แชร์หน้าเว็บนี้ :
วิธีแก้ปัญหา Bad System Config Info ในระบบปฏิบัติการ Windows Bad System Config Info เป็นข้อผิดพลาดตัวหนึ่งที่สามารถเกิดขึ้นได้ในระบบปฏิบัติการ Windows โดยสาเหตุมีอยู่หลายอย่าง อาจมาจากความผิดปกติของระบบ, ไฟล์ Registry, ความเสียหายในไฟล์ Boot Configuration Data (BCD), ลำดับการทำงานของไฟล์ Boot Configuration Data (BCD) หรือแม้แต่ไฟล์เก่าในระบบเกิดข้อผิดพลาดกับไฟล์ใหม่ที่ถูกเพิ่มเข้าไปในระบบ ซึ่งหากมีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้น ก็จะทำให้ระบบล่ม ผู้ใช้งานคอมพิวเตอร์ก็จะต้องเผชิญกับ จอฟ้าแห่งความตาย หรือ Blue Screen of Death (BSoD)
บทความเกี่ยวกับ Microsoft อื่นๆ
นอกจากนี้ Bad System Config Info ยังอาจเกิดขึ้นได้จากสาเหตุอื่น ๆ อีก เช่น
ข้อผิดพลาดจากฮาร์ดแวร์ การตั้งค่าระบบที่ไม่ถูกต้อง ไดร์เวอร์มีปัญหา ปัญหาจากการอัปเดต Windows ภาพจาก : https://www.drivers.com/update/pc-fix-tips/bad-system-config-info-error-in-windows-10/
หากเจอปัญหา Bad System Config Info ขึ้นมา จะมีแนวทางการแก้ไขปัญหาได้อย่างไร เชิญอ่านวิธีการแก้ไขต่อได้เลย
1. ย้อนคืนค่าระบบกลับไปก่อนอัปเดต Windows หากคุณไม่เคยพบเจอ ปัญหา Bad System Config Info มาก่อน แต่เพิ่งมาเจอหลังจากที่ได้อัปเดต ระบบปฏิบัติการ Windows ไป ก็มีความเป็นไปได้สูง ว่าสาเหตุจะมาจากการอัปเดตที่ทำให้ระบบคอมพิวเตอร์ของคุณมีปัญหาเกิดขึ้น ซึ่งการแก้ไขก็ง่ายมาก แค่ลบการติดตั้งอัปเดตของ Windows ออก เท่านั้นเอง โดยสามารถทำได้ด้วยวิธีการดังต่อไปนี้
กด "ปุ่ม Windows + i" เพื่อเปิด "หน้าต่าง Settings" ขึ้นมา ในพาเนลด้านซ้าย คลิกที่ "เมนู Windows Update" ในพาเนลด้านขวา คลิกที่ "เมนู Update History" เลื่อนลงมาด้านล่าง คลิกที่ "เมนู Uninstall Updates"
รายการอัปเดต ที่ถูกติดตั้งไปแล้วจะถูกแสดงขึ้นมา ให้เราคลิกขวาบนรายการที่ต้องการลบออกแล้วเลือก "เมนู Uninstall" พิจารณาว่าควรลบรายการไหน โดยอาศัยข้อมูลจากวันที่ติดตั้ง (Installed On) โดยเริ่มมีปัญหาตั้งแต่วันไหน ก็ให้ลบการติดตั้งที่เกิดขึ้นหลังจากวันนั้นทิ้งไปให้หมด
2. ตรวจสอบแรม (RAM) และฮาร์ดไดร์ฟ (Hard Drive) ผู้ใช้งานคอมพิวเตอร์มือใหม่อาจจะรู้สึกกังวลที่จะเปิดเคสคอมพิวเตอร์ออกมาเพื่อตรวจสอบ ฮาร์ดแวร์คอมพิวเตอร์ (Computer Hardware) ที่อยู่ภายใน แต่ปัญหานี้มีความเป็นไปได้สูงที่เกิดขึ้นเพราะชิ้นส่วนภายในเคสเกิดความเสียหาย หรือติดตั้งไม่สมบูรณ์ โดยก่อนหน้านี้มันอาจจะไม่เป็น แต่เมื่อใช้งานมาเป็นระยะเวลานาน มันอาจจะมีฝุ่นผงไปอุดตันในช่องเสียบแรม หรือแรงสั่นสะเทือนที่เกิดขึ้นระหว่างทำงาน ทำให้มีการขยับเขยื้อนจนมันไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ
