เมื่อเทคโนโลยีและสิ่งประดิษฐ์ใหม่ ๆ เข้ามา อุปกรณ์ทั้งหลายที่เคย "ใหม่" ในอดีต ก็เริ่มหายไปเรื่อย ๆ เพราะของใหม่ที่ถูกคิดค้นขึ้นมา ย่อมต้องดีกว่าและมีประสิทธิภาพมากกว่า ส่วนตัวผู้เขียนเชื่อว่าคนรุ่นใหม่หลาย ๆ คนก็เริ่มเกิดไม่ทันของบางอย่างกันบ้างแล้ว (ฮ่า ๆ) แต่บางอย่างก็ยังคงมีให้เห็นกันอยู่ประปราย คุณเกิดทันข้อไหน เคยใช้อะไรมาบ้าง ? ลองไปดูกัน
เครื่องพิมพ์ดีด จัดว่าเป็นสิ่งที่ทำให้มีการประดิษฐ์คีย์บอร์ดคอมพิวเตอร์มาใช้กันในภายหลัง จัดเป็นคีย์บอร์ดแบบโบราณที่เวลากดแป้นพิมพ์ลงไป ตัวหนังสือจะถูกพิมพ์ลงไปบนกระดาษที่ใส่เตรียมไว้ทันที ซึ่งในยุคก่อนที่จะมีเครื่องพิมพ์ดีด เอกสารและจดหมายอย่างเป็นทางการทั้งหลายจะใช้การเขียนทั้งหมด หรือไม่ก็ใช้การพิมพ์จากเครื่องพิมพ์เฉพาะ ที่มีราคาค่อนข้างแพง โดยเครื่องพิมพ์ดีดนี้ ถูกประดิษฐ์ขึ้นมาเพื่อให้เป็นตัวเลือกการพิมพ์เอกสารที่สามารถเข้าถึงได้ง่ายขึ้นโดย Christopher Latham Sholes ในปี ค.ศ. 1868 (พ.ศ. 2411)
เครดิตภาพ : https://pxhere.com/th/photo/611265
เครื่องพิมพ์ดีดเมื่อแรกคิดค้น จะมี ปุ่มแบบกลไก หรือ แมคคานิคอลคีย์ (Mechanical Key) ติดกับขาโลหะที่ยกตัวหนังสือและอักขระขึ้นมา เมื่อกดปุ่มลงไป แถบผ้าหมึกที่อยู่ตรงกลางระหว่างกระดาษและพื้นผิวโลหะจะถูกขาของแป้นตัวอักษรตัวนั้นกดทาบลงไปเพื่อพิมพ์ตัวอักษรดังกล่าวลงบนกระดาษ
ถือเป็นสิ่งประดิษฐ์ที่ปฏิวัติวิธีดำเนินธุรกิจและการแบ่งปันข้อมูลของผู้คนในยุคนั้น และกลายเป็นสิ่งที่ทุกสำนักงานต้องมีติดเอาไว้เสมอ ซึ่งเครื่องพิมพ์ดีดก็ได้อยู่คู่กับพนักงานออฟฟิศตลอดมานับแต่นั้นจนกระทั่งการมาถึงของคอมพิวเตอร์ ที่ทำให้เครื่อมพิมพ์ดีดค่อย ๆ เลือนหายไปตามกาลเวลา ทว่า ในปัจจุบัน ก็ยังมีคนชื่นชอบและหลงใหลในลักษณะการดีดของแป้นพิมพ์ดังกล่าวอยู่ไม่น้อย (Tactile Feeling) โดยเฉพาะเสน่ห์ของตัวอักษรในรูปแบบของเครื่องพิมพ์ดีดในเวลาที่พิมพ์กลอนหรือนิยาย ทำให้มันยังคงยืนหยัดอยู่ได้จนถึงทุกวันนี้
ก่อนที่จะถูกโทรศัพท์มือถือยึดครองโลกของการสื่อสารอย่างทุกวันนี้ การติดต่อไปหาผู้คนอื่น ๆ ผ่านโทรศัพท์สาธารณะถือเป็นเรื่องปกติที่ใคร ๆ ก็ทำกัน โดยการโทรก็จะเป็นการโทรผ่านสายโทรศัพท์สาธารณะ และเวลาที่จะโทรแต่ละครั้ง จะต้องใช้เหรียญเงินของประเทศนั้น ๆ, บัตรเติมเงิน, บัตรเดบิต, หรือบัตรเครดิตเพื่อจ่ายเงินค่าโทร (แล้วแต่ประเทศไหนจะมีช่องทางชำระแบบไหนบ้าง)
บ่อยครั้งที่โทรศัพท์สาธารณะ มักจะตั้งอยู่ในตู้ที่ออกแบบเฉพาะเพื่อให้ความเป็นส่วนตัวกับผู้ใช้งาน ทำให้เรานิยมเรียกกันว่า ตู้โทรศัพท์ ซึ่งความเป็นส่วนตัวนี้ ถือเป็นสิ่งที่โทรศัพท์มือถือในยุคปัจจุบันให้คุณไม่ได้ (ยกเว้นคุณจะไปหาที่ส่วนตัวโทรเอง)
