ในบรรดาระบบปฏิบัติการบนคอมพิวเตอร์ Windows จาก Microsoft เป็นระบบปฏิบัติการที่มีผู้ใช้มากที่สุดในโลก จากการสำรวจเมื่อเดือนกรกฎาคม ปี ค.ศ. 2020 (พ.ศ. 2563) มันครองส่วนแบ่งมากถึง 77.74%
ซึ่งกว่า ระบบปฏิบัติการ Windows จะมาถึงทุกวันนี้ ได้ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย มีการ ล้มลุกคลุกคลานมาหลายเวอร์ชัน และไม่ใช่ทุกเวอร์ชันที่ประสบความสำเร็จ มี Windows หลายเวอร์ชันที่ได้รับเสียงวิจารณ์ในแง่ลบ แต่ก็มี Windows อยู่ 3 เวอร์ชัน ที่โดนหนักกว่าเพื่อน มันจะเป็นเวอร์ชันไหน มาย้อนอดีตกันหน่อยดีกว่า
ระบบปฏิบัติการ Windows ME หรือชื่ออย่างเป็นทางการว่า Windows Milennium Edition แต่ด้วยความแย่ของมัน ผู้คนจึงตั้งชื่อให้มันใหม่ว่า Mistake Edition หรือแปลไทยได้ว่า เวอร์ชันที่ผิดพลาด มันเปิดตัวในช่วงปลายปี ค.ศ. 2000 (พ.ศ. 2543) และเป็นระบบปฏิบัติการ Windows เวอร์ชันสุดท้ายที่ถูกตั้งชื่อด้วยสไตล์ Windows 9x
ภาพจาก https://sites.google.com/site/os5810122115002/windows-me
ความเห่ยของระบบปฏิบัติการ Windows ME ไม่ใช่ว่าได้มาเพราะโชคช่วย เรื่องนี้มันมีที่มาที่ไปของมันอยู่ ในตอนต้นปี ค.ศ. 2000 (พ.ศ. 2543) ทาง Microsoft เพิ่งจะเปิดตัวระบบปฏิบัติการ Windows 2000 ที่พัฒนาขึ้นมาเพื่อเน้นการใช้งานในระดับธุรกิจ เวลานั้น Windows 98 เพิ่งจะมีอายุแค่ประมาณ 2 ปีเท่านั้น ส่วน Windows XP ก็ยังพัฒนาไม่เสร็จ อย่างไรก็ตาม Microsoft ต้องการเรียกกระแสด้วยการเปิดตัวระบบปฏิบัติการเวอร์ชันใหม่ ผลที่ได้ออกมา ก็คือ Windows ME นั่นเอง
อายุขัยของ Windows ME จบลงอย่างรวดเร็ว ด้วยความที่ Microsoft รีบปล่อยมันออกมา ทำให้มันกลายเป็นผลิตภัณฑ์ที่เหมือนยังไม่เสร็จ มีความอิหลักอิเหลื่อบนรอยต่อระหว่าง Windows 9x และระบบใหม่อย่าง Windows XP ที่ปล่อยออกมาตามหลังช่วงปลายปี ค.ศ. 2001 (พ.ศ. 2544) ซึ่ง Windows XP ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ขนาดในปี ค.ศ. 2015 (พ.ศ. 2558) ที่ Windows 7 กำลังฮิต มันยังมีส่วนแบ่งในตลาดมากถึง 16.94% เลยทีเดียว ส่วน Windows ME นั้น ถูกทิ้งหยุดสนับสนุนไปตั้งแต่ปี ค.ศ. 2006 (พ.ศ. 2549) ทั้งๆ ที่เปิดตัวออกมาก่อนหน้าแค่ประมาณปีเดียวเท่านั้น
ภาพจาก https://redmondmag.com/articles/2015/04/08/windows-xp-usage.aspx
