ถึงแม้ชื่อ Adobe (อะโดบี) จะอยู่คู่คนไทย และผู้ใช้งานทั่วโลกมาอย่างยาวนาน และบางคนอาจทราบแล้วว่า บริษัท Adobe เป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ที่ให้บริการ ซอฟต์แวร์ (Software) ในหลากหลายแขนง หรือหลายประเภทเอามาก ๆ
บทความนี้ เราจะพามาทำความรู้จักทุกมุมของ Adobe ให้มากกว่านี้ ทั้งประวัติที่มาที่ไป รวมไปถึงวิวัฒนาการ ของผลิตภัณฑ์จากเขา เพราะอันที่จริงแล้ว นอกจาก โปรแกรม Adobe Photoshop ที่สร้างชื่อให้กับเขาแล้ว ยังมีโปรแกรมน่าใช้ ที่คุณไม่รู้จักรออยู่อีกเพียบ ลองมาดูกันเลยว่าบทความนี้ มีเนื้อหาอะไรบ้าง ...
Adobe อ่านออกเสียงภาษาไทยว่า "อะโดบี" เป็นชื่อของบริษัทซอฟต์แวร์ระดับโลกจากสหรัฐอเมริกา เริ่มก่อตั้งเมื่อปี ค.ศ.1982 (พ.ศ. 2525) โดย 2 นักศึกษาฝึกงานใน ศูนย์วิจัยแพโลแอลโต (Palo Alto Research Center) อย่าง จอห์น วอร์น็อค (John Warnock) และ ชาร์ลส์ เกสช์เคอ (Charles Geschke)
และหลังจากที่โปรเจกต์การเขียนโปรแกรมที่รู้จักกันในนาม PostScript ของทั้งคู่ถูกบริษัทแม่อย่าง Xerox Coporation ปฏิเสธ พวกเขาจึงนำโปรเจกต์มาพัฒนาต่อ โดยเริ่มต้นจากการก่อตั้งกิจการในโรงรถที่บ้านของ John Warnock และตั้งชื่อกิจการของตัวเองว่า Adobe
ซึ่งที่มาของชื่อนี้ มาจากชื่อของลำธารละแวกหลังบ้านผู้ก่อตั้งทั้งสอง (Adobe Creek) ในเมือง ลอสอัลตอส รัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา (Los Altos, California, USA) และชื่อลำธารดังกล่าวยังตั้งชื่อตามชนิดของดินเหนียวบริเวณนั้น ซึ่งหมายถึงธรรมชาติที่สร้างสรรค์ซอฟต์แวร์ของ Adobe นั่นเอง ส่วนโลโก้ของ Adobe ที่ชูจุดเด่นของตัว A ก็มาจากไอเดียและการออกแบบโดย มาวาร์ วอร์น็อค (Marva Warnock) นักออกแบบซึ่งเป็นภรรยาของ John Warnock นั่นเอง
Adobe เปิดตัวผลิตภัณฑ์ตัวแรก (First Product) ออกมาในรูปแบบของ ซอฟต์แวร์ ซึ่งมันคือ โปรแกรม Adobe Illustrator มันคือ โปรแกรมออกแบบ ชนิด วาดรูปเวกเตอร์ (Vector Drawing Software) ครั้งแรกในปี ค.ศ. 1987 (พ.ศ. 2530)
แต่ว่าโปรแกรมที่ช่วยจุดประกาย และสร้างชื่อเสียงให้บริษัทอย่างยาวนานก็คือ โปรแกรม Adobe Photoshop ที่ถือว่าเป็น โปรแกรมแต่งรูป (Photo Editing Software) ที่ครองเบอร์หนึ่งของโลก มาหลายสิบปี
โดยเริ่มต้นจากการที่บริษัท Adobe Systems ไปซื้อ โปรแกรม Image Pro มาจาก Thomas Knoll และ John Knoll เพื่อนำมาพัฒนาต่อและเปลี่ยนชื่อเป็น โปรแกรม Adobe Photoshop ในปี ค.ศ. 1989 (พ.ศ. 2532) และวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการในปี ค.ศ. 1990 (พ.ศ. 2533)
