วิธีเลือกซื้อการ์ด microSD กับ 5 ข้อผิดพลาด ที่ผู้ใช้ควรระวัง !

วิธีเลือกซื้อการ์ด microSD กับ 5 ข้อผิดพลาด ที่ผู้ใช้ควรระวัง !

เมื่อเราซื้อโทรศัพท์มือถือ Android กล้องดิจิตอล หรือ แกดเจ็ต (Gadget) ใหม่ๆ ที่ต้องการความจุเพิ่มเติม เราก็มักจะหาซื้อการ์ด microSD มาด้วยใช่ไหมล่ะ ? การจะเลือกซื้อการ์ด microSD สักอันดูเผินๆ เหมือนจะเป็นเรื่องง่าย แต่เอาจริงๆ มันไม่ง่ายเลย

เพราะมีหลายต่อหลายครั้ง ที่ผู้ใช้งานซื้อ microSD ไปใช้ในตอนแรกๆ มักจะซื้อผิด จนสุดท้ายก็ต้องหาซื้อใหม่ ทำให้เสียทั้งเงินและเวลา และในบทความนี้เองจะมาบอกเกี่ยวกับ 5 ข้อผิดพลาด ที่ผู้ใช้ควรระวัง! เมื่อเลือกซื้อการ์ด microSD จะต้องดูแบบไหน ระวังเรื่องอะไรบ้าง มาดูไปพร้อมๆ กัน

1. ซื้อการ์ดไม่รองรับกับอุปกรณ์ที่ใช้

จริงอยู่ที่การ์ด microSD ทุกใบนั้นมีขนาดเท่ากัน ทำให้เวลาเราเอาไปเสียบเข้าช่อง Slot เสียบได้เหมือนกัน แต่ใช่ว่าการ์ด microSD ทุกแบบนั้นจะใช้ได้เหมือนกันหมด บางครั้งเราอาจจะเจอปัญหาเสียบการ์ดเข้าที่อุปกรณ์ แล้วอุปกรณ์หาการ์ดไม่เจอ นั่นก็เพราะ microSD การ์ดที่เราใช้งานอาจจะไม่รองรับกับอุปกรณ์ที่ใช้

รูปตัวอย่าง microSD ด้านหลัง

ขอบคุณรูปภาพจาก : https://docs.onion.io/omega2-docs/using-a-microsd-card.html

วิธีสังเกตง่ายๆ ให้เราดูที่สเปกข้างกล่องของอุปกรณ์ที่ใช้ และเทียบประเภทของการ์ดที่เราเลือกซื้อมา ซึ่งการ์ด microSD นั้นจะถูกแบ่งออกเป็นประเภทหลักๆ อยู่ 4 ประเภท ได้แก่ microSD, microSDHC, microSDXC, และ microSDUC ดังภาพด้านล่างนี้

การ์ดมี 4 ประเภทหลักๆ

ภาพจาก https://www.sdcard.org/consumers/choices/file_system/index.html

ถ้าหากว่าอุปกรณ์ที่เราใช้รองรับมาตรฐาน microSDXC หมายความว่าอุปกรณ์เครื่องเล่นจะสามารถใช้มาตรฐานที่ต่ำกว่าได้ เช่น microSDHC

แต่ในขณะเดียวกันถ้าอุปกรณ์ที่เราใช้ เช่น เครื่องเล่น MP3 หรือ สมาร์ทโฟนรุ่นเก่าๆ ที่รองรับมาตรฐานแค่ microSDHC จะไม่สามารถใช้งานมาตรฐาน microSDXC และ microSDUC ได้นั่นเอง

ความจุของการ์ด (Capacity)

เรื่องความจุก็เช่นกัน ถึงแม้อุปกรณ์ที่เราใช้งานจะรองรับมาตรฐานระดับ microSDXC แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าอุปกรณ์ของเราจะสามารถใช้งานความจุที่สูงเกินที่สเปกจะรับได้ เช่น Samsung Galaxy S9 ระบุว่าตัวเครื่องรองรับการ์ด microSD สูงสุดที่ 400GB หมายความว่าถ้าเราใส่การ์ดความจุ 512GB ลงไปในเครื่อง เครื่องอาจจะอ่านความจุการ์ดใบนั้นไม่ได้