ในทางซอฟต์แวร์แล้ว Windows ME ก็คือ Windows 98 ที่มีการเพิ่มคุณสมบัติใหม่ๆ เข้ามาเท่านั้นเอง อย่างไรก็ตาม บางคุณสมบัติใหม่ที่ถูกเพิ่มเข้ามานั้น อย่างเช่น System Restore ที่เต็มไปด้วยบั๊ก นอกจากนี้ Windows ME ยังเอาโหมด DOS ใน Windows 98 ออก ซึ่งเดิมทีมันถูกเอาไว้ให้ผู้ใช้ติดตั้งพวกซอฟต์แวร์เก่าๆ ได้ ซึ่งในเวลานั้นถือว่ายังเป็นคุณสมบัติที่หลายคนยังต้องการใช้งานอยู่
เว็บเบราว์เซอร์อย่าง Internet Explorer (IE) เวอร์ชัน 5.5 บน Windows ME ก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่ง เนื่องจากมันทำงานได้ช้ามาก ซึ่งเวลานั้นไม่มีตัวเลือกอื่นให้ใช้มากเท่าไหร่ Firefox และ Chrome ยังไม่มีให้ใช้งานด้วยซ้ำไป
นอกจากนั้น ผู้ใช้งานส่วนใหญ่ยังพบประสบการณ์ด้านการใช้งานที่น่าเศร้า มีรายงานว่า Windows ME มีประสิทธิภาพที่ย่ำแย่ มันทำงานช้า แครชบ่อย บ่อยครั้งที่มันแครชเพียงเพราะว่า ผู้ใช้ปล่อยเครื่องไว้เฉยๆ แค่ไม่กี่นาที พอกลับมาขยับเมาส์อีกที ก็เจอ BSOD ซะแล้ว
ถ้าจะโทษ ก็คงต้องโทษที่โครงสร้างสถาปัตยกรรมของ Windows 9x ที่เริ่มล้าสมัย บวกกับการที่ Windows ME ถูกพัฒนาอย่างเร่งรีบภายในเวลาที่จำกัด จึงไม่น่าแปลกใจที่เมื่อ Windows XP ถูกปล่อยออกมา ระบบปฏิบัติการ Windows ME ก็กลายเป็นสิ่งที่คนไม่อยากจะกลับไปใช้งานอีกต่อไป
หากคุณเกิดไม่ทันใช้งานระบบปฏิบัติการ Windows ME แล้วถูกถามว่า Windows เวอร์ชันไหนห่วยบ้าง คำตอบก็น่าจะเป็น ระบบปฏิบัติการ Windows Vista ที่เปิดตัวในปี ค.ศ. 2007 (พ.ศ. 2550) นี่แหละ
ถึงแม้ว่า Windows Vista จะแย่ แต่ความแย่ของมันก็แตกต่างจาก Windows ME นะ เพราะมันถูกสร้างขึ้นมาใหม่ มีความแตกต่างไปจาก Windows XP ไม่เหมือนกับ Windows ME ที่เหมือนจับ Windows 98 มาตกแต่งเฉยๆ
ภาพจาก https://en.wikipedia.org/wiki/Windows_Vista
"ชื่อเสีย" ที่สุดของ Windows Vista ที่มักถูกพูดถึง คือ ระบบ User Account Control (UAC) มันเป็นระบบที่ถูกพัฒนาขึ้นมาเพราะปัญหาด้านความปลอดภัยที่มีใน Windows XP เพราะซอฟต์แวร์ส่วนใหญ่ของ Windows XP จำเป็นต้องใช้งานในบัญชี Admin เท่านั้น ถึงจะสามารถทำงานได้ บัญชีปกติแทบจะทำอะไรไม่ได้เลย
ผลก็คือ คนจำนวนมากใช้งานบัญชีระดับ Admin ตลอดเวลา ซึ่งนั่นไม่ใช่แนวทางที่ปลอดภัยของคอมพิวเตอร์