ความจริงแล้ว การถอด หน่วยความจำ RAM และ ฮาร์ดไดร์ฟ (Hard Disk) ไม่มีอะไรน่ากังวลนะ มันค่อนข้างง่าย ไม่ต่างจากการเสียบตลับเกมลงใน เครื่องเกมบอย หรือ NES หรอก
สำหรับแรม โดยให้เราเปิดเคสออกมาเลื่อนสลักที่ล็อกตัวแรมกับมาเธอร์บอร์ดเพื่อปลดล็อก จากนั้นให้ทำความสะอาดโดยใช้ยางลบถูกที่ขั้วทองแดงเชื่อมต่อ จากนั้นก็ติดตั้งกลับไปเหมือนเดิม ในกรณีที่มีแรมมากกว่าหนึ่งตัว ให้ลองถอดออกตัวหนึ่ง แล้วเปิดคอมพิวเตอร์ดูว่าใช้งานได้ปกติหรือเปล่า ? ลองสลับแรมไล่ไปทีละตัว อาจจะพบว่ามีแรมตัวใดตัวหนึ่งที่เสียไม่สามารถใช้งานได้แล้ว
ภาพจาก : https://www.crucial.com/articles/about-memory/how-to-upgrade-desktop-memory
ส่วนฮาร์ดไดร์ฟ หากเป็นแบบ M.2 ก็ทำเหมือนกับแรม แต่ถ้าเชื่อมต่อผ่านสาย Sata ก็ให้ลองถอดสายออกแล้วเสียบใหม่ดูอีกครั้งหนึ่ง
3. อัปเดต หรือติดตั้งไดร์เวอร์ใหม่อีกครั้ง ไดร์เวอร์ที่ไม่รองรับ หรือไดร์เวอร์ตกรุ่นเก่าเกินไป เป็นสาเหตุของปัญหาคอมพิวเตอร์ได้หลายอย่าง ซึ่งในกรณีที่เลวร้ายที่สุด คือ การนำพาผู้ใช้ไปพบเจอกับ จอฟ้าแห่งความตาย (BSOD) ในการแก้ไขปัญหา ให้เราเข้าไปอัปเดตไดร์เวอร์ หรือติดตั้งไดร์เวอร์ใหม่ใน Device Manager ด้วยวิธีการดังต่อไปนี้
คลิกขวาที่ "เมนู Start" แล้วเลือก "เมนู Device Manager" ในส่วนของ Device Manager ให้คลิกที่ "เมนู Action" แล้วเลือก "เมนู Scan for Hardware Changes"
ตรวจสอบว่ามีเครื่องหมาย " " ปรากฏอยู่ด้านหน้าของอุปกรณ์ตัวใดหรือไม่ หากมี หรือว่าปัญหาเกิดขึ้นหลังจากที่ได้อัปเดตไดร์เวอร์ของอุปกรณ์ชิ้นไหนไป ให้เราคลิกขวาที่ชื่อของอุปกรณ์ดังกล่าว แล้วเลือก "เมนู Uninstall device"
หากอุปกรณ์ดังกล่าวเป็นอุปกรณ์ของระบบ (เช่น พอร์ตเชื่อมต่อ, บลูทูธ ฯลฯ) เมื่อคุณรีสตาร์ตเครื่อง ไดร์เวอร์จะถูกติดตั้งให้ใหม่อัตโนมัติ แต่ถ้าเป็นอุปกรณ์ บุคคลที่สาม (3rd-Party) คุณจะต้องถอดแล้วเชื่อมต่อใหม่อีกครั้ง หรือดาวน์โหลดไดร์เวอร์จากเว็บไซต์ของผู้ผลิตมาติดตั้งด้วยตนเอง 4. ใช้คำสั่ง bcdedit Bad System Config Info อาจเกิดได้จากการที่ระบบมีการตั้งค่าไม่ถูกต้อง หรือผิดปกติ อย่างเช่นการที่หน่วยความจำ หรือซีพียูกำหนดค่าการทำงานไม่เหมาะสม ส่งผลให้ระบบไม่สามารถทำงานได้อย่างที่ควรจะเป็น ซึ่งเราสามารถใช้คำสั่ง bcdedit command เพื่อแก้ไขปัญหาได้ด้วยวิธีการดังนี้
กด "ปุ่ม Shift" ค้างเอาไว้ จากนั้นก็สั่งรีสตาร์ตคอมพิวเตอร์ โดยไม่ต้องปล่อย "ปุ่ม Shift" เพื่อบูตเข้าสู่ "เมนู Advanced Startup" คลิกเลือก "เมนู Choose an Option" ตามด้วย "เมนู Troubleshoot" ใน "หน้าต่าง Troubleshoot" ให้เลือก "เมนู Advanced Options" ตามด้วย "เมนู Command Prompt" ภาพจาก : https://www.maketecheasier.com/fix-bad-system-config-info-error-windows10/