ซึ่งการใช้งาน โปรแกรม Adobe Photoshop ครั้งแรกนั้น ได้ถูกเริ่มต้นใช้งานกันบน Apple Computer และโปรแกรมถูกพัฒนาให้ใช้งานบน ระบบปฏิบัติการ Windows ได้ใน 2 ปีถัดมา
โดยปัจจุบัน Adobe ตั้งอยู่ใน เมืองซานโฮเซ แคลิฟอเนียตอนเหนือ ประเทศสหรัฐอเมริกา (San Jose, California, USA) ซึ่งแถบนี้ ได้เป็นพื้นที่ศูนย์กลางของ Silicon Valley พื้นที่แห่งการพัฒนาและนวัตกรรมที่รวมสำนักงานใหญ่ของบริษัทไอทีชั้นนำรวมถึง Adobe ส่วนผลงานเด่นของ Adobe ก็หนีไม่พ้นโปรแกรมประเภทต่าง ๆ ที่ใช้ร่วมกับงานด้านกราฟิก งานตัดต่อวิดีโอและเสียง รวมถึงโปรแกรมอื่น ๆ ที่ช่วยอำนวยความสะดวกให้ผู้ใช้เป็นอย่างดี
จากเดิม ที่การซื้อโปรแกรมจาก Adobe จะเป็นการซื้อขาด ครั้งเดียวจบ นำมาติดตั้งบนคอมพิวเตอร์แล้วใช้งานได้เลย แต่จะมีข้อเสียในเรื่องของราคาที่ค่อนข้างสูง และเมื่อโปรแกรมอัปเดตเวอร์ชันใหม่ ก็ต้องซื้อใหม่ ติดตั้งใหม่อีกครั้ง
ซึ่งทาง Adobe ก็ได้ออก ชุดโปรแกรม (Software Suite) ที่ใช้ชื่อว่า Adobe Creative Suite ซึ่งก็เป็นการรวมโปรแกรมแบบแบบออลอินวัน (All-in-One Software) ไม่สามารถเลือกซื้อเฉพาะโปรแกรมใดโปรแกรมหนึ่งได้
ภาพจาก : https://exchange.adobe.com/
แต่ในปัจจุบัน ระบบออนไลน์เข้ามามีบทบาทในชีวิตของทุกคนมากขึ้น ทำให้การใช้งาน โปรแกรมบนคอมพิวเตอร์เปลี่ยนไป อย่างเช่นโปรแกรมจาก Adobe ที่เปลี่ยนรูปแบบจากการซื้อขาย เป็นการ สิทธิ์การใช้งานแบบเช่าใช้ (Subscription License) กับทาง Adobe แทน โดยผู้ใช้งาน หรือลูกค้า สามารถเลือกดาวน์โหลดเฉพาะบางโปรแกรมที่ต้องการก็ได้ ส่งผลให้จะมีค่าบริการเป็นรายเดือน หรือรายปี เข้ามาแทน
ด้วยเหตุนี้เอง จึงส่งผลให้ทาง Adobe ละทำการเปลี่ยนชื่อจาก Adobe Creative Suite เป็น Adobe Creative Cloud แทน โดยข้อดีของระบบของชุดโปรแกรม Adobe Creative Cloud คือ
ซึ่ง ชุดโปรแกรม Adobe Creative Cloud มีให้เลือกทั้งแพ็กเกจสำหรับบุคคล ใช้งานส่วนตัว และ ชุดโปรแกรม Adobe Creative Cloud for Teams สำหรับใช้งานภายในองค์กร ก็จะมีคุณสมบัติ ราคาที่แตกต่างกันออกไป แต่ราคาต่อเดือนของ ชุดโปรแกรม Adobe Creative Cloud ทั้งสองประเภทอยู่ในช่วงราคาหลักร้อยถึงหลักพันเท่านั้น จึงเป็นราคาที่ย่อมเยาสำหรับผู้ใช้งานระดับมืออาชีพ