เพื่อให้ซอฟต์แวร์ต่างๆ สามารถทำงานในสิทธิ์ระดับ Administrative ได้ UAC จึงสร้างขึ้นมา เพื่อให้ผู้ใช้ทำการยืนยันก่อนว่า พวกเขายินยอมให้ซอฟต์แวร์ดังกล่าวสามารถเปลี่ยนแปลงไฟล์ในระบบคอมพิวเตอร์ได้ ซึ่งความจริงมันเป็นระบบที่ดี ทุกวันนี้ Windows 10 ก็ยังคงใช้งานคุณสมบัตินี้อยู่ แต่เวลานั้นมันยังไม่ได้ถูกพัฒนามาให้ทำงานได้ดีเท่าปัจจุบันนี้ กล่าวได้ว่าใน Windows Vista แทบทุกครั้งที่คุณคลิกไอคอนอะไรก็ตาม คุณก็ต้องกดยืนยันอะไรสักอย่างด้วยเสมอ
หากเทียบกับ Windows XP แล้ว ตัวระบบปฏิบัติการ Windows Vista มีความต้องการฮาร์ดแวร์ที่ทรงพลังกว่า Windows XP มาก ซึ่งมันก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะมันออกมาหลัง Windows XP ตั้งหกปี มาพร้อมกับคุณสมบัติใหม่มากมาย รวมถึงหน้าตาที่สวยงามมีกราฟิกอนิเมชันเพิ่มเข้ามาเพียบ อย่างไรก็ตาม Microsoft ก็ต้องเผชิญปัญหากับผู้ผลิตคอมพิวเตอร์ในเรื่องความต้องการของฮาร์ดแวร์
Windows Vista มีความต้องการทรัพยากรเครื่องสูงมากในการทำงาน หากใช้งานบนเครื่องสเปกต่ำๆ มันจะทำงานได้ช้า ให้ประสบการณ์ที่แย่แบบสุดๆ แก่ผู้ใช้ แต่ทว่าผู้ผลิตคอมพิวเตอร์ก็ยังดึงดันจะแปะสติกเกอร์ยืนยันว่าคอมพิวเตอร์ของตน "รองรับการใช้งาน Windows Vista" ลงบนเครื่องคอมพิวเตอร์ แม้ว่าสเปกที่ให้มานั้นจะแค่พอทำงานได้ ทำให้ผู้คนจำนวนมากที่ซื้อคอมพิวเตอร์เครื่องใหม่เพื่อหวังใช้งาน Windows Vista ต้องเผชิญกับความอืดแบบสุดๆ
อีกปัญหาหนึ่งก็คือเรื่องไดร์เวอร์ ด้วยความที่ Windows XP มีช่องโหว่เยอะมาก Microsoft จึงเปลี่ยนโมเดลการจัดการไดร์เวอร์ใหม่ที่ทำให้ตัวระบบมีความเสถียร ช่องโหว่ลดลง และช่วยลดอาการแครช BSOD ไปได้เยอะกว่าเดิมเมื่อเทียบกับ Windows XP
อย่างไรก็ตาม ความเปลี่ยนแปลงนี้เป็นเรื่องค่อนข้างใหม่ ผู้พัฒนาจำเป็นต้องใช้เวลาในการเรียนรู้ใหม่ด้วยเช่นกัน ของที่เคยใช้ได้ ไดร์เวอร์เก่าจำนวนมากไม่ได้รับการอัปเดตจากผู้พัฒนาตามไปด้วย ส่งผลให้ผู้ใช้งานที่พยายามใช้ซอฟต์แวร์เก่า และอุปกรณ์ตัวเก่าบน Windows Vista ไม่สามารถใช้งานได้ หรือได้แต่ก็แครชค้างไปซะแบบนั้น