เครดิตภาพ : https://storylog.co/story/593a7554200c9a5f5f9775b6
โทรศัพท์สาธารณะเครื่องแรกของโลก ถูกติดตั้งครั้งแรกในปี ค.ศ. 1881 (พ.ศ. 2424) และตั้งแต่ปี ค.ศ. 1900 (พ.ศ. 2443) เป็นต้นมา โทรศัพท์สาธารณะก็กลายเป็นสิ่งที่สามารถพบเห็นได้ทั่วไปตามถนนที่มีผู้คนพลุกพล่าน, สถานีรถไฟ, และในที่สาธารณะอื่น ๆ ซึ่งในช่วงกลางยุค 2000 โทรศัพท์สาธารณะดังกล่าวก็เริ่มหายไปเมื่อยักษ์ใหญ่บรรดาค่ายโทรศัพท์อย่าง AT&T และ Verizon เริ่มขายโทรศัพท์สาธารณะในมือของตัวเองเพราะความนิยมของโทรศัพท์มือถือเพิ่มขึ้น
ในยุคที่รูปถ่ายและคลิปวิดีโอทั้งหลาย สามารถกดถ่ายแล้วมีรูปหรือคลิปออกมาแถมยังแชร์ต่อได้เลยทันที ก็ทำให้สิ่งประดิษฐ์ที่เกี่ยวข้องกับการถ่ายรูปเริ่มเลือนหายไป หนึ่งในนั้นคือ ม้วนฟิล์ม
เครดิตภาพ : https://www.photographyhistoryfacts.com/photography-development-history/photographic-film-history/
ม้วนฟิล์มถูกประดิษฐ์ขึ้นครั้งแรกในปี ค.ศ. 1885 (พ.ศ. 2428) ซึ่งในสมัยนั้น วงการภาพถ่ายและสิ่งอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง จัดว่าเป็นสิ่งที่เข้าถึงได้เพียงแค่บรรดาคนรวยเท่านั้น โดยบรรดาม้วนฟิล์มที่ไวต่อแสงพวกนี้จะใช้หลักการที่จะปล่อยแสงออกมาเป็นระยะเวลาสั้น ๆ เพื่อจับภาพของสิ่งของหรือสถานที่ที่อยู่ด้านหน้าเลนส์กล้อง บันทึกไว้บนแถบฟิล์ม แล้วหลังจากนั้นก็จะต้องใช้สารเคมีเฉพาะ เพื่อล้างรูปให้เราสามารถมองเห็นเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาได้
เครดิตภาพ : https://www.youtube.com/watch?v=WfO3x98Cga8
อย่างไรก็ตาม กระบวนการดังกล่าวค่อนข้างกินเวลาและมีค่าใช้จ่ายพอสมควร ทำให้มีคนพยายามคิดค้นหาวิธีการลดทอนเวลาและลดต้นทุนในการทำงานดังกล่าว จนในที่สุด ก็มีการบุกเบิกกล้องดิจิตอลขึ้นมาในปี ค.ศ. 1990 (พ.ศ. 2533) จนมาถึงศตวรรษที่ 20 ม้วนฟิล์มและกล้องฟิล์มทั้งหลายก็ไม่มีใครใช้กันอีกต่อไป เว้นเสียแต่บรรดานักสะสม และผู้ที่ยังนิยมการถ่ายรูปแบบเก่าอยู่เท่านั้น
เครื่องตอบรับอัตโนมัติทำหน้าที่เดียวกันกับระบบ Voice Mail บนมือถือของคุณ ความแตกต่างเดียวที่มีคือการที่เครื่องตอบรับอัตโนมัตินั้นมีการบันทึกข้อความที่ผู้โทรเข้าฝากไว้ให้ลงบนหน่วยความจำของเครื่องนั้น ๆ โดยตรงด้วยพื้นที่เก็บข้อมูลที่มี เช่น เทปคาสเส็ท ในขณะที่ระบบ Voice Mail หรือระบบฝากข้อความเสียง จะฝากไว้บนเซิร์ฟเวอร์คอมพิวเตอร์ส่วนกลาง
เครดิตภาพ : https://www.fonvirtual.com/en/blog/answering-machine/