แต่ Adobe ไม่ได้สนับสนุนเรื่องระบบคลาวด์ เฉพาะชุดโปรแกรมสายงานกราฟิก ตัดต่อเท่านั้น แต่ก็ยังมี ชุดโปรแกรมจัดการเอกสารออนไลน์ ภายใต้ชื่อ "Adobe Document Cloud" เพื่อส่งเสริม และสนับสนุนสังคมไร้กระดาษ (Paperless Society) ด้วยการนำ เทคโนโลยีสีเขียว (Green Technology) เข้ามาช่วย จัดการเอกสารที่สามารถเข้าถึงอุปกรณ์ทุกแพลตฟอร์ม ไม่ว่าจะเป็นคอมพิวเตอร์, สมาร์ทโฟน, แท็บเล็ต เป็นต้น เพื่อลดการใช้กระดาษลงนั่นเอง
และนอกจากนี้แล้ว ชุดโปรแกรมจัดการเอกสารออนไลน์ Adobe Document Cloud ก็ยังเพิ่มความสามารถในการใช้งานเอกสารเสมือนทำงานกับกระดาษ เช่น การใช้ลายเซ็นอิเล็กทรอนิกส์ (E-Signature) รวมไปถึง การตั้งรหัสผ่านสำหรับเอกสารสำคัญหรือมีข้อมูลที่เป็นความลับ ฯลฯ แน่นอนว่าใช้งานบน Cloud ได้สะดวก มี Cloud Storage เพียงพอต่อการจัดเก็บไฟล์จำนวนมาก
ถ้าพูดชื่อ Adobe หลายคนน่าจะนึกถึงโปรแกรมด้านงาน ออกแบบกราฟิก ตกแต่งรูปภาพ และ ตัดต่อวิดีโอ เป็นอันดับแรก ๆ แต่แท้จริงแล้ว Adobe ยังมีโปรแกรมอีกหลายประเภท หรือแม้แต่การใช้งานด้านเอกสาร Adobe ก็มีตัวช่วยดี ๆ ที่ทำให้การทำงานสะดวกยิ่งขึ้น มาดูกันว่าประเภทของโปรแกรม Adobe มีอะไรกันบ้าง
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า Adobe มีชื่อเสียงจากโปรแกรมออกแบบกราฟิกทั้งหลาย ทั้งการออกแบบกราฟิก ตกแต่งและออกแบบชิ้นงาน ซึ่งโปรแกรมประเภทนี้จาก Adobe นั้นมีมากกว่าที่คุณคุ้นเคยอย่างแน่นอน
โปรแกรม Adobe Photoshop โปรแกรมสำหรับตัดต่อ ตกแต่งภาพ สามารถเปลี่ยนภาพธรรมดาให้กลายเป็นภาพที่แปลกใหม่ โดดเด่น ใช้ออกแบบชิ้นงานประเภทต่าง ๆ ทั้ง 2 มิติ (2D) และ 3 มิติ (3D) ก็ได้ เรียกได้ว่าเป็นโปรแกรมพื้นฐานสำหรับผู้สนใจงานด้านกราฟิก ทั้งมือสมัครเล่นและมือโปรเลยทีเดียว
รายละเอียดเพิ่มเติม ของ โปรแกรมแต่งรูป Adobe Photoshop
ภาพจาก : https://helpx.adobe.com/cz/photoshop/how-to/underwater-text-effect.html
โปรแกรม Adobe Illustrator เป็น โปรแกรมสำหรับออกแบบกราฟิกแบบเวกเตอร์ อย่างเช่น โลโก้ ไอคอน ออกแบบงานที่เน้นกราฟิกและภาพวาดจากคอมพิวเตอร์ที่สามารถปรับขนาดได้ รองรับทั้งงานขนาดเล็กและขนาดใหญ่โดยไม่เสียความละเอียด สำหรับสื่อแทบทุกชนิดทั้งออนไลน์และออฟไลน์
รายละเอียดเพิ่มเติม ของ โปรแกรมวาดรูปเวกเตอร์ Adobe Illustrator
ภาพจาก : https://blog.adobe.com/en/publish/2019/11/04/adobe-illustrator-on-the-ipad.html#gs.2h38fq