จะว่าไป Microsoft Vista ก็มีความเหมือนกับ Windows ME อยู่ตรงที่ เป็นระบบปฏิบัติการที่อยู่ระหว่างรอยต่อของโครงสร้างแบบเก่ากับโครงสร้างแบบใหม่ หลังจาก Microsoft Vista เปิดตัวได้ 2 ปี ทาง Microsoft ก็เปิดตัว Windows 7 ซึ่งมีทุกสิ่งทุกอย่างที่ Windows Vista ควรจะเป็น และแก้ไขปัญหาใหญ่ที่ Vista เคยมีให้เรียบร้อย
ระบบปฏิบัติการ Windows 8 ได้ถูกปล่อยออกมาในปึ ค.ศ. 2012 (พ.ศ. 2555) เป็นหนึ่งในระบบปฏิบัติการ Windows สุดแย่ที่หลายคนยังคงจดจำกันได้เป็นอย่างดี
สำหรับคนส่วนใหญ่แล้ว ปัญหาใหญ่ของ Windows 8 คือ การที่หน้าตาของมันถูกเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมมากแบบไร้เหตุผล มันออกหลังจาก Windows 7 เพียงสามปี ซึ่งคนจำนวนมากยังหลงรัก UI/UX ของมันอยู่ หลังจากผ่านประสบการณ์อันเลวร้ายของ Windows Vista มา ประสบการณ์ดีๆ ของ Windows 7 ที่หน้าตาสวยงาม และทำงานได้รวดเร็วมันยังไม่ได้หายไปไหน
แต่ Microsoft ไม่ได้สนใจสิ่งเหล่านั้น ด้วยการมองการณ์ไกลถึงอนาคต ความหวังที่จะทำให้ระบบปฏิบัติการ Windows สามารถใช้งานได้บนอุปกรณ์หลากหลายประเภทมากขึ้น แม้แต่ปุ่ม Start ที่อยู่คู่กับ Windows มาอย่างยาวนานยังถูกตัดออกไปจาก Windows 8 หลังจากที่มีมาตั้งแต่ยุค 90 (ก่อนจะนำกลับมาใน Windows 8.1)
ภาพจาก https://arstechnica.com/information-technology/2012/04/windows-8-on-the-desktopan-awkward-hybrid/
ความพินาศยังไม่จบเพียงเท่านั้น Windows 8 ได้มาพร้อมกับ Windows Store แหล่งดาวน์โหลดซอฟต์แวร์แห่งใหม่ที่พยายามที่จะเป็นศูนย์กลางการติดตั้งโปรแกรมบน Windows ด้วยการแนะนำซอฟต์แวร์แบบใหม่ที่เรียกว่า Metro Style Apps แอปพลิเคชันรูปแบบใหม่ที่สามารถแสดงผลใช้งานได้บนอุปกรณ์หลากหลายประเภท ไม่จำกัดแค่การใช้งานอยู่บน Desktopเพียงอย่างเดียว
อย่างไรก็ตาม Windows Store กลายเป็นแหล่งรวมแอปพลิเคชันไร้คุณภาพ (ทุกวันนี้ก็ยังไม่ค่อยมีผู้พัฒนาให้ความสนใจอยู่ดี) นอกจากนี้ แอปพลิเคชันเหล่านั้น ยังมีความซ้ำซ้อนกับซอฟต์แวร์เดิมที่มีอยู่แล้ว ทำให้การใช้งานมีความยุ่งยากชวนสับสน อย่างตัวผู้เขียนเองก็มีประสบการณ์ตรงกับ Skype ที่ทั้งสองตัวทำงานพร้อมกันแล้วมีความวุ่นวายเกิดขึ้น
บรรดาแอป Modern (หรือ Metro) ก็เป็นอีกปัญหาหนึ่ง การใช้งานแอปพลิเคชันบนสมาร์ทโฟนมันเป็นเรื่องดี และสะดวกกว่าการใช้งานผ่านหน้าเว็บบนสมาร์ทโฟน ซึ่ง Windows 8 รองรับการใช้งานกับจอสัมผัส แอปพลิเคชันเหล่านี้ทำออกมาเพื่ออุปกรณ์ Windows ที่อยู่ในรูปแบบของแท็บเล็ต แต่พอเรามาใช้แอปพลิเคชันเหล่านี้ผ่านเมาส์ และคีย์บอร์ด ประสบการณ์การใช้งานมันก็ออกมาไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก
