เมาส์ (Mouse) จัดเป็นหนึ่งในอุปกรณ์ขั้นพื้นฐานของการใช้คอมพิวเตอร์ในปัจจุบัน และมีหลากหลายรูปแบบและยี่ห้อให้เลือกซื้อกันมากมายและคนที่ใช้ชีวิตอยู่กับมันมากที่สุด ก็หนีไม่พ้นชาวเกมเมอร์สาย PC นี่แหละ ถึงแม้ว่าจะมีใครมาถกเถียงว่า คนทำงานน่าจะอยู่กับมันมากที่สุด เพราะชาวออฟฟิศต้องทำงานหน้าจอคอมตั้งแต่ 6 - 8 ชั่วโมงขึ้นไปต่อวัน
แต่เราต้องไม่ลืมว่า พนักงานออฟฟิศมีสลับมือไปพิมพ์แป้นพิมพ์ (Keyboard) บ้าง แต่เหล่าเกมเมอร์โดยเฉพาะคอเกม FPS จะต้องใช้เมาส์เป็นหลักตลอดเวลาที่อยู่ในเกม ฉะนั้น ถ้าใครใช้เมาส์แล้วรู้สึกปวดมือ เช่น ส่วนกลางมือ หลังมือ อาจแสดงได้ว่า คุณกำลังใช้เมาส์ที่ "ไม่เข้ามือ" อยู่ เราจะพาไปดูว่า เมาส์ไหนจะ "ใช่" สำหรับมือคุณบ้างค่ะ
แต่แรกคนเรามีการจับเมาส์ครั้งแรกในอายุที่ต่างกัน และการจับเมาส์ครั้งแรกนี่เอง ที่ทำให้เรามีลักษณะการจับที่เป็นเอกลักษณ์ของแต่ละคนโดยไม่รู้ตัว อย่างไรก็ตาม รูปแบบการจับเมาส์จะมีลักษณะจุดสังเกตในการจับคล้ายๆ กันอยู่ 3 แบบหลัก ได้แก่
การจับเมาส์แบบนี้คือการจับเมาส์แบบเต็มมือ ฝ่ามือและนิ้วของเราจะมีการสัมผัสกับเมาส์อย่างเต็มมือ เป็นรูปแบบการจับเมาส์ที่เป็นนิยมของคนทั่วไป ปัญหาของคนจับเมาส์แบบนี้เวลาเจอเมาส์ที่ไม่พอดีกับมือ มักจะมีอาการเจ็บหรือปวดกล้ามเนื้อบริเวณกลางฝ่ามือ ดังนั้น การเลือกเมาส์จึงจำเป็นที่จะต้องหาขนาดให้พอดีกับมือโดยตรง เพื่อให้ฝ่ามือของเราสามารถวางลงบนเมาส์ได้ทั้งหมดและโค้งรับกับสรีระฝ่ามือของเราด้วย
Credit: https://www.logitech.com/th-th/promo/crafted-in-comfort.html
การจับเมาส์ลักษณะนี้ จะเน้นไปที่การใช้ปลายนิ้วในการคลิกเมาส์เป็นหลัก ดังนั้น ขนาดของเมาส์ควรมีขนาดที่เล็กกว่าฝ่ามือของคุณ เพื่อให้สามารถใช้นิ้วทั้งห้าควบคุมได้อย่างมีประสิทธิภาพ เมาส์ที่คนจับแบบอื่นไม่ถนัดอย่างเช่น เมาส์แบบพกพา หรือเมาส์ที่มีขนาดเล็ก คนที่จับเมาส์แบบนี้จะสามารถจับได้เข้ามือสุด
Credit: https://www.logitech.com/th-th/promo/crafted-in-comfort.html
การจับเมาส์แบบนี้จะมีลักษณะการจับคล้ายกับเรากำลังทำมือคล้ายสัตว์ที่กำลังกางกงเล็บอยู่ ลักษณะสำคัญคือการจับที่ด้านล่างของฝ่ามือจะติดเมาส์ ส่วนปลายนิ้วมือที่เหลือโดยเฉพาะนิ้วหลักสองนิ้วอย่างนิ้วชี้และนิ้วกลาง จะมีลักษณะเหมือนกดจิกลงไปบนปุ่มเมาส์ ลักษณะการจับแบบนี้เป็นที่นิยมในเกมเมอร์สาย FPS (First-person Shooter = เกมยิงมุมมองบุคคลที่หนึ่ง) เพราะสามารถควบคุมได้ดั่งใจมากที่สุด เนื่องจากสามารถกดแรงลงไปบนปุ่มเมาส์ได้อย่างเต็มที่ และทันท่วงทีต่อการตอบสนองภายในเกมด้วย
Credit: https://www.logitech.com/th-th/promo/crafted-in-comfort.html