โปรแกรม Adobe InDesign เป็นโปรแกรมออกแบบสิ่งพิมพ์ ที่หลาย ๆ คนอาจคุ้นเคยในเรื่องของโปรแกรมจัดหน้าหนังสือ แต่จริง ๆ แล้วโปรแกรม Adobe InDesign ใช้ออกแบบ Layout ของสื่อสิ่งพิมพ์ได้หลายประเภทเอามาก ๆ เช่น แผ่นพับ โปสเตอร์ หรือจะใช้ออกแบบสื่อออนไลน์ เช่นไฟล์อีบุ๊ก (E-Book) หรือ ไฟล์เอกสาร PDF ที่ต้องการความเป็นระเบียบ สวยงามก็สามารถทำได้เช่นกัน
รายละเอียดเพิ่มเติม ของ โปรแกรมออกแบบสิ่งพิมพ์ Adobe InDesign
ภาพจาก : https://www.adobe.com/accessibility/products/indesign.html
บริการ Adobe Spark บางคนอาจไม่คุ้นชินกับชื่อนี้ ตัวนี้เป็น "บริการออนไลน์" จากทาง Adobe ที่ถูกพัฒนาสำหรับผู้ที่ต้องออกแบบชิ้นงานแบบออนไลน์ ที่ต้องการความรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็นงานออกแบบกราฟิก หรือแม้แต่ งานตัดต่อวิดีโอ
โดยบริการ Adobe Spark จะช่วยตอบสนองความต้องการ แชร์สู่โลกออนไลน์ได้อย่างสะดวก ไม่ว่าจะเป็นภาพกราฟิก ข้อความที่ต้องใช้ดีไซน์แหวกแนว เว็บไซต์ คลิปวิดีโอ ด้วยความสามารถของ โปรแกรม Adobe Spark ทำให้ชิ้นงานมีความสวยงาม ดูดีเสมือนมาจากกราฟิกดีไซเนอร์มือฉมัง
รายละเอียดเพิ่มเติม ของ บริการออกแบบกราฟิก ตัดต่อวิดีโอออนไลน์ Adobe InDesign
ภาพจาก : https://www.adobe.com/products/spark.html
โปรแกรม Adobe Dimension เป็น โปรแกรมออกแบบโมเดล 3 มิติ ทำให้การออกแบบงานบรรจุภัณฑ์ สิ่งของใด ๆ ที่ต้องใช้มุมมอง 3 มิติเป็นหลัก และยังประกอบภาพ 2 มิติจาก โปรแกรม Adobe Photoshop หรือ โปรแกรม Adobe Illustrator และรูปทรง 3 มิติเข้าด้วยกันได้อย่างง่ายดาย
ภาพจาก : https://www.adobe.com/th_th/products/dimension.html
สำหรับการตกแต่งภาพถ่าย โปรแกรมยอดนิยมก็คงหนีไม่พ้น โปรแกรม Adobe Lightroom ที่น้า ๆ สายช่างภาพต้องเคยผ่านมือ เพื่อ Process ภาพให้สวยงาม ทั้งการแต่งสี แต่งแสงให้ดูสมจริงหรือให้อารมณ์ภาพเป็นไปตามต้องการ ซึ่ง Adobe Lightroom ยังแบ่งออกเป็น 2 แบบย่อย ๆ ดังนี้
โปรแกรม Adobe Lightroom CC โปรแกรมที่หลาย ๆ คนน่าจะคุ้นเคยกับ ความสามารถของโปรแกรมนี้ ได้แก่ การตกแต่งภาพถ่ายให้ดูสวยงาม สมจริงมากกว่าเดิม แม้ช่างภาพส่วนใหญ่จะปรับแต่งกล้องก่อนถ่ายมาแล้ว แต่เพื่อให้ภาพถ่ายสมบูรณ์แบบที่สุด
โดย โปรแกรม Adobe Lightroom CC จึงเข้ามามีบทบาทสำคัญ และด้วยความเป็นโปรแกรมที่ทำงานบน ชุดโปรแกรม Adobe Creative Cloud จึงสามารถทำงานได้ทุกที่แบบออนไลน์ แม้ไม่ใช่หน้าคอมพิวเตอร์ และมีพื้นที่สำหรับจัดเก็บไฟล์จำนวนมากได้อีกด้วย