คอมพิวเตอร์จะรีสตาร์ต แล้วแสดง "หน้าต่าง Command Prompt" ขึ้นมา พิมพ์คำสั่งต่อไปนี้ลงไป bcdedit/deletevalue {default} numproc แล้วกด "ปุ่ม Enter" bcdedit/deletevalue {default} truncatememory แล้วกด "ปุ่ม Enter" ปิด "หน้าต่าง Command Prompt" แล้วรีสตาร์ตคอมพิวเตอร์ใหม่ 5. ซ่อมแซมไฟล์ Boot Configuration Data (BCD) หากไฟล์ Boot Configuration Data (BCD) มีความเสียหายเกิดขึ้น มันจะส่งผลให้การทำงานของระบบปฏิบัติการ Windows ไม่สามารถใช้งานได้ เพื่อที่จะแก้ไขปัญหานี้ คุณจำเป็นต้องใช้แผ่นติดตั้ง Windows หรือใช้ Media Creation Tool สร้างแฟลชไดร์ฟสำหรับติดตั้ง Windows เข้ามาช่วยในการแก้ไขปัญหา
ข้อมูลเพิ่มเติม : วิธีติดตั้ง ระบบปฏิบัติการ Windows 11 ผ่านสื่อการติดตั้ง (Installation Media)
วิธีการซ่อมแซมไฟล์ Boot Configuration Data (BCD) ทำได้ด้วยวิธีการ ดังนี้
ใส่แผ่นติดตั้ง Windows หรือเสียบแฟลชไดร์ฟสำหรับติดตั้ง Windows เข้ากับคอมพิวเตอร์ จากนั้นก็บูตคอมพิวเตอร์ใหม่ โดยสั่งให้บูตจากแผ่น หรือแฟลชไดร์ฟ (เลือกลำดับการบูตได้ใน ไบออส (BIOS) ) เมื่อหน้าต่างติดตั้งระบบปฏิบัติการ Windows แสดงขึ้นมา ให้คลิก "ปุ่ม Next" เลือก "เมนู Repair your computer" คลิกเลือก "เมนู Troubleshoot" ตามด้วย "เมนู Advanced Options" และตามด้วย "เมนู Command Prompt" พิมพ์คำสั่งต่อไปนี้ลงไป bootrec /repairbcd แล้วกด "ปุ่ม Enter" bootrec /osscan แล้วกด "ปุ่ม Enter" bootrec /repairmbr แล้วกด "ปุ่ม Enter" ปิด "หน้าต่าง Command Prompt" แล้วรีสตาร์ตคอมพิวเตอร์ใหม่ 6. ซ่อมแซมไฟล์ Registry ความเสียหาย หรือความผิดพลาดที่เกิดขึ้นกับไฟล์ Registry ก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งของปัญหา Bad System Config Info ซึ่งเราสามารถซ่อมแซมไฟล์ Registry ให้กลับมาทำงานได้ปกติดังเดิม ด้วยวิธีการดังต่อไปนี้
ใส่แผ่นติดตั้ง Windows หรือเสียบแฟลชไดร์ฟสำหรับติดตั้ง Windows เข้ากับคอมพิวเตอร์ จากนั้นก็บูตคอมพิวเตอร์ใหม่ โดยสั่งให้บูตจากแผ่น หรือแฟลชไดร์ฟ (เลือกลำดับการบูตได้ใน BIOS ) เมื่อหน้าต่างติดตั้งระบบปฏิบัติการ Windows แสดงขึ้นมา ให้คลิก "ปุ่ม Next" เลือก "เมนู Repair your computer" คลิกเลือก "เมนู Troubleshoot" ตามด้วย "เมนู Advanced Options" ตามด้วย "เมนู Command Prompt" พิมพ์คำสั่งต่อไปนี้ลงไป cd C:\Windows\System32\config แล้วกด "ปุ่ม Enter" ren C:\Windows\System32\config\DEFAULT DEFAULT.old แล้วกด "ปุ่ม Enter" ren C:\Windows\System32\config\SAM SAM.old แล้วกด "ปุ่ม Enter" ren