เพราะฉะนั้นในขั้นแรก เราควรเช็คมาตรฐานของอุปกรณ์และความจุของการ์ดที่เครื่องรองรับให้ดีก่อนจะซื้อมาใช้ ไม่อย่างนั้นซื้อมาแล้วใช้งานไม่ได้เลย ทำให้เราต้องไปซื้อการ์ดใบใหม่ที่ใช้งานได้มาแทน

2. เลือกซื้อความเร็วผิด ช้าจนไม่ทันสังเกต

ในข้อที่สอง ที่ควรระวังในการเลือกซื้อการ์ด microSD นั่นก็คือ การเลือกมาตรฐานความเร็วของการ์ด ถ้าเราไม่ได้ใส่ใจกับมาตรฐานความเร็วของการ์ด เราอาจจะไปซื้อการ์ดที่มีความเร็วต่ำๆ ทำให้เราใช้งานอุปกรณ์ได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ

รูปตัวอย่างเครื่องหมาย บน microSD

ขอบคุณภาพจาก : https://www.makeuseof.com/tag/5-mistakes-avoid-buying-next-microsd-card/

เพราะอย่างที่เห็น นอกจากประเภท (Format) ของการ์ด microSDXC และความจุที่บอก บนการ์ดยังมีสัญลักษณ์อื่นๆ อีกมากมาย เช่น Class, USH Speed, Video Speed และอื่นๆ

ดังนั้นเราควรรู้วิธีการอ่านค่าสเปกบนการ์ด จะได้รู้ว่าเราควรซื้อการ์ดสเปคไหนมาใช้งาน ถ้าใครอยากรู้วิธีการอ่านสเปก microSD แบบเต็มๆ สามารถอ่านได้ที่นี่

ตัวอย่างการเลือกซื้อความเร็วผิด

เช่น ซื้อการ์ดมาใช้กับกล้อง GoPro แต่ซื้อแบบความเร็วต่ำมา ทำให้กล้องถ่ายวิดีโอ 4K ไม่ได้
(เพราะความเร็วการเขียนข้อมูลบนการ์ดไม่เร็วพอสำหรับการบันทึกวิดีโอความละเอียด 4K) 

3. ใช้งานการ์ดไม่ตรงกับจุดประสงค์

หลีกเลี่ยงการซื้อการ์ดไปใช้งานไม่ตรงกับจุดประสงค์ เช่น ซื้อการ์ดความเร็วสูงมากๆ ไปใช้กับเครื่องเล่นเพลง ไม่ได้ทำให้เพลงเร็วขึ้น อาจจะโหลดเพลงต่อไปเร็วขึ้น แต่ก็เร็วได้แบบจำกัด หรือ ซื้อการ์ดที่มีความจุต่ำๆ ไปใช้เก็บข้อมูล รูปภาพวิดีโอความละเอียดสูง เก็บได้แป๊บเดียวก็ความจำเต็ม ต้องถ่ายโอนข้อมูลหรือหาซื้อใหม่

ดังนั้น เวลาเลือกซื้อการ์ด microSD ควรเลือกซื้อการ์ดที่นำมาใช้ให้ตรงกับจุดประสงค์ ง่ายๆ ก็คือ เลือกว่าจะซื้อการ์ดไปใช้กับอะไร (กล้อง, โทรศัพท์, เครื่องเล่นเพลง, กล้องวงจรปิด ฯลฯ) และอีกอย่างก็คือ การเลือกการ์ดที่มีความจุมากพอ และ เร็วมากพอสำหรับหน้าที่นั้นๆ

ขอบคุณภาพจาก : https://www.makeuseof.com/tag/5-mistakes-avoid-buying-next-microsd-card/

อย่างเช่น ตารางด้านบนนี้ หากเราเลือกซื้อประเภทการ์ดที่มีความเร็วสูงเช่น Class 10, U3, V60 ที่รองรับการถ่ายวิดีโอแบบ 4K และเลือกความจุ 64 GB. หรือ 128 GB. ขึ้นไป เราก็จะใช้ถ่ายวิดีโอความละเอียดสูงได้เร็ว และนานขึ้น ตรงตามจุดประสงค์ที่เราต้องการใช้ โดยไม่มีปัญหาการ์ดความเร็วสะดุดมากวนใจ