รายละเอียดเพิ่มเติม ของ โปรแกรมแต่งรูปถ่าย Adobe Lightroom
โปรแกรม Adobe Lightroom Classic เป็นโปรแกรมที่เน้นการใช้งานร่วมกับภาพจำนวนมาก เน้นการบนคอมพิวเตอร์เพียงอย่างเดียว มีความแตกต่างจาก โปรแกรม Adobe Lightroom CC (ที่กล่าวมาในด้านบน) ในส่วนของพื้นที่เก็บไฟล์จะเป็น ฮาร์ดไดร์ฟ (Hard Drive) ของคอมพิวเตอร์ ไม่ใช่เก็บบนคลาวด์ จาก Adobe แต่อย่างใด ส่วนอุปกรณ์ เครื่องมือแต่งภาพในโปรแกรมก็มีให้แบบมือโปร เหมาะสำหรับผู้เชี่ยวชาญด้านการแต่งภาพ ถ่ายภาพโดยเฉพาะ
ภาพจาก : https://helpx.adobe.com/ie/lightroom-classic/help/applying-adjustments-develop-module-basic.html
หลายคนอาจสงสัยว่าโปรแกรม Adobe Photoshop และ โปรแกรม Adobe Lightroom แตกต่างกันอย่างไร ? โดย Adobe Photoshop จะเน้นการตัดต่อภาพ กราฟิก ให้ภาพถ่ายแบบเดิมมีชีวิตชีวา แตกต่างไปจากเดิม หรือเปลี่ยนจากภาพถ่ายให้กลายเป็นภาพวาด ภาพเสมือนจริงหรือภาพเหนือจริง
ในขณะที่ โปรแกรม Adobe Lightroom เหมาะกับการใช้งานตกแต่งภาพถ่าย ไปจนถึงการตัดต่อภาพบางรูปแบบ เช่น การต่อไฟล์ภาพหลายภาพให้กลายเป็นภาพมุมกว้าง พาโนรามาภาพเดียว หรือใช้จัดการภาพถ่ายจำนวนมาก แต่งสี เพิ่มแสง ก็ทำได้ผ่าน โปรแกรม Adobe Lightroom Classic
รายละเอียดเพิ่มเติม ของ โปรแกรมแต่งรูปถ่าย Adobe Lightroom Classic
ส่วนเรื่องการสร้างวิดีโอนั้น โปรแกรมจาก Adobe ก็ไม่เป็นสองรองใคร แถมยังมีโปรแกรมชูโรงอย่าง โปรแกรม Adobe Premiere Pro ที่ใครหลายคนน่าจะเคยทดลองตัดต่อวิดีโอผ่านโปรแกรมนี้ แต่รู้หรือไม่ว่า ทาง Adobe ยังมีโปรแกรมอีกหลายโปรแกรมที่ทำให้การตัดต่อวิดีโอมีความน่าสนใจ น่าสนุกยิ่งขึ้น
โปรแกรม Adobe Premiere Pro โปรแกรมตัดต่อวิดีโอ สำหรับตัดต่อวิดีโอคุณภาพ ไม่ว่าจะเป็นคลิปวิดีโอบนเว็บไซต์ รายการโทรทัศน์ หรือภาพยนตร์สเกลใหญ่ ๆ มืออาชีพหลายคนไว้วางใจ ด้วยเครื่องมือที่มีบนโปรแกรม จึงทำให้ได้งานคุณภาพตามต้องการ
รายละเอียดเพิ่มเติม ของ โปรแกรมตัดต่อวิดีโอ Adobe Premiere Pro
ภาพจาก : https://www.adobe.com/th_th/creativecloud/video/discover/promo-video.html
โปรแกรม Adobe After Effects เป็นโปรแกรมทําเอฟเฟกต์วิดีโอ สร้างเอฟเฟกต์วิดีโอ ที่เป็นอีกหนึ่งคู่หูแห่งวงการตัดต่อวิดีโอ เพราะ โปรแกรม Adobe After Effect คือโปรแกรมสำหรับสร้างส่วนประกอบของคลิปวิดีโอ เช่น Title หรือ Intro เริ่มต้นคลิป, เอฟเฟกต์ หรือลูกเล่น ที่เป็นการเคลื่อนไหวต่าง ๆ หรือใช้ลบวัตถุไม่พึงประสงค์ในวิดีโอก็สามารถทำได้อีกด้วยเช่นกัน
