ทุกสิ่งที่เราเห็นบนโลกออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็นหน้าเว็บเพจ (ที่อยู่บนเว็บไซต์) หรือแอปพลิเคชันก็ตาม ส่วนที่เป็นหน้าจอผู้ใช้งาน หรือ ส่วนประสานงานกับผู้ใช้ (User Interface - UI) ที่เราใช้งานอยู่จะเรียกว่า "Front-End" (หรือคนไทยจะนิยมเรียกว่า "หน้าบ้าน") ในขณะที่การประมวลผลต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นจะอยู่ที่ "Back-End" (หรือ "ระบบหลังบ้าน") ซึ่งทางผู้ให้บริการจะเป็นคนดูแลอยู่เบื้องหลังนั่นเอง
โดยระบบหลังบ้าน (Backend) นั้น ผู้ให้บริการอาจจะพัฒนาขึ้นมาเอง หรือใช้งานแบบสำเร็จรูปก็ได้ แต่ถึงอย่างไรก็ตาม การปรับแต่ง และบำรุงรักษาโครงสร้างของระบบหลังบ้านเป็นงานที่มีความซับซ้อน และสิ้นเปลืองเวลาเป็นอย่างมากเลยทีเดียว
โดย Backend as a Service (BaaS) เป็นระบบที่ถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว ช่วยให้ทีมพัฒนาทำงานได้ง่ายขึ้น ในบทความนี้ เราก็จะมาอธิบายเกี่ยวกับ BaaS ว่ามันคืออะไร ? มีประโยชน์อะไร ? มาดูกันเลย
ลองจินตนาการว่าคุณเป็นนักพัฒนาของบริษัทแห่งหนึ่ง อยู่มาวันหนึ่งผู้จัดการสั่งงานลงมาให้คุณสร้างแอปพลิเคชันสำหรับให้ลูกค้าใช้ ซึ่งคุณไม่มีอะไรอยู่ในมือเลยแม้แต่นิดเดียว คุณจะมีทางเลือกอยู่ 2 ทาง คือหนึ่งต้องเริ่มต้นทำทุกอย่างใหม่จากศูนย์ หรือใช้บริการ Backend as a Service (BaaS) ที่สามารถเข้ามาช่วยลดภาระงานบางส่วนของคุณได้
ในกรณีที่คุณเลือกอย่างหลัง คุณจะต้องทำในส่วนของ UI และ Client-Side Logic โดยมี BaaS เข้ามาช่วยสนับสนุนคุณสมบัติพื้นฐานที่แอปพลิเคชันส่วนใหญ่จำเป็นต้องใช้ อย่างเช่น
|
|
คุณสมบัติที่ว่าไปนั้น เป็นองค์ประกอบขั้นพื้นฐานที่แอปพลิเคชันส่วนใหญ่ต้องใช้ในการทำงาน ถ้าหากไม่ใช้บริการ BaaS คุณก็จะต้องเขียนโค้ดพัฒนาระบบเหล่านั้นขึ้นมาด้วยตนเอง ซึ่งเป็นงานที่สิ้นเปลืองเวลา และทรัพยากรเป็นอย่างมาก การเลือกใช้ BaaS จึงเป็นทางออกที่ดีสำหรับผู้ที่ขาดทั้งทรัพยากร และเวลาในการพัฒนา
ภาพจาก : https://www.altogic.com/blog/top-backend-as-a-service-providers
ถึงแม้ว่า Backend as a Service (BaaS) จะมาพร้อมกับคุณสมบัติหลายอย่าง เพื่อให้มันสามารถทำหน้าที่เป็น Backend ให้กับแอปพลิเคชันได้หลากหลายรูปแบบ แต่คุณสมบัติสำคัญที่ผู้ให้บริการ BaaS ส่วนใหญ่มีให้เหมือนกัน จะประกอบไปด้วย
แพลตฟอร์ม BaaS จะมาพร้อมกับระบบตรวจสอบผู้ใช้ (User Authentication) และระบบอนุญาตสิทธิ์ในการเข้าใช้งาน (User Authorization) เพื่อให้ผู้พัฒนาสามารถมีระบบจัดการบัญชีผู้ใช้งานได้ คุณสมบัติพื้นฐานก็อย่างเช่น ระบบสมัครบัญชี, เข้าระบบ, รหัสผ่าน และรีเซ็ตรหัสผ่าน
โดย BaaS จะมาพร้อมกับบริการฐานข้อมูล (Database) โดยจะมีทั้งฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์ (Relational Database) และ NoSQL Database สองสิ่งนี้ช่วยให้นักพัฒนาจัดเก็บ และสืบค้นข้อมูลได้อย่างง่ายดาย ไม่จำเป็นต้องมาออกแบบโครงสร้างฐานข้อมูลด้วยตนเองให้เสียเวลา
