือก Add Shortcut บนหน้าจอมือถือได้

แนะนำบริการ VPN ที่น่าสนใจ

Express VPN

Private Tunnel VPN

Opera VPN

ทางเลือกในการเชื่อมต่อ VPN ข้ามประเทศ

ใช้โหลดสติกเกอร์ LINE จากต่างประเทศ

ข้อกำหนดคือ บัญชี LINE จะต้องลงทะเบียนผ่านอีเมล และ Link Facebook ไม่มีการลงทะเบียนด้วยเบอร์มือถือเด็ดขาด เมื่อเชื่อมโยงไปยังประเทศใด ก็สามารถเข้าไปโหลดสติกเกอร์ประเทศนั้นๆได้ฟรีผ่าน LINE Sticker Shop เช่น ประเทศญี่ปุ่น ก็จะมีสติกเกอร์ญี่ปุ่นให้โหลด ถ้าจะหาโหลดฟรีก็เลือกได้เลย ถ้าไม่ได้ หลุด ก็ให้ต่อใหม่

ใช้ Social Network ที่จีน (อยู่จีน แต่อยากใช้ Social Network ที่ถูกปิดกั้น)

อย่างที่เราทราบกันว่า ถ้าใครไปจีน จะถูกจำกัดการเข้าถึง Social Network รวมไปถึง Google อากู๋สุดที่รักของเรา เราสามารถใช้ VPN เพื่อข้ามมาที่ประเทศไทย หรือประเทศอื่นๆ เพื่อใช้งาน Facebook, Google ได้ ขอให้ไม่ใช่เซิร์ฟเวอร์ที่จีนก็พอ ส่วน LINE ที่จีน ในเว็บไซต์ bullvpn.com แนะนำว่าให้อ้างอิงเบอร์ไทยไว้ ห้ามใส่เบอร์ที่จีน และเสริมว่า ถ้าจะใช้ VPN ที่จีน ให้ใช้กับเครื่องที่ไม่มีซิมการ์ดใส่ไว้ ใช้ต่อ Wi-Fi จะเป็นทางสะดวกที่สุด อ้างอิง https://bullvpn.com/blog/howusechina

VPN เพื่อเล่นเกมส์

ใครที่เล่นเกม แล้วเจอปัญหา Ping สูง Lag หลุดบ่อย การ VPN ก็ช่วยให้เราเชื่อมต่อกับเซิร์ฟเวอร์เกมได้เสถียรขึ้น ของไทยเรามีบริการ www.vpn4games.com ทดลองใช้ฟรี 1 วัน แพ็กเกจต่ำสุด 7 วัน 50 บาท ถ้าทั้งปี 365 วัน 1400 บาท ใช้ได้ทั้งบนคอมพิวเตอร์ และมือถือ

ทางเลือกอื่น นอกจาก VPN?

ถ้าหากไม่ใช้ VPN มีอีกคำแนะนำคือการ Remote เหมือนถึงการเข้าถึงคอมพิวเตอร์อีกเครื่องจากระยะไกล วิธีนี้มีข้อเสีย ก็คือ จำเป็นจะต้องเปิดคอมอีกเครื่องไว้ตลอดเวลา เช่น อยู่ออฟฟิศ อยากจะรีโมทเข้ามาใช้คอมที่บ้าน แต่คอมที่บ้านจะต้องเปิดตลอดเวลาและต่อเน็ตตลอดเวลา หรือถึงแม้ไม่เข้าออฟฟิศ ก็เปิดคอมที่บริษัทไว้ แล้วรีโมทจากคอมที่บ้านไปทำงาน Copy ไฟล์ เพื่อทำงานได้ เอาข้อมูลจากคอมออฟฟิศมาใช้ทำงานต่อได้ แต่ก็ไม่ปลอดภัยนัก เพราะมันคือการเข้าถึงข้อมูลแบบสวมรอยเราควบคุมคอมบริษัทเลย

บริการที่แนะนำคือ TeamViewer ตัวอย่างในปัจจุบันเห็นได้จากแผนกไอทีใช้การรีโมทจากโต๊ะทำงานตนเองไปลงโปรแกรม ตั้งค่าต่างๆบนเครื่องพนักงาน แต่ทั้งเครื่องหลัก และเครื่องลูก จะต้องต่ออินเทอร์เน็ตและเปิดไว้ทั้งคู่ ในกระทู้ Pantip ก็มีคนแนะนำว่า ไปจีน แล้วรีโมทมาใช้คอมที่บ้านได้ ซึ่งอาจจะมีการหน่วง ช้า และต้องมีข้อแม้ว่า ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตหรือ ISP ทั้งที่จีนและไทย ต้องไม่บล็อกบริการ Remote ด้วย

และที่บอกเล่ามาทั้งหมดก็คือ VPN เครือข่ายเสมือน ที่ฟังดูอิสระ ไร้พรมแดน แต่จะมีอะไรแฝงมาด้วยนั้นก็ต้องรับความเสี่ยงกันเอาเอง และควรระมัดระวังในการใช้งาน VPN เพราะสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือข้อมูลส่วนตัวของเรานั่นเองที่อาจถูกมือ (ไม่) ดี พยายามโฉบบัญชีเราไปจากสิ่งล่อตาล่อใจอย่างสติกเกอร์ก็เป็นได้ เช่น อยากได้สติกเกอร์นี้ พิมพ์อีเมลและเบอร์โทร หรือทำหน้าล็อกอินปลอมหลอกเรา ต้องพิจารณาให้รอบคอบและมีสติครับ