รายละเอียดเพิ่มเติม ของ โปรแกรมทําเอฟเฟควิดีโอ สร้างเอฟเฟควิดีโอ Adobe After Effects
ภาพจาก : https://blog.adobe.com/en/publish/2017/05/02/after-effects-cc-april-2017-in-depth-new-features.html#gs.2h3y6s
โปรแกรม Adobe Premiere Rush อีกหนึ่งโปรแกรมตัดต่อวิดีโอยอดนิยม ด้วยลักษณะการทำงานที่เน้นใช้งานบนระบบคลาวด์มากกว่า ทำให้ใช้งานออนไลน์บนอุปกรณ์ได้หลายประเภท เช่น ตัดต่องานแล้วบันทึกผ่าน PC และเปิดไฟล์เพื่อแก้ไขอีกครั้ง ผ่านแอปพลิเคชันบนสมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ตได้
รายละเอียดเพิ่มเติม ของ โปรแกรมตัดต่อวิดีโอ Adobe Premiere Rush
ภาพจาก : https://www.adobe.com/products/premiere-rush.html
โปรแกรม Adobe Audition CC แม้โปรแกรมนี้จะเน้นด้านการใช้งานเสียง ปรับแต่ง ผสมเสียง แต่สามารถใช้งานร่วมกับ โปรแกรม Adobe Premiere Pro ได้ ทั้งช่วยจัดเรียงไฟล์เสียงให้พอดีกับคลิปวิดีโอ หรือจะใช้สร้างรายการ พอดแคสต์ (Podcast) ตั้งแต่การอัดเสียง ปรับแต่งเสียง จนถึงแชร์สู่โลกออนไลน์ได้อย่างง่ายดาย
รายละเอียดเพิ่มเติม ของ โปรแกรมตัดต่อวิดีโอ Adobe Premiere Rush
นอกเหนือจากการตัดต่อวิดีโอทั่วไปแล้ว ยังมีโปรแกรมสำหรับสร้างภาพเคลื่อนไหวหรืออนิเมชันจาก Adobe ด้วย ได้แก่ Adobe Animate และ Adobe Charactor Animator ซึ่งทั้งสองโปรแกรมมีความแตกต่างดังนี้
โปรแกรม Adobe Animate เป็นโปรแกรมสำหรับออกแบบอนิเมชัน (Animation) โดยเฉพาะ ซึ่งอนิเมชันเหล่านี้จะถูกนำไปใช้บนเว็บไซต์, เกม, โปรแกรม, หรือการนำเสนองาน (Presentation) ต่าง ๆ เป็นต้น
โดยอนิเมชันที่ถูกสร้างขึ้นมาจาก โปรแกรม Adobe Animate นั้น เราสามารถสร้างมันขึ้นมาได้ง่าย ๆ จากต้นแบบสำเร็จรูป ที่มีให้ในโปรแกรม สร้างการเคลื่อนไหวของตัวละครอนิเมชันได้ตามชอบ เช่น ขยับท่าทาง กระพริบตา และยังบันทึก หรือส่งออกเป็นไฟล์ ได้หลากหลายประเภท เช่น HTML5 Canvas, WebGL, Flash/Adobe AIR, SVG เป็นต้น
รายละเอียดเพิ่มเติม ของ โปรแกรมออกแบบแอนิเมชัน Adobe Animate
ภาพจาก : https://blog.adobe.com/en/publish/2020/06/22/hands-on-tutorial-creation-tool-for-adobe-animate.html