ดังนั้น เมาส์ของคนถนัดจับแบบนี้ สามารถเลือกใช้เมาส์ได้ทุกรูปแบบขึ้นอยู่กับขนาดของมือเป็นหลัก เพราะฝ่ามือส่วนล่างจะอยู่กับเมาส์เสมอ แต่ปลายนิ้วจะต้องอยู่บนปุ่มอยู่ หากเมาส์มีขนาดเล็กไป ก็จะทำให้ฝ่ามือไม่อยู่กับเมาส์ และอาจเกิดอาการปวดเกร็งของมือได้
เรื่องนี้จริงๆ ก็ถือว่าเป็นได้ทั้งเรื่องความชอบส่วนบุคคล, เรื่องประสิทธิภาพ, และความสะดวกในการใช้งานในคราวเดียวกัน เพราะทั้งเมาส์ไร้สาย และเมาส์มีสายต่างก็ข้อดีข้อเสียและประโยชน์ในการใช้งานจริงที่แตกต่างกัน เพื่อให้ง่ายต่อการพิจารณา เราจึงขอสรุปข้อแตกต่างเป็นตารางด้านล่างให้ดูกันง่ายๆ
ในปัจจุบัน เทคโนโลยีการพัฒนาอุปกรณ์เชื่อมต่อหลักกับคอมพิวเตอร์อย่างเมาส์และคีย์บอร์ดนั้นก้าวหน้าไปมาก ทำให้การดีเลย์หรือระยะเวลาตอบสนองในอุปกรณ์ไร้สายน้อยลงไปเยอะ เรียกได้ว่าเล่นเกมทั่วไปไม่ค่อยเห็นความแตกต่างแล้ว ไม่ว่าจะเป็นแบบมีสายหรือแบบไร้สาย ทีนี้ก็ขึ้นอยู่กับความถนัดในการใช้งานและงบประมาณในการซื้อเป็นหลัก เพราะอย่างไรเสีย เมาส์ไร้สายก็แพงกว่าเมาส์แบบมีสายอยู่ดี
จากพัฒนาการรุ่นแรกของเมาส์แบบลูกกลิ้งที่ใช้ทำงานสำนักงานทั่วไป มาเป็นรูปแบบแสงเลเซอร์หรือ LED ใต้เมาส์ที่สามารถตัดปัญหาฝุ่นเข้าลูกกลิ้งได้อย่างสิ้นเชิง รู้หรือไม่ว่าแสงที่ลอดออกมาใต้เมาส์นั้น ก็มีความแตกต่างในตัวของมันเหมือนกัน เพราะเมาส์แต่ละตัว มีสิ่งที่เรียกว่าเซนเซอร์ (Sensor) อยู่ เซนเซอร์ที่ว่า เราจะยกตัวอย่าง 4 แบบหลักๆ ที่นิยมใช้กันในเกมมิ่งเมาส์ได้แก่
Razer ได้จับมือกับ PixArt เพื่อสร้างหนึ่งในเซนเซอร์ของเมาส์ที่ล้ำหน้าที่สุดตัวหนึ่งในชื่อ Razer Focus+ Optical ซึ่งมีความแม่นยำสูงถึง 99.6% สามารถปรับ DPI ได้สูงถึง 20,000 DPI
ตัวอย่างเมาส์ที่มีเซนเซอร์นี้
- Razer Basilisk V2 / Ultimate
- Razer Deathadder V2
- Razer Viper Ultimate
เซนเซอร์ตัวของเมาส์นี้ เป็นตัวที่ถูกใช้อย่างกว้างขวางกับอุปกรณ์เกมมิ่งในตลาด มีชื่อเสียงในเรื่องของความน่าเชื่อถือ ความคงเส้นคงวา และประสิทธิภาพ และเพราะชื่อเสียงของมันนี้เอง ที่ทำให้เกิดรุ่นย่อยๆ ตามมาอีกมากมาย ในผู้ผลิตเจ้าใหญ่อย่าง Razer และ SteelSeries เองก็เคยใช้เซนเซอร์รุ่นนี้เป็นฐานหลักในการผลิตเซนเซอร์ของตัวเองมาแล้ว
ตัวอย่างเมาส์ที่มีเซนเซอร์นี้
- SteelSeries Rival 500
- BenQ Zowie S1 / S2
- BenQ Zowie EC1 / EC2
Logitech Hero เป็นเซนเซอร์เมาส์ระดับมาสเตอร์พีซ ที่จัดว่าเหนือความคาดหมายในวงการเกม และใช้เวลาถึง 3 ปีในการพัฒนา เป็นเซนเซอร์ยุคใหม่ที่มีประสิทธิภาพในการใช้พลังงานดีกว่ารุ่นเก่าถึง 10 เท่า ถูกใช้ในเมาส์รุ่นใหม่ของ Logitech มากมายทั้งรุ่นมีสายและรุ่นไร้สาย โดยเซนเซอร์ตัวนี้จะมีสเปกอยู่ที่ 16,000 DPI, 1,000 Polling Rate, 400 IPS และอัตราเร่งที่ 40 G
