คริปโตเคอร์เรนซี (Cryptocurrency) กลายเป็นหนึ่งในการลงทุนที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากไปแล้ว ซึ่งไม่ได้มีเพียงแค่ บิทคอยน์ (Bitcoin) เท่านั้น แต่มีเหรียญคริปโตต่าง ๆ ได้เกิดขึ้นมามากมาย และสำหรับใครที่ยังไม่ได้เข้ามาในวงการนี้ และสนใจอยากจะลงทุนบ้าง เราลองมาทำความรู้จักกับ Bitcoin กันซักหน่อย ว่าทำไมถึงกลายเป็นเหรียญดิจิทัลที่มูลค่าสูงถึงขนาดนั้น แล้วถ้า อยากจะลงทุน Bitcoin บ้างต้องเริ่มที่ไหนอย่างไร ลองมาอ่านบทความนี้กันดูนะ (หรือจะชมคลิปอีกทางก็ได้เช่นกัน)
Bitcoin หรือ เงินบิตคอยน์ ก็คือสกุลเงินดิจิทัลที่ถูกสร้างขึ้นมาด้วยภาษาคอมพิวเตอร์ ซึ่งก็เป็นสกุลเงินคล้าย ๆ กับเงินบาท หรือ ดอลล่าร์ ที่เรารู้จักกัน เพียงแต่สกุลเงินนี้เกิดขึ้นด้วยเทคโนโลยีที่เรียกว่า Blockchain ที่ถูกสร้างมาเพื่อเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนแบบดิจิทัลและดูแลโดยมหาชน ไม่มีใครคนใดคนหนึ่งเป็นตัวกลางและมีความโปร่งใส
โดยผู้ที่คิดค้น Bitcoin มีชื่อว่า Satoshi Nakamoto ซึ่งแรกเริ่มเดิมทีนั้น Bitcoin ถูกออกแบบมาเพื่อเป็นอีกหนึ่งสกุลเงินสำหรับการใช้จ่ายประจำวัน และหลีกเลี่ยงความเสี่ยงจากเหตุการณ์ที่ธนาคารขนาดยักษ์ของโลกล้มละลายในปี ค.ศ. 2008 (พ.ศ. 2551) อีกด้วย
ซึ่งในหลายๆ ประเทศ อย่างเช่น ประเทศญี่ปุ่น สามารถใช้เงินบิตคอยน์ ในการใช้ชำระสินค้าและบริการได้อย่างถูกกฏหมายแล้ว แต่ในประเทศไทยเอง เงินบิตคอยน์ก็ยังไม่ได้ถูกรับรองว่าเป็นเงินที่ถูกต้องตามกฏหมายโดยธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)
ข้อมูลเพิ่มเติม : Bitcoin คืออะไร ? Bitcoin Cash คืออะไร ? และต่างกันอย่างไร ?