โปรแกรม Adobe Character Animator เป็นโปรแกรมออกแบบตัวละคร ตัวการ์ตูน ที่เจาะจงการออกแบบคาแร็คเตอร์ ตัวละครแบบเคลื่อนไหวได้ หรือที่เป็นอนิเมชันมากกว่า และยังช่วยทำให้ตัวละครเคลื่อนไหวได้สมจริง เป็นธรรมชาติ และยังสร้างมุมมองภาพที่ช่วยเสริมบทบาทของตัวละครนั้น ๆ ได้อีกด้วยเช่นกัน
รายละเอียดเพิ่มเติม ของ โปรแกรมออกแบบตัวละคร ตัวการ์ตูน Adobe Character Animator
ในยุคออนไลน์แบบนี้ การทำเว็บไซต์ก็ยังเป็นเรื่องที่นิยม แต่จะออกแบบเว็บไซต์ขึ้นมาอย่างไรนั้น ก็ต้องใช้โปรแกรมอย่าง โปรแกรม Adobe Dreamweaver และ โปรแกรม Adobe XD เพื่อการออกแบบเว็บไซต์ที่สวยงาม ใช้งานง่ายและลื่นไหล รวมถึงรองรับโค้ดหลากหลายภาษา
ภาพจาก : https://www.adobe.com/th_th/products/dreamweaver.html
โปรแกรม Adobe Dreamweaver เป็น โปรแกรมออกแบบเว็บไซต์ ทำเว็บไซต์ ที่ให้ทั้งดีไซน์สวยงาม ดูดี รองรับการแสดงผลแบบ Responsive ปรับให้เข้ากับหน้าจออุปกรณ์ทุกขนาด ออกแบบด้วย เทมเพลตสำเร็จรูป (Template) จากโปรแกรมก็ได้ หรือว่าจะเขียนโค้ด HTML, CSS ก็สะดวก (ถ้าผู้ใช้งานมีความรู้ด้านนี้) แถมยังสามารถแก้ไขหน้าเว็บไซต์ได้แบบสด ๆ เรียลไทม์ พร้อมเห็นผลลัพธ์เดี๋ยวนั้น ได้อีกด้วยเช่นกัน
รายละเอียดเพิ่มเติม ของ โปรแกรมออกแบบเว็บไซต์ ทำเว็บไซต์ Adobe Dreamweaver
โปรแกรม Adobe XD เป็น โปรแกรมสำหรับสร้างต้นแบบ (Prototype) เว็บไซต์และแอปพลิเคชัน หากยังไม่มั่นใจว่าเว็บไซต์หรือแอปฯ จะออกมาในรูปแบบใด หน้าตาแบบไหน และเพื่อทดสอบการใช้งาน (User Experience) ให้ง่ายที่สุด จึงทำให้ Adobe XD เป็นอีกหนึ่งโปรแกรมสำคัญในการออกแบบเว็บและแอปฯ และยังสามารถทำงานร่วมกับ Plugin เสริม, หรือแม้แต่ผลิตภัณฑ์ ที่เป็น โปรแกรม Adobe ตัวอื่น ๆ รวมไปถึงให้ทีมงานมาร่วมกันออกแบบผลงาน เป็นต้น
ภาพจาก : https://www.adobe.com/th_th/products/dreamweaver.html
สำหรับใครที่ทำงานกับเอกสารมากกว่างานกราฟิก หรือวิดีโอทาง Adobe เขาก็มีโปรแกรมอ่านเอกสาร และเซ็นลายเซ็นอิเล็กทรอนิกส์ (E-Signature) ให้ใช้งานอีกต่างหาก ยิ่งการทำงานสมัยนี้ อยู่กับไฟล์และเครือข่ายออนไลน์มากกว่าแผ่นกระดาษ จึงทำให้โปรแกรมเหล่านี้เป็นโปรแกรมที่ควรมีติดเครื่องไว้
ภาพจาก : https://blog.adobe.com/en/publish/2015/03/16/hello-adobe-document-cloud.html