เครื่องตอบรับอัตโนมัติถูกค้นพบครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ. 1930 (พ.ศ. 2473) แต่ได้รับความนิยมอย่างจริงจังเมื่อปี ค.ศ. 1980 (พ.ศ. 2523) สุดท้าย ก็ถูกข้อความเสียง (Voice Mail) เข้ามาแทนที่ในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 และมีการใช้งานกันมาอย่างต่อเนื่องจนถึงทุกวันนี้
ในเรื่องวิวัฒนาการของการสื่อสาร นอกจากเราจะได้ใช้ตู้โทรศัพท์สาธารณะกันมาก่อนแล้ว อีกหนึ่งเทคโนโลยีที่ได้รับความนิยมไม่แพ้กันในสมัยนั้นคือ เพจเจอร์ เพราะการมาของเพจเจอร์ ทำให้เราสามารถส่งข้อความฉุกเฉินไปหาใครสักคนได้ ผู้คิดค้นเพจเจอร์มีนามว่า Alfred J. Gross ที่คิดค้นขึ้นมาในปี ค.ศ. 1949 (พ.ศ. 2492) เพื่อใช้ภายในโรงพยาบาล โดยใช้การสื่อสารผ่านคลื่นวิทยุด้วยหมายเลขเฉพาะ คล้าย ๆ กันกับโทรศัพท์
หลักการทำงานของมันก็คือ เมื่อคุณรู้เลขหมายของเพจเจอร์ปลายทาง ก็สามารถส่งข้อความหรือส่งหมายเลขที่ต้องการให้ติดต่อไปผ่านทางโทรศัพท์ (โทรเข้าศูนย์ฝากข้อความของเพจเจอร์) และเมื่อปลายทางได้รับแล้ว ข้อความก็จะแสดงขึ้นบน จอ LCD ของเพจเจอร์เครื่องนั้น ๆ
เครดิตภาพ : https://debugger.medium.com/two-way-pager-is-it-possible-a1928ce32eb5
อนึ่ง เครื่องเพจเจอร์จะมีสองแบบ ทั้งแบบที่เอาไว้รับข้อความอย่างเดียว และแบบที่สามารถส่งออกจากเครื่องเพจเจอร์ได้เองในตัว แน่นอนว่าเมื่อโทรศัพท์มือถือมาถึง ก็ทำให้การใช้งานเพจเจอร์ลดน้อยลงไปและทำให้ค่อย ๆ หายไปจากชีวิตประจำวันในที่สุด แต่ก็ยังคงมีการใช้งานอยู่บ้างเป็นจำนวนน้อยมาก ๆ ในหน่วยงานฉุกเฉินและหน่วยดับเพลิง
แม้ว่าในบรรดาผู้คนทั้งหลายโดยเฉพาะในหมู่ Audiophiles จะรักในแผ่นเสียงแบบไวนิล (Vinyl) กันมากกว่า แต่ขนาดของแผ่นเสียงและความบอบบางของมันก็ไม่เหมาะกับการหอบหิ้วไปไหนมาไหนบ่อย ๆ ดังนั้น เพื่อแก้ปัญหานี้ บริษัท Philips ก็เลยคิดค้น เทปคาสเซ็ท (Cassette Tape) ขึ้นมาในปี ค.ศ. 1962 (พ.ศ. 2505) โดยผลิตขึ้นมาเพื่อการบันทึกและเล่นเสียง หลังจากนั้นก็มี มาตรฐาน VHS เข้ามาเพิ่ม ทำให้มีคาสเซ็ทที่รองรับการบันทึกวิดีโอเพิ่มเข้ามาด้วย (บ้านเราจะเรียกแยกไปเลยว่า เทปวิดีโอ)
เครดิตภาพ : https://clickamericana.com/topics/science-technology/now-hear-this-top-10-audio-cassette-tape-tips-from-the-70s
เทปคาสเซ็ทเป็นที่นิยมกันอย่างแพร่หลายในอุตสาหกรรมเพลง และทำให้วิถีของผู้คนในการฟังเพลงเปลี่ยนไป ด้วยเทปคาสเซ็ทที่มีขนาดเล็ก ทำให้สามารถฟังเพลงจากที่ไหนเมื่อไหร่ก็ได้ ด้วยเครื่องเล่นเพลงพกพา และผ่านช่วงยุค 70 และ 80 มาอย่างมั่นคง จนกระทั่งในปี ค.ศ. 1991 (พ.ศ. 2534) ที่มีแผ่น CD เข้ามาแทนที่