ก่อนจะไปดูในเรื่องของวิธีการลงทุน เรื่องที่น่าศึกษาของ Bitcoin ก็คือการเติบโตของราคาที่ผ่านมาถึง 10 กว่าปี จากเหรียญที่ไม่มีมูลค่าเลย แต่ละปีโตขึ้นมาอย่างไรบ้าง ? ลองมาศึกษาไทม์ไลน์กันดูนะครับ
ในปี ค.ศ. 2009 (พ.ศ. 2552) เหรียญ Bitcoin ถูกเปิดตัวออกสู่ตลาดในครั้งแรกด้วยมูลค่า 0 เหรียญสหรัฐ ต่อจากนั้น ในวันที่ 17 กรกฎาคม ค.ศ. 2010 จึงเริ่มมีราคากับเขาที่ 0.09 ดอลลาร์สหรัฐ (ไม่ถึง 5 บาทด้วยซ้ำ) หลังจากนั้นเป็นเวลาเกือบปี ในช่วงวันที่ 13 เมษายน - 7 มิถุนายน ค.ศ. 2011 (พ.ศ. 2554) เหรียญ Bitcoin ก็มีการเติบโตแบบก้าวกระโดดจาก 1 ดอลลาร์สหรัฐ ขึ้นไปถึง 29.60 ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 1,000 บาท)
จากข้อมูลด้านบน จะเห็นได้ว่า ภายในเวลา 3 เดือน กลับมีการเติบโตถึง 2,960 % ด้วยกัน แต่ในตลาดสกุลเงินดิจิทัลนั้น มีความผันผวนสูงจึงทำให้ช่วงกลางเดือนพฤศจิกายน ปีเดียวกันนั้น ราคาก็ตกกลับมาที่ 2 ดอลลาร์สหรัฐ และในปีถัดมา ราคาก็ฟื้นตัวกลับมาช้า ๆ ที่ 4.85 ดอลลาร์สหรัฐ ในวันที่ 9 พฤษภาคม และ 13.50 ดอลลาร์สหรัฐ ในวันที่ 15 สิงหาคม ค.ศ. 2012
เว้นไป 1 ปี เหรียญ Bitcoin กลับมาทำสถิติใหม่อีกครั้งในปี ค.ศ. 2013 (พ.ศ. 2556) โดยเริ่มต้นปีที่ 13.28 ดอลลาร์สหรัฐ และโตขึ้นไปถึง 230 ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 7,700 บาท) ในวันที่ 8 เมษายน และก็แน่นอนว่าความผันผวนย่อมเกิดขึ้น ราคาก็ตกลงอย่างรวดเร็วจนในวันที่ 4 กรกฎาคม ก็เหลือเพียง 68.50 ดอลลาร์สหรัฐเท่านั้น (ประมาณ 2,000 บาท)
แต่ในปี ค.ศ. 2013 (พ.ศ. 2556) ยังไม่จบ ในช่วงเดือนตุลาคม Bitcoin มีราคาอยู่ที่ 123 เหรียญสหรัฐ และส่งท้ายเดือนธันวาคมด้วยการดีดตัวของราคาขึ้นไปถึง 1,237.55 ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 40,000 บาท) และตกลงมาอย่างรวดเร็วเหลือ 687.02 ดอลลาร์สหรัฐ ใน 3 วันถัดมา หลังจากนั้น 2 ปีต่อมา ก็เป็นช่วงขาลงอย่างต่อเนื่องจนจบปี ค.ศ. 2015 (พ.ศ. 2558) ที่ 315.21 ดอลลาร์สหรัฐ