C:\Windows\System32\config\SECURITY SECURITY.old แล้วกด "ปุ่ม Enter" ren C:\Windows\System32\config\SOFTWARE SOFTWARE.old แล้วกด "ปุ่ม Enter" ren C:\Windows\System32\config\SYSTEM SYSTEM.old แล้วกด "ปุ่ม Enter" copy C:\Windows\System32\config\RegBackDEFAULT C:\Windows\System32\config\ แล้วกด "ปุ่ม Enter" copy C:\Windows\System32\config\RegBackDEFAULT C:\Windows\System32\config\ แล้วกด "ปุ่ม Enter" copy C:\Windows\System32\config\RegBackSAM C:\Windows\System32\config\ แล้วกด "ปุ่ม Enter" copy C:\Windows\System32\config\RegBackSECURITY C:\Windows\System32\config\ แล้วกด "ปุ่ม Enter" copy C:\Windows\System32\config\RegBackSYSTEM C:\Windows\System32\config\ แล้วกด "ปุ่ม Enter" copy C:\Windows\System32\config\RegBackSOFTWARE C:\Windows\System32\config\ แล้วกด "ปุ่ม Enter" 7. ทำ System Restore เพื่อย้อนคืนค่าของระบบ วิธีนี้อาจจะสามารถแก้ไขปัญหาให้คุณได้ หรือไม่ช่วยอะไรเลย แต่ก็เป็นวิธีที่ควรลองในกรณีที่วิธีอื่นไม่สามารถช่วยแก้ไขปัญหาให้คุณได้
กด "ปุ่ม Shift" ค้างเอาไว้ จากนั้นก็สั่งรีสตาร์ตคอมพิวเตอร์ โดยไม่ต้องปล่อย "ปุ่ม Shift" เพื่อบูตเข้าสู่ "เมนู Advanced Startup" คลิกเลือก "เมนู Choose an Option" ตามด้วย "เมนู Troubleshoot" ใน "หน้าต่าง Troubleshoot" ให้เลือก "เมนู Advanced Options" ตามด้วย "เมนู System Restore" ภาพจาก : https://www.maketecheasier.com/fix-bad-system-config-info-error-windows10/
เลือกบัญชีผู้ใช้ เลือกตำแหน่งจุด Restore ที่ต้องการ คลิก "ปุ่ม Next" แล้วรอมันทำงานจนเสร็จ 8. รีเซ็ต Windows ใหม่ วิธีที่สามารถทำได้ แต่ที่ต้องเก็บไว้เป็นทางเลือกสุดท้ายก็เพราะว่าการรีเซ็ต Windows จะทำให้ไฟล์ในไดร์ฟ C: (ไดร์ฟที่ติดตั้งระบบปฏิบัติการ Windows) หายไปทั้งหมด ดังนั้น ก่อนลงมือทำวิธีนี้อย่าลืมสำรองข้อมูลที่สำคัญเอาไว้ก่อนให้เรียบร้อย ถ้าตัดสินใจได้แล้ว ก็ให้ทำตามขั้นตอนดังต่อไปนี้
กด "ปุ่ม Shift" ค้างเอาไว้ จากนั้นก็สั่งรีสตาร์ตคอมพิวเตอร์ โดยไม่ต้องปล่อย "ปุ่ม Shift" เพื่อบูตเข้าสู่ "เมนู Advanced Startup" คลิกเลือก "เมนู Choose an Option" ตามด้วย "เมนู Troubleshoot" ใน "หน้าต่าง Troubleshoot" ให้เลือก "เมนู Reset this PC"
เลือก "เมนู Remove everything" ตามด้วย "Only the drive where Windows is installed" ตามด้วย "Just remove my files" คลิก "ปุ่ม Reset" แล้วรอให้มันดำเนินการจนเสร็จสิ้น คอมพิวเตอร์ของคุณจะกลับไปเหมือนตอนที่เพิ่งติดตั้งระบบปฏิบัติการ Windows ใหม่ ซึ่งปัญหาใด ๆ ก็ตามที่มีอยู่ก็น่าจะหายไปด้วย ที่มา : www.maketecheasier.com , www.freepik.com