4. ระวังซื้อ microSD การ์ดปลอมมาใช้

ไม่ว่าจะยังไงก็ไม่ควรซื้อการ์ด microSD ปลอมมาใช้ จะลองซื้อมาใช้เพราะเห็นว่ามันหาซื้อง่ายมีขายอยู่ทุกที่ หรือ เราอาจจะไม่รู้ว่าการ์ดที่เราใช้อยู่ถึงเป็นของปลอมก็เป็นได้

เมื่อหลายปีก่อน ทางวิศวกรของ SanDisk ได้รายงานว่า หนึ่งในสามของการ์ด SanDisk ที่พบเจอนั้นเป็นของปลอม และยังไม่มีท่าทีว่าจะลดลงเลย การ์ดปลอมแบรนด์อื่นๆ ก็มีให้เห็นอยู่มาก เช่นกัน  มีการพบเจอ microSD ของปลอมตามช่องทางการขายออนไลน์ และ ตามตลาดอยู่มากมาย ควรระวังการซื้อของปลอมให้ดี              

รูปตัวอย่าง MicroSD ป ลอม

ขอบคุณรูปภาพจาก : https://www.sdcard.org/

5. ไม่ควรเลือกของถูกไว้ก่อน

ไม่ควรเลือกของถูก นอกจากของปลอมแล้ว การ์ดราคาถูกที่ไม่มียี่ห้อ ก็ควรระวังอีกเช่นกัน เพราะคุณภาพของการ์ดที่ไม่มียี่ห้อ อาจจะไม่ได้ต่างจากการ์ดของปลอมสักเท่าไหร่ ทั้งอายุการใช้งานสั้น ใช้งานอยู่จู่ๆ ก็พังเอาดื้อๆ แบบไม่มีสาเหตุ ส่วนการ์ดที่มียี่ห้อ ได้รับความเชื่อถือนั้นมีอายุการใช้งานที่ยาวนาน ดีกว่าในระยะยาว  

รูปตัวอย่าง MicroSD ที่ไม่มียี่ห้อ

ขอบคุณรูปภาพ : https://blog.cloud-client.info/wp-content/uploads/2014/03/sd_fake.jpg

และนอกจากการซื้อการ์ด microSD จากแบรนด์ใหญ่ๆ ที่มีชื่อและความน่าเชื่อถือแล้ว บางครั้งผู้ใช้งานอาจจะได้รับสิทธิพิเศษอย่าง ประกัน Lifetime ตลอดอายุการใช้งาน หรือ ซอฟต์แวร์สำหรับกู้คืนข้อมูล (Recovery Software) ที่มีมาให้ตั้งแต่โรงงาน ยกตัวอย่างเช่นแบรนด์ Lexar และ SanDisk จะมีให้ ในขณะที่การ์ดไร้ยี่ห้อไม่มีของแถมหรือ อะไรแบบนี้มาให้

ขอบคุณภาพจาก : https://www.makeuseof.com/tag/5-mistakes-avoid-buying-next-microsd-card/

สรุป 5 ข้อผิดพลาด ที่ผู้ใช้ควรระวังเมื่อเลือกซื้อการ์ด microSD

ในตอนนี้เพื่อนๆ ก็ได้รู้แล้วว่าควรระวังการเลือกซื้อการ์ด microSD อย่างไร และไม่ควรซื้อแบบไหน จะได้ใช้เป็นข้อควรระวังในการเลือกซื้อการ์ดครั้งต่อไปๆ ได้

ส่วนสิ่งที่เพื่อนๆ ควรจำก็คือ ควรเลือกซื้อการ์ดมาตรฐานที่รองรับกับอุปกรณ์ของเรา และเลือกความจุกับความเร็วที่เหมาะสมต่อการใช้งานในแต่ละรูปแบบ และอย่าลืมซื้อการ์ดจากแบรนด์ที่ได้รับความน่าเชื่อถือ เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาต่างๆ ที่จะตามมาภายหลังการใช้งานครับ