ปี ค.ศ. 2016 (พ.ศ. 2559) เป็นปีที่ราคาของ Bitcoin กลับมาโตขึ้นเรื่อย ๆ จนมีมูลค่าที่ 900 ดอลลาร์สหรัฐตอนจบปี หลังจากนั้นในปี ค.ศ. 2017 (พ.ศ. 2560) ราคาคงตัวอยู่ที่ช่วง 1,000 ดอลลาร์สหรัฐ ก่อนจะขึ้นไปแตะ 2,000 ดอลลาร์สหรัฐในช่วงกลางเดือนพฤษภาคม และกราฟพุ่งทะยานส฿งไปจนถึง 19,345.49 เหรียญ (ประมาณ 650,000 บาท) ในวันที่ 15 ธันวาคม ในช่วงนีทั้งนักลงทุน รัฐบาล นักเศรษฐศาสตร์ นักวิทยาศาสตร์ต่างก็ให้ความสนใจกับ Bitcoin เป็นอย่างมาก รวมทั้งหน่วยงานต่าง ๆ ก็เริ่มพัฒนา คริปโตเคอร์เรนซี เหรียญใหม่ ๆ เข้ามาแข่งขันกับ Bitcoin
ในช่วง 2 ปีถัดมาตั้งแต่ ค.ศ. 2018 - 2019 (พ.ศ. 2561 - 2562) ก็ไม่ได้มีอะไรหวือหวาสำหรับ Bitcoin มีขึ้น ๆ ลง ๆ อยู่เรื่อย ๆ จบปีไปด้วยราคา 6,635.34 ดอลลาร์สหรัฐ
ปี ค.ศ. 2020 (พ.ศ. 2563) เป็นปีที่มีการเปลี่ยนแปลงเยอะพอสมควรด้วยโรคระบาด COVID-19 ทางรัฐบาลออกนโยบายต่าง ๆ เพื่อแก้ปัญหาโรคระบาดซึ่งส่งผลให้เศรษฐกิจชะงักไปด้วย ในวันที่ 13 มีนาคม ราคาของ Bitcoin ร่วงลงไปแตะถึง 3,800 ดอลลาร์สหรัฐ แต่ก็ไม่ได้แย่ลงตลอดทั้งปี ในวันที่ 23 พฤศจิกายน Bitcoin มีราคาขึ้นมาที่ 19,157.16 ดอลลาร์สหรัฐ และจบปีไปด้วยราคา 29,000 ดอลลาร์สหรัฐ ถ้าตีเป็นเงินไทยก็ใกล้แตะ 1 ล้านบาทเต็มที่แล้ว
ถือว่ารับต้นปี ค.ศ. 2021 (พ.ศ. 2564) ได้โหดมาก เพียงแค่วันที่ 7 มกราคม Bitcoin ก็มีราคาพุ่งสูงไปถึง 40,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือก็คือทะลุ 1 ล้านบาทแล้ว (ประมาณ 1,340,000 บาท) ซึ่งก็ยังไม่หยุดอยู่แค่นั้น เพราะในช่วง 12 เมษายน ก็ทำ New-high ใหม่ที่ 63,000 ดอลลาร์สหรัฐ (หรือประมาณ 2,110,000 บาท)
ในช่วงกลางปี ราคาก็ยังคงขึ้น ๆ ลง ๆ อย่างในวันที่ 19 กรกฎาคม ราคาร่วงลงมาอยู่ที่ 29,795.55 ดอลลาร์สหรัฐ เริ่มพุ่งกลับมาในช่วงเดือนกันยายนที่ 52,693.32 ดอลลาร์สหรัฐ แต่ 2 สัปดาห์ถัดมาก็ร่วงลงมาอยู่ที่ 40,709.59 ดอลลาร์สหรัฐ
ต่อมาในวันที่ 10 พฤศจิกายน Bitcoin ก็กลับมาทำลายสถิติอีกครั้งด้วยราคา 68,990.90 ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 2,310,000 บาท) แต่ในช่วงต้นเดือนธันวาคมถัดมา ก็เกิด COVID-19 โอมิครอน โรคระบาดระลอกใหม่ขึ้นมา จึงส่งผลกระทบต่อราคาของ Bitcoin อีกครั้ง เหลือเพียง 49,243.39 ดอลลาร์สหรัฐ
ในปี ค.ศ. 2022 (พ.ศ. 2565) นอกจากโรคระบาดแล้ว ก็ยังมีผลลกระทบด้านการเมืองต่าง ๆ รอบด้าน จากประเทศมหาอำนาจทั้งหลาย ส่งผลให้ราคาของ Bitcoin ไม่สู้ดีนัก โดยในวันที่ 22 มกราคม ราคาลงไปต่ำสุดที่ 35,070.10 ดอลลาร์สหรัฐ และยังไม่กลับไปแตะ 50,000 ดอลลาร์ตั้งแต่ต้นปี