โปรแกรม Adobe Acrobat Standard DC เป็น โปรแกรมเอกสาร ที่เอาไว้ จัดการไฟล์ PDF แม้จะใช้ชื่อว่า Standard แต่ความสามารถก็ไม่ใช่น้อย ๆ เลย ไม่ว่าจะเป็นการสร้างไฟล์, แปลงไฟล์และรวมไฟล์สกุลอื่นให้กลายเป็น PDF ในไฟล์เดียว, แก้ไขไฟล์ PDF, เซ็นลายเซ็นอิเล็กทรอนิกส์ในไฟล์ได้, ตั้งรหัสผ่าน (Password) ก่อนเปิดไฟล์สำคัญ ๆ หรือไฟล์ที่เป็นความลับ มีระบบลายเซ็นอิเล็กทรอนิกส์ ที่สามารถสร้างแบบฟอร์ม้อกสาร และส่งออกไปเพื่อรวบรวมลายเซ็น ติดตามความคืบหน้าในการลงลายเซ็นของแต่ละคนอย่างสมบูรณ์ฯลฯ
รายละเอียดเพิ่มเติม ของ โปรแกรมเอกสาร Adobe Acrobat Standard DC
โปรแกรม Adobe Acrobat Pro DC เป็นโปรแกรมเอกสาร ที่มีความแตกต่างจากโปรแกรม Adobe Acrobat Standard DC หลัก ๆ ก็คือ สามารถเพิ่มไฟล์เสียงและวิดีโอลงไปใน PDF ได้, ทำตราประทับบนไฟล์ PDF ได้, รองรับการเปรียบเทียบหาจุดแตกต่างระหว่างไฟล์เอกสาร 2 เวอร์ชัน, ปิดบังข้อมูลส่วนตัว (Redact) ในไฟล์ PDF อย่างถาวร ฟีเจอร์ในส่วนของระบบลายเซ็นอิเล็กทรอนิกส์ที่เพิ่มเติมเข้ามาคือ การสร้างแบบฟอร์มบนเว็บเพื่ออำนวยความสะดวกในการรวบรวมลายเซ็น และการส่งเอกสารเพื่อขอลายเซ็นไปยังผู้รับหลายคนในคราวเดียว โดยเอกสารจะเป็นเวอร์ชันเฉพาะของแต่ละคน และความสามารถระดับสูงอื่น ๆ อีกมากมาย
รายละเอียดเพิ่มเติม ของ โปรแกรมเอกสาร Adobe Acrobat Pro DC
โปรแกรม Adobe Acrobat Sign เป็นโปรแกรมสำหรับระบบงานลายเซ็นอิเล็กทรอนิกส์โดยเฉพาะ ทำงานบนระบบออนไลน์ ใช้งานผ่าน โปรแกรมเว็บเบราว์เซอร์ สมบูรณ์แบบ ไม่ต้องมีการติดตั้งโปรแกรมลงในเครื่อง สามารถออกเอกสาร หรือหนังสือสัญญาเพื่อขอลายเซ็น แล้วกระจายออกไปผ่านทางอีเมลเพื่อเก็บรวบรวมลายเซ็นผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด และยังช่วยให้การรับชำระเงินจากลูกค้าเป็นเรื่องที่ง่ายขึ้น
รายละเอียดเพิ่มเติม ของ โปรแกรมเซ็นเอกสาร Adobe Acrobat Sign
ภาพจาก : https://acrobat.adobe.com/us/en/sign/business.html
แต่ความเจ๋งของ Adobe ไม่ได้มีแต่เพียงเท่านี้ เพราะยังมีโปแกรม โซลูชันยิบย่อยอื่น ๆ ที่ช่วย Support การใช้งานโปรแกรมหลัก ๆ ดังนี้
ชื่อเสียงของ Adobe อยู่คู่ผู้ใช้ทั่วโลกมากว่าหลายสิบปีแล้ว ด้วยโปรแกรมระดับตำนานทั้งหลาย แต่ Adobe เองก็ไม่เคยคิดที่จะหยุดพัฒนาสิ่งใหม่ ๆ เพื่อก่อให้เกิดประโยชน์ต่อผู้ใช้สูงสุด นอกจากนี้ Adobe ไม่ได้เน้นเฉพาะโปรแกรมด้านกราฟิก ตัดต่อเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังมีโปรแกรมและแพลตฟอร์มที่ช่วยสนับสนุน (Support) ให้การทำงานสมบูรณ์ยิ่งขึ้นด้วย
|
Web Content Editor ท่านหนึ่ง นิยมการเล่นมือถือเป็นชีวิตจิตใจ |