ทุกวันนี้ เราใช้งานพื้นที่จัดเก็บแบบคลาวด์ หรืออุปกรณ์จัดเก็บทั้งหลายทั้งปวงไม่ว่าจะเป็น แฟลชไดร์ฟ USB (USB Flash Drive), ฮาร์ดดิสก์ไดร์ฟ (Hard Disk Drive - HDD), อุปกรณ์เก็บข้อมูลแบบ SSD, ฯลฯ มาเก็บข้อมูลกันเพื่อถ่ายโอนไฟล์ระหว่างคอมพิวเตอร์อีกเครื่องหนึ่งไปอีกเครื่องหนึ่ง แต่เมื่อย้อนกลับไปในอดีต แผ่นฟลอปปี้ดิสก์ (Floppy Disk) เคยทำหน้าที่นั้นมาก่อน ด้วยการคิดค้นแผ่นฟลอปปี้ดิสก์จาก IBM ในปี ค.ศ. 1971 (พ.ศ. 2514) ที่ทำให้การแชร์โปรแกรมและการโหลดระบบปฏิบัติการนั้นง่ายขึ้นมาก
เครดิตภาพ : https://commons.wikimedia.org/w/index.php?curid=6963942
ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1980 (พ.ศ. 2523) เป็นต้นมา แผ่นฟลอปปี้ดิสก์ก็ได้กลายเป็นหน่วยความจำที่ใช้เก็บข้อมูลที่สามารถพกพาได้ง่ายด้วยขนาดที่บางใกล้เคียงกับกระดาษ แต่เมื่อแผ่น CD เข้ามาแทนที่แผ่นฟลอปปี้ดิสก์ในปี ค.ศ. 1990 (พ.ศ. 2533) แผ่นฟลอปปี้ดิสก์ก็เริ่มจางหายไป เพราะ CD 1 แผ่น สามารถจุได้เยอะกว่ามาก เนื่องจากแผ่นฟลอปปี้ดิสก์ 1 แผ่นสามารถจุได้เพียง 1.44 MB แต่แผ่น CD มาตรฐานสามารถจุได้ถึง 700 MB เลยทีเดียว
ก่อนที่เราจะมีเครื่องเล่นเพลงที่สามารถเล่นเพลงที่เราต้องการได้นับล้านเพลงด้วยขนาดเพียงแค่ใส่กระเป๋าเสื้อหรือกระเป๋ากางเกงพกพาไปด้วยเท่านั้น ทว่า ในยุคก่อนปี ค.ศ. 1970 (พ.ศ. 2513) ผู้คนไม่มีทางเลือกในการฟังเพลงมากนัก ดังนั้น ส่วนใหญ่เราจะได้ยินเสียงเพลงจากเครื่องเล่นแผ่นเสียง จากที่บ้าน จากวิทยุ หรือจากการฟังในรถเท่านั้น แต่ด้วยการมาถึงของเครื่องเล่นเพลงแบบพกพา ก็ทำให้วิถีการฟังเพลงเปลี่ยนไป
เครดิตภาพ : https://ar.pinterest.com/pin/256845984990038452/
เครื่องเล่นเพลงแบบพกพาเครื่องแรกของโลกมีชื่อว่า Walkman (วอล์คแมน) วางขายเป็นครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ. 1979 (พ.ศ. 2522) เรียกได้ว่ามาแทนที่ Boombox ในสมัยนั้นได้เลย นอกเหนือจากการที่มันพกพาได้แล้ว ยังทำให้การฟังเพลง สามารถคงความเป็นส่วนตัวของแต่ละบุคคลได้มากขึ้น เพราะมาพร้อมช่องเสียบหูฟัง ที่สามารถฟังเพลงที่คุณชอบได้ทุกเมื่อโดยไม่ต้องกังวลว่าจะไปรบกวนใคร (ถ้าไม่ได้เปิดดังหูแตกเผื่อแผ่คนรอบข้างน่ะนะ)
วอล์คแมนจะใช้เทปคาสเซ็ตในการเล่นเพลงเป็นหลักในช่วงแรก จนกระทั่งในภายหลัง มีบริษัทที่พัฒนาเครื่องเล่นออกมาเพื่อรองรับการเล่นเพลงแบบแผ่นซีดีด้วย และตามมาด้วยเครื่องเล่นเพลง MP3 (MP3 Player) ที่เป็นเครื่องเล่นเพลงแบบพกพาที่สามารถบรรจุไฟล์เพลงแบบ MP3 ได้เป็นจำนวนมากตามความจุของเครื่องเล่นหรือเมมโมรี่การ์ดที่เครื่องเล่นนั้น ๆ รองรับ
เครดิตภาพ : https://canaltech.com.br/produtos/relembre-toda-a-trajetoria-do-ipod-o-mp3-player-da-apple-que-mudou-o-mundo-98018/