เมื่อดูจากอดีตถึงปัจจุบันในระยะยาวแล้ว จะเห็นว่า Bitcoin มีการเติบโตแบบก้าวกระโดดสูงขึ้นเรื่อย ๆ แต่ด้วยสถานการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นทั้งในอดีตและปัจจุบัน ก็ทำให้คาดเดาได้ยากอยู่ดีว่าทิศทางจะไปทางไหน ซึ่งถ้าใครคิดจะลงทุนตรงนี้ ก็ต้องรับความเสี่ยงกันอยู่ไม่น้อยเลย
เราจะสามารถถือ Bitcoin เป็นสินทรัพย์ (Asset) ได้ไหม ในปัจจุบันเริ่มมีหลายหน่วยงานที่ยอมรับ Bitcoin เป็นหนึ่งในเงินตราสำหรับจับจ่ายใช้สอย มีนักลงทุนหลายท่านที่หันมาถือ Bitcoin กันมากขึ้น และลงทุนกับทองน้อยลง แต่สิ่งหนึ่งที่ต้องยอมรับก็คือ ธรรมชาติของคริปโตเคอร์เรนซีมีความผันผวนค่อนข้างสูงกว่าสินทรัพย์อื่น ๆ วันนี้เราถือไว้หนึ่งล้านบาท พรุ่งนี้อาจจะกลายเป็นห้าล้านหรือห้าสิบบาทก็ได้
แต่ก็มีหลายปัจจัย ทั้งทฤษฎีต่าง ๆ รวมทั้งผู้ที่มีชื่อเสียงด้านการเงินที่ออกมาให้เครดิตกับ Bitcoin ทำให้คริปโตเคอร์เรนซีสกุลนี้ มีความน่าเชื่อถืออยู่ไม่น้อย อย่างแรกก็คือทฤษฎีระหว่าง Fiat Currency กับ Cryptocurrency
Fiat Currency คือ สกุลเงินโดยทั่วไป ที่ทางรัฐบาลในแต่ละประเทศได้พิมพ์ธนบัตรขึ้นมาและกำหนดมูลค่าขึ้นมาให้นำมาใช้จ่ายได้ตามกฏหมาย โดยก่อนหน้านี้การพิมพ์ธนบัตรขึ้นมาต้องอ้างอิงตามมูลค่าของทองคำ แต่เกิดเหตุการณ์ที่ทางสหรัฐฯ ได้พิมพ์เงินออกมาเกินมูลค่าทองคำที่มี ระบบดังกล่าวจึงถูกยกเลิก และใช้ระบบเงินตราสำรองระหว่างประเทศเป็นหลักค้ำประกันมูลค่าของธนบัตรแทนทองคำ จึงทำให้สามารถพิมพ์เงินออกมาได้อย่างไม่จำกัด
ซึ่งตรงนี้ทำให้ Fiat Currency ต่างจาก Cryptocurrency อย่าง Bitcoin ที่มีจำนวนจำกัดและคาดว่ามูลค่าอาจจะสูงขึ้นเรื่อย ๆ
Ray Dalio นักลงทุนระดับพันล้าน สัญชาติอเมริกัน ก็ได้เคยออกมากล่าวถึงความเป็นไปได้ที่ Bitcoin อาจจะถูกจัดอยู่ในสิททรัพย์ประเภทเดียวกับทองคำอีกด้วย
หากเป็นไปตามที่คาดการณ์ Bitcoin จะกลายเป็นอีกทางเลือกในการลงทุนคู่กับทองคำได้
Ray Dalio (นักลงทุนชาวอเมริกัน)
ภาพจาก 4k0https://en.wikipedia.org/wiki/Ray_Dalio
เมื่อมีนักลงทุนมาให้ความสนใจเกี่ยวกับคริปโตเป็นอย่างมาก จึงไม่พ้นที่ใน Wall Street จะมีการพูดถึงเรื่องนี้กันมากขึ้น บริษัทยักษ์ใหญ่ต่าง ๆ ก็หันมาจับธุรกิจทางด้านนี้กันอย่างมากมาย ไม่ว่าจะเป็น Facebook เอง หรือแบรนด์ชั้นนำ ที่เริ่มจะมีเหรียญสกุลคริปโตของตัวเอง หรือการเตรียมทำตลาดใน metaverse หรืออีกบริษัทยักษ์ใหญ่ Wells Fargo ทางผู้บริหาร John La Forge ก็ออกมาพูดถึง Bitcoin เช่นกัน