โดยแพลตฟอร์ม BaaS มักจะรองรับ "Serverless Computing" ซึ่งจะช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถรันโค้ดที่สร้างขึ้นมาเองที่จะทำงานเมื่อมีเหตุการณ์ หรือการกระทำที่กำหนดไว้เกิดขึ้น มีประโยชน์ในการประยุกต์ใช้กับธุรกิจได้โดยที่ไม่ต้องไปวุ่นวายกับการตั้งค่าเซิร์ฟเวอร์
สำหรับ BaaS จะนำเสนอจุดขายด้านความปลอดภัย และการขยายขนาดพื้นที่เก็บข้อมูลเพิ่มเติมในอนาคตได้โดยง่าย
Backend as a Service (BaaS) ช่วยให้คุณลดเวลาในขั้นตอนพัฒนาไปได้เยอะ เพราะผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องออกแบบโครงสร้าง Backend ทั้งหมดจากศูนย์ด้วยตนเอง แต่สามารถนำ APIs และ Software development kit (SDKs) ของ BaaS มาใช้งานได้ทันที
BaaS สามารถรองรับปริมาณงาน (Workload) ได้ตามความต้องการของผู้ใช้ โดยตัวมันจะรองรับการขยายขนาดเพื่อรองรับปริมาณผู้ใช้ที่มากขึ้นเมื่อแอปพลิเคชันประสบความสำเร็จ เป็นการรับประกันว่าประสิทธิภาพในการทำงานของแอปพลิเคชันจะไม่มีปัญหาแม้จะมีจำนวนผู้ใช้เพิ่มมากขึ้นก็ตาม
ด้วยการใช้บริการ BaaS ธุรกิจของคุณสามารถลดต้นทุนในการพัฒนาไปได้มหาศาล และผู้ให้บริการ BaaS เอง ส่วนใหญ่ก็จะมีตัวเลือกราคาที่ยืดหยุ่นหลายระดับราคา ทำให้สามารถเลือกจ่ายเงินได้ตามปริมาณทรัพยากรที่คุณต้องการ ช่วยให้ไม่จำเป็นต้องจ่ายเงินเกินความจำเป็น
เนื่องจากผู้ให้บริการ BaaS นั้นทำธุรกิจด้วยการขายบริการ BaaS เป็นหลัก พวกเขาจึงสามารถทุ่มเททรัพยากรทั้งหมดของบริษัทไปที่มันได้ ทำให้มันมีการอัปเดตอยู่อย่างสม่ำเสมอ ซึ่งหนึ่งในความสำคัญของการอัปเดตก็คือ การแพทช์ความปลอดภัย นอกจากนี้ยังมักจะมีบริการสำรองข้อมูลให้มาด้วย ทำให้การใช้บริการ BaaS ช่วยให้ผู้พัฒนามั่นใจในด้านความปลอดภัย และสามารถไว้วางใจได้
การทำงานของ Backend as a Service (BaaS) นั้นมีความคล้ายคลึงกับบริการเว็บโฮสติ้ง (Web Hosting) โดยผู้ให้บริการ BaaS จะจัดเตรียมแอปพลิเคชันที่มีคุณสมบัติแตกต่างกันเอาไว้ให้ ผู้ใช้บริการสามารถนำไปผสานร่วมกับระบบที่พัฒนาขึ้นมาเอง เพื่อสร้างระบบ Backend ในแบบที่ผู้ใช้งานต้องการ
โดยในการปรับแต่ง ผู้ใช้จะสามารถทำงานผ่านหน้าอินเทอร์เฟส ที่ทางผู้ให้บริการ BaaS เตรียมไว้ให้ผ่านการเชื่อมต่อด้วย APIs
การเริ่มใช้งาน Backend as a Service (BaaS) ง่ายมาก แค่เปิดเว็บไซต์ของผู้ให้บริการ ทำการสมัครบัญชี จากนั้นก็เลือกแพลตฟอร์มที่ต้องการใช้ เช่น HTML5, iOS หรือ Android จากนั้น ทางผู้ให้บริการ BaaS จะสร้าง API keys มาไว้ให้เราใช้เชื่อมต่อกับระบบหลังบ้านของเราได้
ภาพจาก : https://productcoalition.com/what-is-baas-backend-as-a-service-9c9a8ed12550
|
แอดมินสายเปื่อย ชอบลองอะไรใหม่ไปเรื่อยๆ รักแมว และเสียงเพลงเป็นพิเศษ |