แน่นอนว่า เมื่อพูดถึง MP3 Player ที่ได้รับความนิยมและโดดเด่นออกมากว่าใครเพื่อน ก็ต้องนึกถึง iPod ของ Apple ที่เพียงแค่แต่หมุนแป้นวงกลมตรงกลาง ก็สามารถใช้งานได้ทั้งการเพิ่ม - ลดเสียง และกรอเพลงไปข้างหน้า หรือถอยเพลงกลับมา และเมื่อการฟังเพลงในมือถือเริ่มเป็นที่นิยมมากขึ้นเพราะมีการใส่ฟีเจอร์การฟังเพลงเข้ามา การใช้งานเครื่องเล่นเพลงก็เริ่มลดน้อยถอยลงไปเรื่อย ๆ
แผ่น CD หรือที่ย่อมาจากคำว่า Compact Disc เป็นหนึ่งในอุปกรณ์เก็บข้อมูลที่ได้รับความนิยมมากที่สุดสำหรับความจุการเก็บข้อมูลระดับกลาง ๆ ถือเป็นสิ่งต่อยอดที่ประสบความสำเร็จต่อเนื่องมาจากเทปคาสเซ็ต โดยแผ่น CD ถูกพัฒนาขึ้นโดยบริษัท Philips และ Sony ในปี ค.ศ. 1982 (พ.ศ. 2525) เพื่อการผลิตไฟล์เพลงคุณภาพสูง (Hi-Fi) โดยแผ่นซีดีรุ่นเก่า ๆ จะจุข้อมูลได้เพียง 10 MB. เท่านั้น และถูกพัฒนาเพิ่มความจุในภายหลังเป็นแผ่นละ 700MB
เครดิตภาพ : https://www.indiamart.com/proddetail/sony-cd-10803777491.html
แผ่น CD ได้รับความนิยมในอุตสาหกรรมเพลงอย่างรวดเร็วเพราะมีความจุที่มากกว่าอุปกรณ์แบบอื่น ๆ เพราะเหมาะกับการเป็นหน่วยความจำสำหรับเก็บเพลงคุณภาพสูง อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่มีแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งเพลงเข้ามา แผ่น CD ก็ได้รับความนิยมลดน้อยลงไปเรื่อย ๆ พ่วงด้วยสาเหตุจากการที่มีหน่วยความจำในรูปแบบอื่น ๆ ที่ให้ความจุมากขึ้นแต่ขนาดเล็กกว่าแผ่น CD ด้วย
ทุกวันนี้ เวลาที่เราต้องการจะรับชมภาพยนตร์สักเรื่อง คุณก็แค่จัดการดาวน์โหลดหรือสตรีมบนอินเตอร์เน็ตมาดูก็เรียบร้อยแล้ว แต่นั่นไม่ใช่กับยุค 90 เพราะเวลาจะหาอะไรดูสักเรื่อง ก็ต้องไปเช่า DVD หรือเช่าหนังที่เป็นเทปม้วนมาดูกันแล้วมานั่งต่อจอ TV ดูกันอีกที ซึ่งอุปกรณ์ที่จะทำให้เราดูหนังได้ก็คือ DVD Player ที่พัฒนามาจากเครื่องเล่นวิดีโอแบบเทป (VHS PlayerX) อีกต่อหนึ่ง
เครดิตภาพ : By JulianVilla26 - Own work, CC BY-SA 4.0, https://commons.wikimedia.org/w/index.php?curid=62514574
เครื่องเล่น DVD เครื่องแรกของโลกถูกคิดค้นขึ้นในปี ค.ศ. 1996 (พ.ศ. 2539) โดยบริษัท Toshiba และหลังจากนั้น เครื่องเล่น DVD ก็ได้กลายเป็นแหล่งความบันเทิงหลักประจำบ้านไปโดยปริยาย เพราะการเช่าแผ่น CD มาดูนั้นมีราคาถูก และเครื่องเล่นก็มีราคาที่จับต้องได้ แต่เมื่อมีบริการสตรีมมิ่งวิดีโอเข้ามา การมีเครื่องเล่นไว้ในครอบครอง ก็ค่อย ๆ หมดความจำเป็น และเลือนหายไปจากความต้องการของคนทั่วไปไปโดยปริยาย
|
เกมเมอร์หญิงทาสแมว ถ้าอยู่กับแมวแล้วจะน้วยแมวทั้งวัน |