เวลาได้ผ่านมา 12 ปีแล้วสำหรับตลาดคริปโตที่เริ่มโดยไม่มีมูลค่าและได้เติบโตขึ้นมา จนถึงปัจจุบันซึ่งมีมูลค่าตลาดอยู่ที่ 5.6 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จึงเป็นเรื่องที่น่าสนใจและควรนำเข้าที่ประชุมเพื่อมองหาทางเลือกในการลงทุนใหม่ ๆ
John LaForge ผู้บริหาร Wells Fargo
ภาพจาก https://www.barrons.com/articles/gold-is-going-nowhere-for-at-least-5-years-1491903467
diem หรือ libra สกุลเงินคริปโตที่เป็นข่าวของทาง Facebook
ภาพจาก https://boxmining.com/diem-facebooks-libra/
ถึงจะบอกว่าเป็นสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูง แต่มูลค่าสินทรัพย์ของ Bitcoin ก็ไม่ได้บอกว่าเป็นอย่างนั้นเลย เพราะสินทรัพย์ที่ว่า ไปอยู่ในท็อปชาร์ตของสินทรัพย์โลกถึงอันดับ 9 ด้วยกัน
ข้อมูลจาก https://companiesmarketcap.com/assets-by-market-cap/ (เมื่อวันที่ 2/3/2565)
ถ้าอยากจะถือ Bitcoin เป็นสินทรัพย์ลงทุนบ้างต้องทำอย่างไร ? ในบทความนี้ อาจจะไม่ได้ลงลึกมาก แต่จะแนะนำเบื้องต้นให้ได้รู้จักตลาด Bitcoin กันคร่าว ๆ นะครับ โดยการลงทุน Bitcoin จะแบ่งออกเป็น 2 รูปแบบหลัก ๆ ด้วยกัน ได้แก่
การขุด Bitcoin น่าจะเป็นคำที่คุ้นหูของใครหลาย ๆ คน แนวคิดก็คือการขุดหาเหรียญขึ้นมาใหม่นั่นแหละ ซึ่งเหรียญ Bitcoin ในระบบถูกสร้างมาเป็นจำนวนทั้งหมด 21 ล้าน Bitcoin (ต่อไปนี้ขอแทนด้วย BTC) และปล่อยให้คนขุดขึ้นมาเรื่อย ๆ ตั้งแต่ ปี ค.ศ. 2009 (พ.ศ. 2552) มาจนถึงปี ค.ศ. 2022 (พ.ศ. 2565) ที่ผู้เขียนกำลังเขียนบทความนี้อยู่ เหรียญ Bitcoin ก็เหลือให้ขุดเพียง 2 ล้าน BTC เท่านั้น
จำนวนบิทคอยน์เหลือเพียง 2 ล้านเหรียญ (ข้อมูลเมื่อวันที่ 2/3/65)
ภาพจาก https://www.buybitcoinworldwide.com/how-many-bitcoins-are-there/
ถ้าดูเผิน ๆ แล้ว ก็แปลว่าอีกไม่นานเหรียญ Bitcoin ก็จะหมดแล้วหรือเปล่า ? ต้องอธิบายว่าระบบการขุด Bitcoin นั้นจะถูกลดรางวัลอยู่เรื่อย ๆ โดยทุก ๆ 10 นาที จะมีบล็อกในระบบเกิดขึ้น 1 บล็อก (Block) ภายในบล็อกจะมีเหรียญ Bitcoin อยู่จำนวนหนึ่ง แรกเริ่มจะมีอยู่ที่ 50 BTC แต่เมื่อผ่านไป 4 ปี รางวัลจะถูกลดลงครึ่งหนึ่ง ซึ่งในปี ค.ศ. 2022 (พ.ศ. 2565) 1 บล็อกก็เหลือเพียง 6.25 BTC เท่านั้น