ตัวอย่างเมาส์ที่มีเซนเซอร์นี้
- Logitech G502 Hero
- Logitech G305 Lightspeed Wireless
- Logitech G Pro Wireless
- Logitech G703 Lightspeed Wireless
เซนเซอร์เมาส์จากค่าย SteelSeries ตัวนี้ ได้ผ่านการปรับปรุงมาอย่างยาวนานในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โดยได้รับการอัปเกรดจากรุ่น 3, 3+, และ Pro ตามลำดับ ซึ่งในแต่ละรุ่นก็จะมีสเปกที่แตกต่างกันออกไป
TrueMove3 เป็นออปติคอลเซนเซอร์ที่ดัดแปลงมาจาก PMW 3360 ได้รับการอัปเกรดให้มีสเปกอยู่ที่ 12,000 DPI, 1,000 Polling Rate, 350 IPS, และอัตราเร่งของเมาส์ที่ 50 G แถมยังอาจจะเป็นเซนเซอร์ที่มีอัตราส่วนการแทรคที่เที่ยงตรงที่สุดในระดับ 1-1 อีกด้วย
ตัวอย่างเมาส์ที่มีเซนเซอร์นี้
- SteelSeries Sensei 310
- SteelSeries Rival 310
- SteelSeries Rival 710
ออปติคอลเซนเซอร์จากแบรนด์ Avago ที่เป็นตัวทอปในเรื่องประสิทธิภาพของเซนเซอร์ ให้การตอบสนองที่ดีเยี่ยม ไม่มีอัตราเร่งที่ไม่พึงประสงค์ และมีปัญหาขาดช่วงในการแทรคความเร็วเมาส์ในระดับน้อยมาก ทำให้เกมมิ่งเมาส์หลายตัวบรรจุเซนเซอร์ตัวนี้ลงไป หนึ่งในแบรนด์เกมมิ่งเมาส์ที่เลือกใช้เซนเซอร์ตัวนี้เป็นหลักก็คือ Zowie ที่ขึ้นชื่อเรื่องคุณภาพของเมาส์ และสามารถรักษามาตรฐานคุณภาพไว้ได้อย่างดีตลอดมา เป็นที่ยอมรับของนักกีฬาอีสปอร์ตในวงการเกม FPS
ตัวอย่างเมาส์ที่มีเซนเซอร์นี้
- Zowie ZA13
- Zowie FK2
- Zowie EC2-A
ใครที่มองข้ามน้ำหนักของเมาส์ไป ขอบอกเลยว่าคุณพลาดมาก เพราะนอกจากเรื่องรูปทรงและขนาดของเมาส์ที่ส่งผลต่อการใช้งานโดยตรงแล้ว น้ำหนักของเมาส์ก็เป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม เพราะส่งผลโดยตรงต่อการปรับ DPI อีกทั้งยังมีเรื่องของความเหมาะสมในประเภทของเกมที่เราเล่นเป็นหลัก และรูปแบบการจับเมาส์ของตัวเราเองด้วยเหมือนกัน
สำหรับผู้เล่นที่ชื่นชอบการเล่นเกมประเภท FPS เช่น CS:GO, Fortnite, Overwatch, Call of Duty, ฯลฯ บรรดาโปรเพลเยอร์มักจะปรับใช้ Sensitivity ของเมาส์ให้ต่ำๆ ซึ่งในทางทั่วไปแล้ว การปรับ Sensitivity ต่ำจะไปด้วยกันได้ดีกับเมาส์ที่มีมีน้ำหนักเบา เพราะมันจะตอบสนองได้รวดเร็วกว่าเมื่อเราเคลื่อนเมาส์ และแน่นอนว่าทั้งสองอย่างจะต้องกลับกัน เมื่อคุณใช้เมาส์ที่ค่อนข้างมีน้ำหนัก สรุปก็คือ เมาส์เบา = Sensitivity ต่ำ / เมาส์หนัก = Sensitivity สูง
Credit: https://csgo.gameplaying.info/valve-updated-cache-and-breach-maps/