ยังมีอีกหลายส่วนที่ Windows 8 นั้นขัดใจผู้ใช้ อย่างการตั้งค่าที่เดิมทีเราจะเข้าไปที่ส่วนของแผงควบคุม (Control Panel) ก็มีการเพิ่มแอปพลิเคชันตั้งค่า (Settings) เข้ามา ซึ่งมันสร้างความสับสนว่าควรจะเข้าไปปรับที่ไหนกันแน่ หรือการเปิดรูปภาพบน Desktop มันก็จะพาคุณไปยังแอป Photos ทันที ซึ่งเป็นผลลัพธ์ที่เราอาจไม่ได้ต้องการเลย
การออกแบบหลายส่วนของ Windows 8 เน้นการใช้งานผ่านจอสัมผัสเป็นหลัก จนมองข้ามผู้ใช้งานเมาส์ และคีย์บอร์ดไป อย่างเช่น Charms Bar ที่เรียกใช้งานด้วยการปัดหน้าจอจากด้านข้างของขอบจอ ใช้นิ้วมันก็ง่ายแหละ แต่พอต้องใช้เมาส์ในการเรียก Charms Bar มันจะรู้สึกท่ายากขึ้นมาทันที แม้แต่การสั่งปิดเครื่อง (Shut down) เรื่องง่ายๆ ยังกลายเป็นปัญหา เพราะผู้ใช้ใหม่หาปุ่มปิดเครื่องไม่เจอ (ต้องเรียก Charms Bar ขึ้นมา คลิก Power แล้วจะมีเมนู Shut down ขึ้นมา) นั่นสะท้อนให้เห็นถึงความผิดพลาดในการออกแบบของ Microsoft
แล้วคุณผู้อ่านล่ะ คิดว่าระบบปฎิบัติการ Windows เวอร์ชันไหนที่แย่ที่สุด ลองแสดงความเห็นกันได้นะครับ :)
|
แอดมินสายเปื่อย ชอบลองอะไรใหม่ไปเรื่อยๆ รักแมว และเสียงเพลงเป็นพิเศษ |
ความคิดเห็นที่ 2
8 ธันวาคม 2563 08:39:54
|
||
GUEST |
นิรเนม
ส่วนตัวมองว่า microsoft ควรจะรู้จุดแข็งตัวเอง เช่น หน้า desktop, windows explorer ไรพวกนี้ ไม่ควรดึงอะไรที่เป็นของชาวบ้านมาผสม เพราะคนที่ใช้ windows ก็เพราะเค้าสะดวกกับอะไรที่เป็น windows ถ้าจะเป็นโหมดรึเวอร์ชั่น mobile ก็ควรแยกไปเพราะโปรแกรมมันคนละรูููููปแบบการใช้อยู่แล้ว กับเครื่องคอมมันคือเม้าส์และคียบอร์ดเป็นหลัก อะไรที่แข็งก็ควรคงไว้ นี่ถ้าไม่ใช่เพราะไม่มีทางเลือกอื่นในตลาด ไมโครซอฟท์ิิิิิิิาจจะลำบากกว่านี้ก็ได้นะเนี่ย |
|
ความคิดเห็นที่ 1
8 ธันวาคม 2563 00:29:39
|
||
GUEST |
ผ่านมา
หลังจากผ่านการตะบี้ตะบันอัพเดต ตอนนี้วินสิบก็เริ่มแย่แล้วถึงขั้นเลวร้ายสุดๆก็ตอนอัพเดตสตาทเมนูใหม่นี่แหละมีบั๊คที่ทำให้กดสตาทเมนูไม่ได้ จะรีเครื่องหรือปิดเครื่องต้องพึ่งคอนโซลอย่างเดียว
|
|