โอกาสในการได้ 6.25 BTC เป็นการแข่งขันกันแก้สมการในบล็อกนั้น ๆ ซึ่งทำผ่านซอฟต์แวร์ต่าง ๆ เพื่อประมวลผลหาเลขคำตอบ ผู้ที่ทำได้จะได้รับส่วนแบ่งจากรางวัลนั้น ๆ หารกันไปตามแรงขุดของอุปกรณ์ที่ทำได้ เท่ากับว่ายิ่งเครื่องขุดแรง ก็มีโอกาสที่จะได้รางวัลบ่อยขึ้นและมูลค่ามากขึ้น
คำตอบของคำถามที่ว่า เหรียญ Bitcoin จะหมดในเร็ว ๆ นี้ ไหม ? คำตอบก็คือไม่ เพราะยิ่งนานวัน รางวัลก็จะยิ่งลดลงเรื่อย ๆ แต่ในทางกลับกัน ผู้ที่เข้าร่วมมาขุด Bitcoin ก็จะมากขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้มีตัวหารมากขึ้นในขณะที่รางวัลจากการขุดลดลง ถ้าจะเข้ามาขุด สิ่งที่ต้องคาดหวังก็คือมูลค่าของ Bitcoin จะต้องสูงกว่านี้ จนคุ้มที่จะลงทุน
สำหรับใครที่สนใจจะขุด Bitcoin มีขั้นตอนในการขุดดังนี้
วิธีการขุด Bitcoin สามารถทำได้ผ่านคอมพิวเตอร์ ที่สามารถเปิดซอฟต์แวร์ได้ และถ้าประมวลผลได้เร็ว ก็จะมีโอกาสในการขุดและได้รับค่าตอบแทนมากขึ้น จึงเป็นสาเหตุที่ช่วงหนึ่ง อุปกรณ์การ์ดจอ (GPU) มีราคาสูง และขาดตลาดไป แต่เมื่อมีการแข่งขันสูงขึ้น และค่าไฟในการเปิดคอมพิวเตอร์เพื่อขุด Bitcoin นั้น ก็ไม่ใช่ถูก ๆ จึงมีอุปกรณ์สำหรับการขุดโดยเฉพาะที่ชื่อว่า ASIC ขึ้นมา โดยมีประสิทธิภาพในการทำงานแรงกว่า GPU หลายเท่าเลยทีเดียว และแน่นอนว่าราคาก็แพงตาม ซึ่งมีตั้งแต่หลักหมื่นยันหลักแสนเลยทีเดียว
เครื่อง ASIC : Antminer S9
ภาพจาก https://www.asicminervalue.com/miners/bitmain/antminer-s9-14th
เมื่อมีอุปกรณ์แล้ว ก็ต้องมีซอฟต์แวร์ในการเชื่อมต่ออุปกรณ์กับระบบบล็อกเชนของ Bitcoin ซึ่งมีซอฟต์แวร์ฟรีให้เลือกมากมายสำหรับการขุด Bitcoin ตัวอย่างเช่น
จริง ๆ มีเพียงอุปกรณ์และซอฟต์แวร์ก็น่าจะสามารถขุดได้แล้ว แต่เมื่อการแข่งขันสูง สถานการณ์ก็เปลี่ยนไป การขุด Bitcoin กลายเป็นระดับองค์กรที่มีกำลังขุดสูงกว่าคนที่มีกำลังลงทุนน้อย ๆ ที่ดูเหมือนจะไม่มีโอกาสชนะเลย จึงมีการรวมตัวเปิด Pool เพื่อช่วยกันขุดแข่งขันกับกลุ่มใหญ่ ๆ แทน กลายเป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่เราต้องเข้าร่วม และจ่ายค่าบริการเพื่อให้สามารถได้รางวัลจากการขุด Bitcoin นั่นเอง