และสำหรับคอเกม MMO/MMORPG/RTS/MOBA เช่นเกม World of Warcraft เกม DotA เกม Diablo และเกม League of Legends นั้น เมาส์หนักจะเหมาะกว่า และประเด็นเรื่องน้ำหนักจะไม่ค่อยมีความสำคัญมากนักเมื่อเทียบกับการเล่นเกมประเภท FPS เพราะสำหรับผู้เล่นที่มาทางสายนี้จริงๆ มักจะเน้นการใช้ปุ่มมาโครหรือปุ่มฟังก์ชันที่มาด้วยกันกับเมาส์ได้อย่างเต็มที่
Credit: https://eu.diablo3.com/en-us/media/screenshots/?view=console-ps4-02
และเมื่อความแม่นยำไม่ได้สำคัญขนาดชี้เป็นชี้ตายจุดต่อจุดเมื่อเทียบกับเกม FPS แล้วล่ะก็ การเลือกปรับ DPI สูงๆ จะเป็นสิ่งที่สำคัญกว่า เพราะการ ยกเมาส์ เพื่อกวาดไปตามพื้นที่ต่างๆ มีความสำคัญมากกว่า การปรับ DPI จึงมาช่วยทดแทนเรื่องการยกเมาส์ได้
รูปแบบของการจับเมาส์ ก็มีผลกับการใช้น้ำหนักของเมาส์ให้เหมาะสมเหมือนกัน ลองนึกตามง่ายๆ ว่า ถ้าเราจับแบบ Fingertip แต่ปลายนิ้วของเราต้องบังคับควบคุมเมาส์ตัวใหญ่น้ำหนักมากทั้งอันแล้วล่ะก็ คงไม่ค่อยดีเท่าไหร่แน่ๆ แถมยังมีโอกาสหลุดจากมือได้ง่ายมากอีกด้วย
ดังนั้น เราจึงขอแนะนำง่ายๆ ว่า
ทั้งนี้ทั้งนั้น หากคุณไม่สามารถตัดสินใจได้จริงๆ ว่าควรจะจัดแบบไหนแล้วล่ะก็ ในตลาดอุปกรณ์เกมมิ่ง ยังมีเมาส์ประเภทที่สามารถปรับน้ำหนักได้ตามชอบด้วย ซึ่งมักจะมาในรูปแบบของลูกตะกั่วถ่วงน้ำหนักหรือแผ่นโลหะที่สามารถใส่เข้าไปภายในตัวเมาส์ได้ และสามารถหยิบออกได้หากรู้สึกหนักเกินไป ซึ่งเมาส์ประเภทนี้ก็จะมีราคาค่าตัวพอสมควรเหมือนกัน
Credit: https://www.currys.co.uk/gbuk/gaming/gaming-accessories/gaming-mice/logitech-g502-lightspeed-wireless-optical-gaming-mouse-10192907-pdt.html
และเมาส์อีกประเภทที่น่าสนใจก็คือ เมาส์ที่สามารถปรับขนาดได้ เมาส์ประเภทนี้ เราจะสามารถดึงออก - กดเข้า ตัวเปลือกภายนอกของเมาส์ได้ด้วย ซึ่งทำให้เราสามารถปรับได้ตามสรีระของมือเราโดยตรง และในบางรุ่น ยังสามารถปรับน้ำหนักแบบที่เราบอกไปด้านบนได้ด้วย แน่นอนว่าปรับได้เยอะขนาดนี้ ค่าตัวก็พุ่งตามด้วยเหมือนกัน เช่นในยี่ห้อ Mad Catz รุ่น R.A.T.
Credit: https://www.madcatz.com/En/Product/Detail/rat-8-plus-adv
แม้เรื่องเซนเซอร์ของเมาส์จะเป็นสิ่งสำคัญในการเล่นเกม เพราะมีผลต่อการตอบสนองโดยตรง แต่อย่าลืมว่ารูปทรงและน้ำหนักของเมาส์ก็เป็นสิ่งสำคัญ ดังนั้นถ้าเป็นไปได้ เราอยากแนะนำให้คุณไปลองจับของจริงตามศูนย์จำหน่ายหรือร้านค้าที่ขายอุปกรณ์เกมมิ่งเลยจะดีกว่า หรือถ้าไม่สะดวกจริงๆ ลองวัดขนาดเมาส์ที่คุณใช้อยู่ในปัจจุบัน แล้วลองเทียบขนาดเมาส์ที่คุณต้องการ เปรียบเทียบปัจจัยต่างๆ ที่เราได้แนะนำไปอย่าง น้ำหนัก ลักษณะการจับเมาส์ และแนวเกมที่คุณเล่นเป็นประจำดูก่อนเลือกซื้อนะคะ ขอให้มีเมาส์ที่เข้ามือทุกท่านค่ะ :)
Credit: https://www.gamershub.me/tech/cheap-gaming-mouse-this-march-2020/
|
เกมเมอร์หญิงทาสแมว ถ้าอยู่กับแมวแล้วจะน้วยแมวทั้งวัน |