เมื่อเตรียมทุกอย่างเรียบร้อยก็เริ่มที่จะขุด Bitcoin ได้แล้ว เสียบปลั๊กเปิดอุปกรณ์ เปิดซอฟต์แวร์เชื่อมต่อกับบล็อกเชน Bitcoin ใส่รายละเอียด Wallet สำหรับเก็บเหรียญ Bitcoin ที่จะได้รับ และเริ่มทำการขุด (Mine)
สำหรับการเทรด Bitcoin เป็นวิธีที่เราจะได้รับเหรียญ Bitcoin โดยไม่จำเป็นต้องลงทุนอุปกรณ์ขุด ลักษณะก็จะเหมือนกับการเทรดหุ้น ก็คือเราสามารถซื้อเหรียญ Bitcoin ได้เลยผ่านผู้ให้บริการ หรือกระดานเทรดคริปโตนั่นเอง
ภาพจาก https://citywire.ch/news/crypto-etp-founder-buying-crypto-should-be-as-easy-as-trading-stocks/a1178683
โดยการเทรดเราไม่จำเป็นต้องซื้อ Bitcoin จำนวน 1 เหรียญในราคาเต็ม แต่มันถูกแบ่งย่อยออกเป็น 100 ล้านหน่วยให้ได้แบ่งเทรดกันแทนโดยมีชื่อหน่วยว่า Satoshi (SATS) ตามชื่อของผู้สร้าง ส่วนวิธีการเล่นก็แล้วแต่ผู้เทรดเลย ว่าจะซื้อเก็บไว้ยาว ๆ รอขายทีเดียว หรือจะซื้อ-ขายระยะสั้นก็ได้ แต่ต้องไม่ลืมว่าตลาด Bitcoin จะแตกต่างกับตลาดหุ้นตรงนี้ ตลาดหุ้นยังมีปิดตลาดบ้าง แต่ตลาดคริปโตนั้นเปิดอยู่ตลอดเวลา ราคาค่อนข้างผันผวน และมีความเสี่ยงสูงมาก ๆ ครับ
สำหรับการเทรดก็มีขั้นตอนดังนี้
การจะซื้อ Bitcoin หรือคริปโตต่าง ๆ ต้องทำผ่านตัวกลางเหมือนโบรกเกอร์ (Broker) สำหรับเทรดหุ้น ซึ่งมีอยู่มากมาย เช่น Coinbase, Kraken, Gemini, FTX, Binance แต่ละผู้ให้บริการก็จะมีเงื่อนไขที่แตกต่างกัน เช่น ค่าธรรมเนียมในการเทรด การถอน สกุลเงินที่รองรับในการทำธุรกรรม ประเทศที่สามารถใช้บริการได้ หรือลองดูผู้ให้บริการในประเทศไทย ที่เราจะแนะนำในหัวข้อถัดไปในบทความก็ได้
เมื่อเลือกได้แล้วก็เข้าไปสมัครและทำการยืนยันตัวตน ยื่นหลักฐานต่าง ๆ ตามขั้นตอนของแต่ละผู้ให้บริการได้เลย เนื่องจากการเทรดเป็นการทำธุรกรรม จึงมีการขอหลักฐานระบุตัวตนจำพวก บัตรประชาชน ใบขับขี่ ไปจนถึงประวัติการทำงาน หรือประวัติส่วนตัวเลยทีเดียว ขึ้นอยู่กับกฏหมายของแต่ละผู้ให้บริการ และบ้านเรา
หลังจากนั้นก็จะมีการใส่ข้อมูลเชื่อมต่อตัวเลือกในการใช้จ่าย ไม่ว่าจะเป็นเชื่อมต่อกับบัญชีธนาคาร หรือบัตรเครดิต บัตรเดบิต เพื่อใช้ในการฝาก-ถอนเงินกับระบบเทรดนั่นเอง
วิธีการซื้อ เหรียญ Bitcoin กับผู้ให้บริการมีอยู่หลายวิธีการด้วยกัน บางผู้ให้บริการจะมีฟังก์ชัน P2P (Peer-to-peer) ให้ผู้ใช้ทำการซื้อขายกันเอง วิธีนี้จะดีตรงที่รองรับบริการธุรกรรมของประเทศนั้น ๆ ด้วย เช่น เราสามารถโอนเงินเข้าธนาคารผู้ขายได้โดยตรง จากนั้นผู้ขายก็จะส่ง BTC มายังกระเป๋า (Wallet) บัญชีของเราบนเว็บ
หากเรามีเงินอยู่ใน Wallet ของเว็บแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเงิน Fiat หรือคริปโตสกุลอื่น ๆ ก็สามารถทำการ Convert ให้เป็น BTC หรือใช้กระดานเทรด เปิดออเดอร์ เพื่อตั้งรับราคาที่ต้องการได้
หากใครต้องการจะเก็บเหรียญไว้ยาว ๆ ไม่ได้คิดจะเทรดระยะสั้น ก็สามารถถอนเหรียญออกมาเก็บไว้ในกระเป๋าเงินคริปโตได้ ซึ่งกระเป๋าเงินคริปโตจะมีด้วยกันหลายประเภท สามารถไปอ่านบทความด้านล่างนี้ได้เลย
อ่านเพิ่มเติม : Crypto Wallet คืออะไร ? มีหลักการการทำงานอย่างไร ? และ กระเป๋าคริปโต มีแบบไหนบ้าง ?
การเทรด Bitcoin จะต้องมีผู้ให้บริการเทรด หรือ โบรกเกอร์ ก่อน ซึ่งเราจะมาแนะนำให้รู้จักกับ ผู้ให้บริการเทรดในประเทศไทย กัน
เว็บเทรดคริปโตสัญชาติไทย ที่มีการโปรโมทอย่างมากมาย และได้รับความนิยมอย่างมากในประเทศไทย
เว็บเทรดคริปโตรุ่นบุกเบิก ชื่อเดิมก็คือ TDAX ก่อนจะมาเป็นสตางค์โปรในปัจจุบัน ความโดดเด่นคือสามารถฝาก-ถอนเหรียญจากไบแนนซ์เว็บเทรดคริปโตจากจีนที่ได้รับความนิยมสูงสุด ได้อย่างรวดเร็วโดยไม่มีค่าธรรมเนียม
เว็บเทรดบริปโตประเภทโบรกเกอร์ ที่จะซื้อขายกับเจ้าของเว็บโดยตรงผ่านการจับคู่ออเดอร์ที่อยู่กับเว็บเทรดอื่น ๆ ทั่วโลก
เว็บเทรดคริปโตสัญชาติไทย ที่มีผู้ร่วมก่อตั้งมีทั้งชาวไทยและสิงคโปร์ โดดเด่นด้วยการไม่มีค่าทำเนียมในการเทรด
ถึงแม้ชื่อจะไม่ไทย แต่ บริษัท หั่วปี้ (ประเทศไทย) จำกัด ได้รับสิทธิในการใช้เทคโนโลยีและชื่อทางการค้าจาก บริษัท หัวปี้ โกลบอล จำกัด จากฮ่องกงเป็นที่เรียบร้อยแล้ว รองรับสกุลเงินมากที่สุดในนี้
ผู้ให้บริการ | ค่าธรรมเนียมการเทรด | ค่าธรรมเนียมการถอน | สกุลคริปโตที่รองรับ |
บิทคับ | 0.25% | 20 บาท | 59 สกุลเงิน |
สตางค์โปร | 0.12-0.20% | 18 บาท | 35 สกุลเงิน |
บิทาซซ่า | 0.25% | 20 บาท | 116 สกุลเงิน |
ซิปเม็กซ์ | - | 20 บาท | 242 สกุลเงิน |
หั่วปี้ | 0.25% | 15 บาท | 912 สกุลเงิน |
|
เกมเมอร์หญิงทาสแมว ถ้าอยู่กับแมวแล้วจะน้วยแมวทั้งวัน |
ความคิดเห็นที่ 1
26 พฤศจิกายน 2565 15:50:23
|
||
GUEST |
Rosaria
171
|
|